หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 203
บทที่ 203
เฉียวโม่ได้ยินถ้อยคำนี้ สีหน้าก็ไม่แปรเปลี่ยนแต่อย่างใด มีเพียงแววตาที่ทอประกายเข้มขึ้นโดยพลัน
ผู้อื่นอาจจับการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยไม่ออก แต่เฉียวเจาสังเกตเห็นแล้ว
ในใจของพี่ใหญ่ยามนี้คงจะปั่นป่วนพลุ่งพล่านเฉกเดียวกันกระมัง
จะไม่ตะลึงพรึงเพริดได้อย่างไรเล่า ด้วยวิชาแพทย์ของท่านปู่หลี่ ไม่มีทางปล่อยให้ยาพิษหลงเหลืออยู่ในตัวพี่ใหญ่ ด้วยเหตุนี้ไม่ว่านางหรือพี่ใหญ่ล้วนคิดได้แล้วว่าเขาต้องโดนวางยาพิษซ้ำอีกหลังท่านปู่หลี่จากไป
ถึงขั้นบอกได้ว่าพิษหอมสูญในตัวพี่ใหญ่ตอนนี้ เขาได้รับตอนอยู่ในเรือนท่านตานั่นเอง
แล้วการคาดคะเนที่แทบจะยืนยันได้แน่ชัดนี้ ทำให้นางไม่กล้าขบคิดลึกลงไปอีกขั้น
ชั่วพริบตานี้ราวกับสองพี่น้องสื่อใจถึงกันได้ ทั้งคู่ประสานสายตากันกลางอากาศ
เฉียวเจามองเห็นแววสับสนเคว้งคว้างผุดวาบขึ้นในดวงตาเฉียวโม่วูบหนึ่งก่อนจะถูกแทนที่ด้วยประกายลึกล้ำอย่างรวดเร็ว
กระนั้นเฉียวเจาสุดปัญญาจะนิ่งเงียบได้
คนตรงหน้าเป็นพี่ชายของนาง เป็นผู้ที่ใกล้ชิดมากที่สุดในโลกใบนี้ของนาง ต่อให้มีข้อกริ่งเกรงระวังร้อยแปดพันประการ ในสถานการณ์ที่รู้ทั้งรู้ว่ามีคนแอบปองร้ายเขาอยู่ นางไม่อาจชักช้ารีรอต่อไปได้อีก
“คุณชายเฉียว ท่านย้ายออกไปจะดีกว่า”
เฉียวโม่นิ่งงันไป ถึงแม้เขารู้สึกสนิทสนมเป็นกันเองกับเด็กสาวเบื้องหน้าโดยไม่รู้ตัว แต่นี่เป็นเรื่องส่วนตัวเกินกว่าจะพูดคุยกับคนที่รู้จักกันผิวเผิน
ทว่าพอนัยน์ตาสีดำขลับของเด็กสาวจ้องมองอยู่เช่นนี้ ทำให้เขาไม่สามารถหลบเลี่ยงคำถามนี้
เฉียวโม่กล่าว “ยังไม่มีที่พำนักพักพิงที่เหมาะสม ข้าจำต้องอาศัยอยู่ในจวนเสนาบดีเป็นการชั่วคราว”
เฉียวเจาสะดุดใจ ไม่มีที่พำนักพักพิงที่เหมาะสมหมายถึงอะไร พวกเขามีเรือนในเมืองหลวงชัดๆ
ประเดี๋ยวก่อน พี่ใหญ่พูดเช่นนี้มีนัยลึกซึ้งอันใดใช่หรือไม่
หรือว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับสกุลเฉียวไม่ใช่เหตุเพลิงไหม้ธรรมดาสามัญดังที่นางสังหรณ์ใจอยู่ลึกๆ
กระนั้นจะพูดเรื่องไฟไหม้ขึ้นมาตอนนี้ดูจะไม่เหมาะสมนัก แต่พิษในตัวพี่ใหญ่จะปล่อยทิ้งไว้เช่นนี้มิได้
“รอสักครู่เจ้าค่ะ” เฉียวเจากล่าวคำนี้ขึ้นกะทันหันแล้วสาวเท้าไปหาเฉียวหว่าน
