หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 20
บทที่ 20
ในรถม้ามีมือข้างหนึ่งยื่นออกมาก่อน ขาวผ่องเรียวงามดุจลำเทียนดึงดูดสายตาผู้คนให้หันมามอง
ฝ่ามือข้างนั้นวางลงบนมืออาจูอย่างมั่นคงนุ่มนวล จากนั้นเด็กสาวก็ลุกขึ้น…ย่างเท้า…เดินลงจากรถม้าด้วยท่วงท่าแช่มช้าสง่างามไปทุกอิริยาบถ
นางมีรูปโฉมผุดผาดอ่อนหวาน เรือนร่างแบบบางดุจดอกอวี้หลันขาวสีบริสุทธิ์เปราะบาง ประหนึ่งว่าถูกแตะเบาๆ ก็หลุดร่วงได้ กระนั้นชุดกระโปรงสีเขียวทั้งชุดบนตัวนางช่วยลดทอนลักษณะอ่อนแอแต่กำเนิดนี้ลงสามส่วน กลับมีอยู่ชั่วพริบตาหนึ่งที่ทำให้รู้สึกว่านั่นคือต้นไป๋หยางเขียวชอุ่ม ยืนต้นเหยียดตรงอย่างทะนง ไม่หวาดหวั่นต่อแรงลมพายุใดๆ
ความเคยชินบางอย่างจะฝังลึกอยู่ในแก่นแท้ เฉียวเจาบ่มเพาะนิสัยเปิดเผยใจกว้างและสุขุมเยือกเย็นมาจากอาจารย์เฉียวจัว แต่ก็ได้รับการอบรมสั่งสอนให้เป็นกุลสตรีจากท่านย่าและมารดาอย่างเข้มงวดที่สุดในเวลาเดียวกัน
นางจับกระโปรงทีหนึ่งให้เข้าที่ก่อนเดินซอยเท้าสองสามก้าว หยุดย่อเข่าแสดงคำนับต่อฮูหยินผู้เฒ่าเติ้ง ด้านเหอซื่อวิ่งจากด้านข้างโผเข้ากอดนางไว้
เจาเจา เด็กดี ลูกรักของข้า แม่นึกว่าจะไม่ได้เจอหน้าเจ้าอีกแล้ว ฮือๆๆ… เหอซื่อกอดนางไว้แน่นๆ พลางเปล่งเสียงร่ำไห้ดังลั่น
เฉียวเจาโดนเหอซื่อโอบกอดแนบแน่นจนกระดิกตัวไม่ได้ ทำได้แค่เงยหน้าเผยรอยยิ้มขอลุแก่โทษไปทางฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งที่อ้าปากค้างไปแล้ว
ในใจฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งบังเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดวูบหนึ่ง
แม่นางน้อยผู้นี้ดื้อรั้นเอาแต่ใจตั้งแต่เด็ก ทั้งยังมีนิสัยเสียชอบยกยอผู้สูงศักดิ์เหยียบย่ำคนต่ำต้อย แม้แต่มารดาของตนเองก็ยังดูถูกดูแคลน เคยแสดงกิริยาเรียบร้อยงดงามอย่างเหมาะเจาะเฉกนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน
ถึงแม้นางจะถือกำเนิดในตระกูลชนชั้นกลาง แต่อย่างไรก็อยู่มาจนอายุปูนนี้แล้ว เมื่อครู่ตอนหลานสาวลงจากรถม้าและเดินซอยเท้าหลายก้าว แม้ก้าวเท้าเร็วรี่ แต่เดินไม่เห็นปลายเท้า กระทั่งต่างหูไข่มุกห้อยตุ้งติ้งก็แกว่งไกวแค่เบาๆ นางเคยเห็นท่วงทีลีลาที่อ่อนช้อยเยี่ยงนี้จากตัวยายเฒ่าคู่สะใภ้ผู้จู้จี้จุกจิกของจวนตะวันออกเท่านั้น แม้แต่หลานสาวที่ยายเฒ่าคู่สะใภ้อบรมสั่งสอนอย่างพิถีพิถันก็ยังทำได้ไม่เป็นธรรมชาติปานนี้ ราวกับถูกปลูกฝังกิริยามารยาทให้หลอมรวมไปกับเนื้อแท้แล้ว
