หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 200
บทที่ 200
โค่วจื่อโม่คลายมือที่ขยุ้มชายเสื้อไว้ ตรงกลางอกว่างเปล่าโหรงเหรง
เป็นนางร้อนใจจนไม่ทันใคร่ครวญให้รอบคอบเอง อันที่จริงพวกนางมิได้มีไมตรีต่อกันอย่างแน่นแฟ้นเลย ยาลบรอยแผลล้ำค่าเฉกนี้ ยังไม่ต้องเอ่ยถึงว่าคุณหนูหลีใช้ไปเกือบหมด ถึงยังมีอีกแล้วนางจะแบ่งปันให้หรือ
ท่าทางผิดหวังของอีกฝ่ายตกอยู่ในสายตาของเฉียวเจาหมดสิ้น นางกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “แม้จะใช้เกือบหมดแล้ว แต่ท่านหมอเทวดาหลี่ถ่ายทอดตำรับยาที่ใช้ปรุงยานี้ให้ข้า ทว่ายาตำรับนี้มีความพิเศษอยู่บ้าง”
“พิเศษเช่นใดหรือ”
“คุณหนูโค่วน่าจะทราบว่าแผลกระทบกระแทก แผลอาวุธมีคม ตลอดจนแผลไฟไหม้บนผิวกายคนที่ท่านถามถึงเมื่อครู่นี้ต่างมีลักษณะผิดแผกกัน ด้วยเหตุนี้ตำรับยาที่ใช้ลบรอยแผลก็ต้องไม่เหมือนกัน ตำรับยานี้ของหมอเทวดาหลี่เป็นเพียงส่วนผสมเบื้องต้น มีสมุนไพรหลายตัวในนั้นต้องปรับไปตามบาดแผลที่ต่างกันออกไป” เฉียวเจากล่าวถึงตรงนี้แล้วหยุดเว้นจังหวะครู่หนึ่ง เพ่งมองอีกฝ่ายนิ่งๆ
โค่วจื่อโม่ฟังอย่างตั้งใจจนตาไม่กะพริบ
เฉียวเจาพูดต่อ “มิใช่แค่บาดแผลคนละชนิดกันเท่านั้น ถึงจะเป็นรอยแผลที่เกิดจากการโดนไฟไหม้ก็ต้องเพิ่มหรือลดปริมาณสมุนไพรหลายตัวในนั้นให้เหมาะสมตามอาการหนักเบา หรือพูดได้ว่าตำรับยาเบื้องต้นใบนี้สามารถแปลงเป็นตำรับยาได้หลายสิบชนิด ฉะนั้นผู้เป็นแพทย์ถึงให้ความสำคัญกับวิธีวินิจฉัยโรคทั้งสี่ด้วยการดูฟังถามจับ…”
ด้วยได้เห็นผลลัพธ์จากแก้มขวาของเฉียวเจาก่อน ทั้งนางยังพูดเป็นลำดับขั้นตอน อธิบายเรื่องยากให้เข้าใจง่ายได้อีก ส่งผลให้โค่วจื่อโม่รับฟังจนลืมตัวอย่างช่วยไม่ได้
เฉียวเจากล่าวจบแล้วเปิดทางให้โค่วจื่อโม่ “คุณหนูโค่วต้องการยาลบรอยแผลใช่หรือไม่”
“ใช่” เด็กสาวพยักหน้าน้อยๆ แล้วชั่งใจครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ตกลงปลงใจได้ นางเม้มปากเอ่ยขึ้น “ข้ามีญาติผู้พี่คนหนึ่ง ใบหน้าถูกไฟไหม้เป็นรอยแผลน่ากลัว ข้าอยาก…ขอยาให้เขา”