พอเห็น ‘สตรีมากตัณหา’ เดินมา ดวงตาของดรุณีน้อยก็ทอแววระแวดระวัง ใบหน้ากลมป้อมย่นยู่ยี่คล้ายซาลาเปาใบน้อยๆ
เฉียวเจาย่อตัวลงให้สายตาอยู่ในระดับเดียวกับนาง “น้องเฉียวงามจริงๆ”
เอ๊ะ? เฉียวหว่านไม่คาดว่าเฉียวเจาจะกล่าวเช่นนี้อย่างเห็นได้ชัด นางหน้าแดงซ่านทันใด
อันที่จริงสตรีมากตัณหาผู้นี้ก็มิได้น่ารังเกียจปานนั้น แต่ว่านางไม่ชอบคนพูดจาหวานหูหรอกนะ อีกทั้งไม่ยกโทษให้คนที่แตะเนื้อต้องตัวพี่ชายตามใจชอบเช่นนี้
จนกระทั่งเฉียวเจาหมุนกายเดินกลับไปหาเฉียวโม่ สีแดงระเรื่อบนใบหน้าของเด็กหญิงตัวน้อยยังไม่เลือนหายไป
โค่วชิงหลันพูดคำใดไม่ออก “…” คุณหนูหลีซานมารักษาใบหน้าของญาติผู้พี่จริงๆ หรือ
เฉียวเจาหยุดยืนเบื้องหน้าเฉียวโม่ เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยพลางกระซิบบอก “น้องสาวท่านไม่โดนพิษ”
สีหน้าของชายหนุ่มผ่อนคลายลงอย่างชัดเจน เขากล่าวด้วยรอยยิ้มน้อยๆ “เป็นเช่นนั้นก็ดี”
แม้ว่าจะใบหน้าซีกหนึ่งจะเสียโฉม แต่สำหรับบุรุษร่างสูงงามสง่า นัยน์ตาแจ่มกระจ่างเยือกเย็นเบื้องหน้าผู้นี้ ราวกับมิใช่เรื่องกลัดกลุ้มเป็นทุกข์ที่ควรค่าให้เอ่ยถึงหรือเก็บมาใส่ใจแม้แต่น้อยนิด
เฉียวเจาเหม่อมองเขาแล้วน้อยอกน้อยใจอยู่บ้างอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“คุณหนูหลี…”
เฉียวเจาดึงความคิดคืนมา นางสะกดความน้อยใจไว้ พูดเสียงเบาๆ ว่า “คุณชายเฉียวดีต่อน้องสาวจริงๆ”
เฉียวโม่หยักยิ้ม “น้องสาวเป็นผู้ที่ใกล้ชิดมากที่สุดในโลกใบนี้ของข้าแล้ว”
ไม่ใช่เสียหน่อย!
แม่นางเฉียวแย้งกลับอยู่ในใจ นางต่างหากคือผู้ที่ใกล้ชิดมากที่สุดของพี่ชาย หว่านวานอยู่ได้แค่ลำดับที่สอง!
หลังน้อยอกน้อยใจได้ชั่วประเดี๋ยวเดียว เฉียวเจาก็ลอบยิ้มเยาะตนเอง
นางพูดเรื่องสำคัญต่อ “น้องสาวของคุณชายเฉียวน่าจะไม่ได้อยู่เรือนเดียวกับท่านกระมัง”
“ใช่ ท่านป้าสะใภ้จัดให้น้องสาวข้าแยกไปอยู่อีกเรือนหนึ่ง”
“ถึงจะเป็นเช่นนี้ น้องสาวท่านยังคงกินอาหารร่วมกับท่านบ่อยๆ กระมัง”
“อื้อ” เฉียวโม่พยักหน้าแล้วเข้าใจบางอย่างได้โดยพลัน “ความหมายของคุณหนูหลีคือยาพิษหอมสูญถูกวางในอาหาร?”
เฉียวเจากวาดตามองโค่วชิงหลันแวบหนึ่งก่อนจะย่างเท้าเดินห่างไปอีกหลายก้าว
เฉียวโม่เห็นดังนั้นก็ติดตามไป
โค่วชิงหลันกัดริมฝีปากอย่างสุดระงับ
แค่จะดูใบหน้า เหตุใดต้องสนทนากันนานถึงเพียงนี้ ญาติผู้พี่กับพี่จื่อโม่ยังได้พูดคุยกันไม่กี่คำเองนะ!