ครั้นเห็นเหอซื่อกอดเฉียวเจาร้องห่มร้องไห้อย่างไม่เข้าท่า ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งก็หยุดความคิดเหล่านี้ไว้ ปั้นหน้าเคร่งเอ่ยเสียงเย็นๆ มัวยืนเฉยอยู่หน้าประตูทำอะไรกัน ยังไม่รีบพาหลานเจาเข้าไปอีก
ว่าแล้วนางก็แสดงคารวะต่อหมอเทวดาหลี่ซ้ำอีกหน ทำให้ท่านผู้อาวุโสหัวเราะเยาะแล้ว ท่านโปรดให้เกียรติเข้าไปในจวน ข้าจะสั่งให้คนตระเตรียมสุราตอบแทนบุญคุณท่านที่ช่วยชีวิตเจ้าเด็กอกตัญญูผู้นี้ไว้
หมอเทวดาหลี่พยักหน้ากับตนเอง
คิดไม่ถึงว่าแม่หนูหลีมีมารดาที่ไม่ได้เรื่อง แต่คนเป็นย่ายังนับว่าพึ่งพาได้
ไม่ต้อง ข้ายังมีธุระ ไม่สะดวกจะรั้งอยู่นาน หมอเทวดาหลี่กวักมือเรียกเฉียวเจา แม่นางน้อยมานี่สิ
ท่านแม่… เฉียวเจาส่งเสียงเตือนคำหนึ่ง
เหอซื่อคลายมือออกอย่างแสนอาลัยอาวรณ์ นางร้องไห้จนใบหน้าเปรอะไปด้วยคราบน้ำตา
เฉียวเจาทนดูไม่ได้ ล้วงผ้าเช็ดหน้ายื่นให้นาง ท่านแม่เช็ดหน้าก่อนนะเจ้าคะ
เหอซื่อรับผ้าเช็ดหน้ามา นางมองเฉียวเจาอย่างงงงันแล้วจู่ๆ ก็ปิดหน้าสะอื้นไห้ยกใหญ่ ฮือๆๆ…
บุตรสาวถึงกับส่งผ้าเช็ดหน้าให้นาง ไม่ได้การแล้ว บุตรสาวรู้ความปานนี้ ต้องเป็นเพราะไปตกระกำลำบากอยู่ข้างนอกเป็นแน่
เหอซื่อยิ่งคิดยิ่งปวดใจ นางขยุ้มผ้าเช็ดหน้าร้องไห้ฟูมฟายหนักขึ้น
เฉียวเจาพูดอะไรไม่ออก … ข้าคิดผิดเสียแล้ว ข้าเป็นคนมีกรรม
เฉียวเจาไม่กล้าทำให้เหอซื่อสะเทือนใจอีก นางรีบเดินไปหาหมอเทวดาหลี่
เขายกมือตบศีรษะนางเบาๆ แล้วหันไปบอกกับฮูหยินผู้เฒ่าเติ้ง ข้าช่วยแม่นางน้อยผู้นี้จากมือโจรค้าทาส เห็นนางแล้วถูกชะตามาก เลยรับนางเป็นหลานสาวบุญธรรมแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ถือสากระมัง
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งอึ้งไปแล้วเอ่ยตอบอย่างรวดเร็ว จะถือสาได้อย่างไร นี่เป็นวาสนาของหลานเจาแล้ว
ลักษณะท่าทางของผู้เฒ่าผู้นี้ไม่สามัญ แม้แต่บ่าวไพร่ที่ติดตามมาด้วยล้วนไม่เหมือนคนทั่วไป เห็นได้ว่าเป็นผู้มีศักดิ์ฐานะ เขายอมรับหลีเจาเป็นหลานสาวบุญธรรม อนาคตของหลานสาวนางก็ยังมีหนทางเดินต่อไปได้อีกสายหนึ่งในที่สุด
เมื่อนึกถึงหลานสาวที่เพิ่งกลับมา ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งก็กลัดกลุ้มยุ่งยากใจระลอกหนึ่ง
ถึงจะไม่ชอบหน้าหลานสาวผู้นี้สักปานใด นางก็หวังว่าลูกหลานทุกคนในเรือนอยู่ดีมีสุข
เฉียวเจาได้ยินหมอเทวดาหลี่กล่าวเช่นนี้เป็นคราแรก นางซ่อนความประหลาดใจในดวงตา หากรู้สึกอบอุ่นตรงกลางอก นางคาดไม่ถึงว่าหมอเทวดาหลี่จะคิดคำนึงถึงนางเช่นนี้