เสี้ยวขณะนี้ความกระวนกระวายในจิตใจของเฉียวเจาถึงนับว่าสงบลงได้อย่างแท้จริง
นางมุ่นคิ้วแสดงสีหน้าอึดอัดอยู่บ้าง “อาการบาดแผลต่างกัน จำเป็นต้องได้พบตัวถึงปรับปรุงตำรับยาได้…”
โค่วจื่อโม่ยื่นมือไปกุมมือเฉียวเจาไว้หมับ “คุณหนูหลีซาน ไหว้วานท่านตรวจอาการให้ญาติผู้พี่ของข้าด้วยเถอะ ข้ารู้ว่าคำขอนี้เป็นการฝืนใจผู้อื่นไปบ้าง แต่ข้าไม่มีวิธีที่ดีกว่าแล้วจริงๆ”
เฉียวเจายิ้มอย่างเปิดเผย “ข้ามิได้ลำบากใจอะไร สามารถช่วยคุณหนูโค่วได้ ข้ายินดีอย่างมาก”
นางเฝ้ารอมาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ ในที่สุดก็จะได้พบพี่ใหญ่แล้ว
เฉียวเจาพลันรู้สึกขอบตาร้อนผ่าวโดยพลัน นางรีบกะพริบตากลั้นน้ำตาไว้
“ถ้าอย่างนั้นข้าเชิญท่านมาเที่ยวที่จวนข้าวันพรุ่งนี้” โค่วจื่อโม่นิ่งตรึกตรองชั่วครู่ “ข้าจะกลับไปประเดี๋ยวนี้ ออกเทียบเชิญสหายที่คุ้นเคยกันสองสามคน เช่นนี้จะได้ไม่เป็นที่ผิดสังเกตเกินไป”
“คุณหนูโค่วเตรียมการได้ตามสบาย”
หลังจากโค่วจื่อโม่กลับไป เฉียวเจาไปที่เรือนของเหอซื่อ
เหอซื่อครวญเพลงเบาๆ ในลำคอพลางจัดเตรียมผลไม้
แตงโมเนื้อทรายหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ขนาดใกล้เคียงกันวางอยู่ในชามกระเบื้องสีขาวใบเล็กจนเต็ม ส่วนชามเล็กสีเขียวมรกตอีกใบหนึ่งใส่องุ่นผลอวบใสวาววับไว้
“ไฉนท่านแม่เตรียมผลไม้เองเจ้าคะ”
เหอซื่อมีรอยยิ้มตรงมุมปากอยู่ตลอด นางพูดอย่างเบิกบานใจโดยไม่เงยหน้าขึ้น “ก็ให้ท่านพ่อเจ้ากินน่ะสิ ท่านพ่อถูกคนข่วนหน้ามิใช่หรือ หลายวันมานี้ไม่ได้ไปที่ว่าการ…”
นางพูดถึงตรงนี้แล้วชะงักกึก
แย่แล้ว เผลอหลุดปากไป!
แน่นอนว่าเจาเจารู้แต่แรก ทว่าจุดสำคัญคือท่านพี่ยังไม่รู้ว่าเจาเจารู้แล้วน่ะสิ
หลีกวงเหวินเดินหน้าบึ้งออกมาจากหลังฉากกั้นเอ่ยถามอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ถูกคนข่วนหน้าแล้วหรือ”
เขานึกไว้แล้วเชียว หวังให้สตรีผู้นี้รักษาความลับไว้ได้เป็นเรื่องละเมอเพ้อพกแท้ๆ ภาพความสง่าองอาจของเขาในใจบุตรสาวต้องสลายหายไปเช่นนี้เสียแล้ว!