เพราะท่านมองเห็นเงาของเฉียวเจาในตัวแม่นางน้อยหลีเจาใช่หรือไม่
เพียงคิดไปอย่างนี้ เฉียวเจาซึ่งสะกดเก็บอารมณ์ทั้งหมดไว้ในใจมาเนิ่นนานพลันรู้สึกขอบตาร้อนผ่าว น้ำตาไหลรินลงมาเงียบๆ
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ‘เฉียวเจา’ มิได้สาบสูญไปจากโลกนี้โดยสิ้นเชิง ต้องมีคนบางคนจดจำได้ว่านางเคยมีชีวิตอยู่
หมอเทวดาหลี่เห็นนางหลั่งน้ำตาแล้วหลากใจอยู่บ้าง แต่เขายิ้มกลบเกลื่อนอย่างว่องไว ก่อนจะยกมือตบศีรษะนางอย่างเอ็นดูเมตตา แม่นางน้อย รอท่านปู่หลี่สะสางธุระช่วงนี้เสร็จแล้วจะมาเยี่ยมเจ้านะ ถึงตอนนั้นใครกล้ารังแกเจ้าก็ฟ้องท่านปู่ได้เลย
เฉียวเจาสงบอารมณ์ลงได้ดังเก่า นางยอบกายคำนับหมอเทวดาหลี่พร้อมพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ เจาเจาทราบแล้วเจ้าค่ะ
หมอเทวดาหลี่หรี่ตาลง เขาอุปาทานไปเองใช่หรือไม่ แม่หนูหลีกับแม่หนูเฉียวยิ่งละม้ายคล้ายคลึงกันอีกแล้ว
เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ ท่านปู่ไปก่อนแล้วนะ หมอเทวดาหลี่พูดแล้วพยักหน้ากล่าวลาฮูหยินผู้เฒ่าเติ้ง
ฮูหยินผู้เฒ่ารีบเอ่ยขึ้น ท่านผู้อาวุโส ท่านมีธุระต้องจากไป ข้ามิกล้ารั้งตัวไว้ แต่ท่านได้โปรดบอกกล่าวชื่อเสียงเรียงนามให้พวกข้าได้รู้จักท่านผู้มีพระคุณด้วย
หมอเทวดาหลี่เชิดหน้าขึ้น พูดอย่างทะนงตน ข้าแซ่หลี่ มีนามว่าเจินเฮ่อ ในเมื่อนายท่านของจวนนี้เป็นข้าราชสำนัก น่าจะรู้ว่าข้าเป็นใคร
หมอเทวดาหลี่กล่าวถ้อยคำนี้ทิ้งท้ายไว้แล้วหมุนกายสาวเท้ายาวๆ ก้าวขึ้นรถม้า
พวกองครักษ์ที่รอจนร้อนใจแต่แรกเร่งรีบบังคับรถม้าให้ออกวิ่งทันที
พริบตาเดียวทั้งหมดก็หายลับไปตรงปากตรอกซิ่งจื่อ
รถม้ามุ่งหน้าสู่ทิศตะวันตกตลอดทาง จู่ๆ ก็บ่ายหน้าไปทางทิศเหนือ วกไปวนมาเป็นรอบใหญ่เช่นนี้อยู่สองสามรอบก่อนแล่นตรงเข้าสู่คฤหาสน์ใหญ่ตระหง่านหลังหนึ่งทางประตูด้านข้างอย่างเงียบๆ ในที่สุด จากนั้นวิ่งต่อไปยังเรือนหลังเล็กเงียบสงบที่สร้างอย่างงดงามประณีตถึงหยุดจอด และเชิญหมอเทวดาหลี่ลงจากรถม้า
ชายชราเดินหน้าบึ้งลงมา เหลียวซ้ายแลขวาพักหนึ่งแล้วเพ่งมองประตูทางเข้าเรือนเล็กโดยไม่ขยับกาย
ท่านผู้อาวุโส…
หมอเทวดาหลี่ถลึงตาใส่องครักษ์ผู้นั้นอย่างดุดัน ถามอย่างโกรธเกรี้ยว ที่นี่คือที่ใด
เขาไม่รอฟังคำตอบ แค่นเสียงพูดต่อไปเอง อย่าบอกข้าว่าเป็นจวนรองเสนาบดีเชียวนะ ข้านับเวลาอยู่ ตั้งแต่เข้าทางประตูข้างมาถึงตรงนี้ผ่านไปสองเค่อเต็มๆ ไม่มีจวนรองเสนาบดีแห่งใดใหญ่โตถึงเพียงนี้แน่!
พวกองครักษ์มองหน้ากันไปมา ไม่มีคนใดกล้ากล่าววาจาไปชั่วขณะ
เจ้านายอ้างชื่อของจวนรองเสนาบดีหลอกหมอเทวดามาที่นี่ เพลานี้ปิดบังไว้ไม่อยู่แล้ว
ท่านหมอเทวดามีสายตาแหลมคมดังคาด! ข้ามิได้ออกไปต้อนรับ ท่านโปรดอย่าได้ตำหนิโทษ
ในยามนี้เองบุรุษวัยราวสามสิบผู้หนึ่งก็เดินออกมาจากด้านในเรือนเล็กแล้วประสานมือคารวะหมอเทวดาหลี่
ลายมังกรสี่เล็บตรงแขนเสื้อของบุรุษผู้นี้ทำให้หมอเทวดาหลี่รู้สึกบาดตาเป็นพิเศษ เขากระดกคิ้ว รุ่ยอ๋อง?
เขามิได้วิสาสะกับพวกเชื้อพระวงศ์มานานมากแล้ว แต่ยังจดจำองค์ชายสองพระองค์ซึ่งเป็นหน่อเนื้อเชื้อไขที่เหลืออยู่ของโอรสสวรรค์องค์ปัจจุบันได้
องค์ชายห้าได้รับแต่งตั้งเป็นรุ่ยอ๋อง องค์ชายหกได้รับแต่งตั้งเป็นมู่อ๋อง องค์ชายทั้งสองมีอายุไล่เลี่ยกัน แต่องค์ชายห้ารุ่ยอ๋องร่างกายอ่อนแอ เรือนกายจึงผอมบางกว่ามู่อ๋องอยู่มาก
ไม่ทราบว่าท่านอ๋องเชิญข้ามาด้วยเรื่องอันใด
หมอเทวดาหลี่บังเกิดลางสังหรณ์ไม่ดี คนเราจะโลภมากไม่ได้จริงๆ นี่เป็นเพราะสมุนไพรวิเศษต้นเดียวทำให้เขาพาตัวเข้ามาติดกับเอง
เขาก็ว่าแล้วเชียว ไฉนรองเสนาบดีเล็กๆ ผู้หนึ่งถึงหาสมุนไพรวิเศษล้ำค่าอย่างนั้นมาได้ จนใจที่เขาจำเป็นต้องใช้ถึงได้กินเบ็ดที่ล่อไว้
รุ่ยอ๋องได้ยินได้ฟังมานานแล้วว่าหมอเทวดามีนิสัยแปลกประหลาด ทั้งที่เป็นท่านอ๋องผู้สูงศักดิ์ก็ยังไม่กล้าวางอำนาจ เขารีบกล่าว เพราะข้ารู้สึกไม่ค่อยสบาย เลยอยากเชิญท่านมาช่วยฟื้นฟูสุขภาพให้สักพัก ท่านหมอเทวดาโปรดตามข้าเข้าเรือนไปพูดคุยกันต่อเถอะ
ทั้งคู่เข้าไปในห้องของเรือนเล็กแล้วเหลือไว้แค่คนสนิทของรุ่ยอ๋อง เมื่อหมอเทวดาส่งสายตาเร่งอย่างหงุดหงิด รุ่ยอ๋องถึงอ้าปากบอกอย่างอึกอัก หลายปีมานี้ข้าให้กำเนิดบุตรเพียงสองคน แต่ก็อายุสั้นจากไปทีละคน อยากขอให้ท่านหมอเทวดาช่วยตรวจดูว่าร่างกายข้ามีอะไรผิดปกติหรือไม่…