“ท่านพี่ ข้า…” เหอซื่อส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปทางเฉียวเจา แต่แล้วกลับมีเสียงเคร้งคร้างดังขึ้น ชามใบเล็กสีเขียวมรกตถูกปัดล้มตะแคงจนองุ่นหกกระจายกลิ้งไปทั่วพื้น
ทว่าเหอซื่อไม่สนใจไยดีใดๆ เดินตรงรี่ไปหาเฉียวเจา “เจาเจา หน้าเจ้า…หน้าเจ้าหายดีแล้วหรือ”
นางกอดเฉียวเจาแล้วหันไปกอดหลีกวงเหวิน “ท่านพี่ ดูสิเจ้าคะ หน้าเจาเจาหายดีใช่หรือไม่”
เขาตื่นเต้นมากดุจเดียวกัน “หายแล้ว หายแล้วจริงๆ”
เหอซื่อปิดหน้าร่ำไห้น้ำตาไหลรินดุจสายฝน “ข้ายังนึกว่าตาลาย ใบหน้าของเจาเจาลูกข้าหายดีแล้วจริงๆ ท่านหมอเทวดาหลี่เป็นเทวดาเดินดินจริงๆ”
“เทวดาเดินดิน…เทวดาเดินดินจริงๆ” หลีกวงเหวินไม่อาจคิดหาถ้อยคำอื่นใด ได้แต่เพียงพูดตามเหอซื่อซ้ำไปซ้ำมา
ข่าวเรื่องรูปโฉมของเฉียวเจากลับมาเป็นดังเดิมแพร่กระจายไปทั่วจวนตะวันตกในพริบตา
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งเรียกนางไปพบแล้วพิศดูอย่างละเอียดรอบหนึ่ง พูดพึมพำว่า ‘สวรรค์คุ้มครอง’ หลายครั้งติดๆ กัน
หลิวซื่อฮูหยินรองกล่าวผสมโรงขึ้น “ข้าก็บอกแต่แรกแล้วว่าคุณหนูสามเป็นผู้มีบุญ ฟ้าย่อมเกื้อหนุน ต้องไม่เป็นอะไรแน่นอน นี่มิใช่หายเป็นปกติดีทุกอย่างแล้วหรือ”
เห็นหรือไม่ๆ นางเล็งเห็นการณ์ไกลปานใด ก็ว่าแล้วเชียวว่าทุกครั้งที่คุณหนูสามประสบเรื่องเดือดร้อน สุดท้ายคนที่เคราะห์ร้ายต้องเป็นคนอื่นเสมอ ครานี้ขนาดบุตรสาวของผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลินยังตกเป็นที่ครหาว่ายโสโอหังมิใช่หรือ ส่วนคุณหนูสามไม่เป็นไรแม้แต่น้อยนิด
ดูทีว่าหนนี้ยังต้องชี้แนะบุตรสาวสองคนอีกสักรอบว่าวันหน้าเจอเรื่องอะไรให้ทำตามคุณหนูสาม ดังเช่นที่มารดาของนางสอนสั่งไว้ก่อนออกเรือนว่าความโง่เขลาเบาปัญญามิน่ากลัว หากรู้จักเดินตามหลังคนฉลาด ทุกอย่างยังราบรื่นเรียบร้อยได้อยู่ดี ทว่าที่น่ากลัวที่สุดคือทั้งที่โง่เขลาเบาปัญญากลับอวดฉลาด เช่นนั้นก็รนหาที่ตายเอง
บัดนี้ดูไปแล้วนี่คือกฎทองคำนำชีวิตที่แท้
เมื่อเฉียวเจาไม่เสียโฉมแล้ว เหล่าผู้เป็นนายของจวนตะวันตกล้วนหน้าชื่นตาบาน มีเพียงหลีเจี่ยวผู้เดียวที่ปั้นหน้ายิ้มแย้ม พอกลับถึงห้องก็เตะม้านั่งตัวเล็กระบายอารมณ์ นางโมโหเสียจนนอนไม่หลับตลอดคืน
วันต่อมา ท้องฟ้าขมุกขมัวอยู่บ้าง แต่อารมณ์ของเฉียวเจากลับแช่มชื่นแจ่มใส นางถือเทียบเชิญที่โค่วจื่อโม่ส่งมาให้นั่งรถม้าไปยังจวนเสนาบดีโค่ว
โค่วจื่อโม่ยืนรออยู่หน้าประตูเพื่อพาเฉียวเจาเข้าไปข้างในด้วยตนเอง
“ข้ามาสายใช่หรือไม่” เฉียวเจาไม่อยากแสดงให้เห็นว่าตนกระตือรือร้นเกินไปจึงมิได้ออกจากเรือนเร็วนัก
“ไม่สาย คุณหนูซูยังมาไม่ถึงเลย”
“คุณหนูโค่วเชิญใครมาบ้างหรือ”
“คุณหนูซูของจวนเสนาบดีกรมพิธีการ คุณหนูจูของจวนไท่หนิงโหว ยังมีคุณหนูสวี่ของจวนรองสมุหราชเลขาธิการสวี่”
นางเชิญคุณหนูสองสามคนนี้มาเป็นฉากบังหน้าเท่านั้น เพื่อจุดประสงค์หนึ่งเดียวคือสร้างโอกาสให้เฉียวเจาได้เห็นหน้าเฉียวโม่ ดังนั้นคนที่เชิญมาอย่างน้อยต้องไม่ได้แสดงออกว่าไม่เป็นมิตรกับเฉียวเจาในวันงานสังสรรค์ของชุมนุมฟู่ซาน
เฉียวเจาพยักหน้ากับตนเอง น้องจื่อโม่ยังคงทำอะไรได้เหมาะสมเข้าที แต่ไม่รู้ว่าจะเตรียมการให้นางกับพี่ใหญ่พบหน้ากันอย่างไร
สถานที่พบปะสังสรรค์กันส่วนตัวคือศาลารับลมริมทะเลสาบ
ในศาลามีเงาร่างอรชรสามสาย คนที่สวมชุดสีส้มอมชมพูคือจูเหยียน คนที่สวมชุดสีม่วงคือสวี่จิงหง ส่วนคนที่สวมกระโปรงไหมสีเขียวคือโค่วชิงหลันคุณหนูรองของจวนเสนาบดีโค่ว
พอได้ยินเสียงฝีเท้า โค่วชิงหลันหันหน้ามาแล้วเดินออกมาต้อนรับด้วยรอยยิ้ม “พี่ใหญ่ นี่คือคุณหนูหลีซานหรือเจ้าคะ”
สายตาของนางจับอยู่ที่ใบหน้าของเฉียวเจา เทียบกับความอ่อนโยนดุจสายน้ำของผู้เป็นพี่สาว ในดวงตาคู่นี้แฝงรอยพินิจพิจารณาอยู่รางๆ ยากจะสังเกตเห็นได้
สาวน้อยอายุสิบปีเศษยังเป็นวัยที่ไม่ทุกข์ร้อนกังวลเรื่องใด กระทั่งแววตาพินิจพิจารณาที่เฉียวเจาจับสังเกตได้โดยไม่ตั้งใจก็ยังเจือไว้ด้วยความซุกซน
เฉียวเจาอดเม้มปากอมยิ้มไม่ได้
“คุณหนูหลีซาน นี่คือน้องสาวของข้า มีนามว่าชิงหลัน”
“คุณหนูรอง ยินดีที่ได้พบ”
“คุณหนูหลีซานรีบเข้ามาสิ คุณหนูจูกับคุณหนูสวี่เดินหมากกันอยู่ ข้าได้ยินว่าท่านมีฝีมือเดินหมากล้ำเลิศ มาลองดูว่าพวกนางใครแพ้ใครชนะได้พอดี”
ระหว่างที่เฉียวเจาทักทายกับพวกจูเหยียน โค่วชิงหลันสบช่องแอบถามโค่วจื่อโม่ “พี่ใหญ่ นางไม่เด็กเกินไปหรือ แล้วเข้าใจเรื่องตำรับยาจริงๆ ใช่หรือไม่เจ้าคะ”