เฉียวเจายืนอยู่ข้างต้นไผ่เขียวขจี ลดสุ้มเสียงลงจนเบามาก “เริ่มนับวันหลังจากท่านหมอเทวดาหลี่ถอนพิษให้คุณชายเฉียวแล้ว ถ้าหากท่านได้รับยาพิษโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวทุกวัน เช่นนั้นเมื่อดูจากจำนวนวันและความหนักเบาของอาการโดนพิษ เป็นไปไม่ได้ที่จะใส่อยู่ในน้ำดื่ม ทำเช่นนั้นพิษจะสะสมอยู่ในกายเร็วเกินไป ซึ่งไม่พ้องกับชีพจรและลักษณะอาการในตอนนี้ ด้วยเหตุฉะนี้วางยาในอาหารจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดเจ้าค่ะ”
นางกล่าวจบแล้วเม้มปาก
ฝ่ายเฉียวโม่ฟังแล้วดูใจลอยอยู่บ้าง มิใช่เพียงเพราะเรื่องที่เด็กสาวผู้นี้บอกกล่าวนั้นน่าตระหนกตกใจ แต่ยังเป็นเพราะท่าทางที่นางพินิจพิเคราะห์เหตุการณ์อย่างเป็นลำดับขั้นตอนที่ทำให้เขาอดนึกถึงคนผู้หนึ่งไม่ได้
เฉียวเจากล่าวแจกแจงต่อ “แต่น้องสาวท่านไม่โดนพิษ ดังนั้นข้าสามารถคาดคะเนไปได้อีกขั้นหนึ่งคือมีความเป็นไปได้มากที่สุดว่ายาพิษนี้ถูกวางในอาหารเช้า”
เฉียวโม่ใจเต้นผิดจังหวะวูบหนึ่ง
แค่พบว่าเขาโดนพิษก็คาดคะเนไปถึงขั้นนี้ได้ เขายิ่งรู้สึกว่าคุณหนูหลีคล้ายกับน้องสาวคนโตของตนมากขึ้นอีก
“ข้าขอละลาบละล้วงถามคำหนึ่ง เหตุใดคุณหนูหลีถึงมาที่นี่ในวันนี้”
ถึงแม้เด็กสาวตรงหน้ายังเยาว์วัยมาก ทว่าพูดกับคนฉลาดไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อม
เฉียวเจายิ้มน้อยๆ “เพราะคุณหนูใหญ่ไหว้วานให้ข้ารักษาใบหน้าของคุณชายเฉียวน่ะสิ”
ในเวลาที่พี่ชายของนางยากลำบากที่สุด จิตใจของน้องจื่อโม่มิได้แปรเปลี่ยนไปจากเดิมเลย นี่เป็นน้ำใจที่หาได้ยากยิ่ง
เพียงแต่ว่า…
ครั้นเฉียวเจาคิดไปถึงว่าเฉียวโม่โดนวางยาพิษ ตรงกลางอกละม้ายมีเงามืดแผ่เข้าปกคลุมชั้นหนึ่ง
ตกลงว่าพิษในตัวพี่ใหญ่ใครเป็นผู้บงการเบื้องหลังกันแน่นั้นยังบอกได้ยากมาก
อาจจะเป็นพวกผู้ทรงอำนาจซื้อตัวบ่าวไพร่ในจวนเสนาบดีก็ได้ หรืออาจจะเป็น…
หากเป็นประการหลัง ความจริงอาจเป็นเรื่องโหดร้ายยิ่งกว่า
เฉียวโม่ดูคล้ายสัมผัสได้ถึงอารมณ์เยาะหยันของเฉียวเจาทว่าหาได้ใส่ใจไม่ เขายิ้มบางๆ พลางกล่าว “แต่คุณหนูหลีน่าจะรู้ว่าแผลไฟไหม้ที่ใบหน้าข้ารุนแรงมาก ถึงเป็นท่านหมอเทวดาหลี่ก็ยังต้องออกจากเมืองหลวงไปเสาะหาสมุนไพร”
ความนัยของถ้อยคำนี้คือ ‘ทั้งที่ท่านรู้ว่าตนเองรักษาไม่ได้ เพราะอะไรยังมาที่นี่อีก’ เหตุผลที่ว่ามารักษาใบหน้าเขาตามคำไหว้วานของโค่วจื่อโม่ยากจะรับฟังได้
เฉียวเจากะพริบตาปริบๆ พี่ใหญ่ยังคงเก่งเรื่องจับช่องโหว่จากจุดเล็กจุดน้อยเช่นนี้ “เพราะข้าอยากพบคุณชายเฉียวถึงได้มาเจ้าค่ะ”
เฉียวโม่อึ้งไป
น้องเจาก็เป็นเช่นนี้ เมื่อตั้งใจจะทำอะไรแล้ว มิไยว่าคนภายนอกจะมองเช่นไร นางจะทำไปอย่างเปิดเผยโดยไม่ยี่หระต่อสายตาผู้ใด
“ท่านปู่หลี่บอกว่าข้ากับหลานสาวบุญธรรมอีกคนหนึ่งของท่านเหมือนกันมาก ฉะนั้นข้าอยากดูว่าพี่ชายของคุณหนูเฉียวท่านนั้นเป็นอย่างไรเจ้าค่ะ”
เฉียวโม่นิ่งเงียบไปชั่วครู่ ความเศร้าหมองพลันพลุ่งขึ้นกลางใจ
เขาเคยคิดว่าหลานสาวบุญธรรมคนใหม่ของหมอเทวดาหลี่อาจจะเป็นสหายกับหว่านวานได้ แต่พอได้พบตัวถึงรู้ว่าจริงๆ แล้วนางน่าจะเป็นผู้รู้ใจกับน้องเจามากกว่า
พวกนางมีนิสัยคล้ายคลึงกันเพียงนี้ คล้ายคลึงกันจนเขาอดมิได้ที่จะมองหาเงาของน้องเจาจากตัวนาง
เมื่อเห็นเฉียวโม่นิ่งเงียบมุ่นคิ้วไม่พูดไม่จา เฉียวเจาก็ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้าเรียกขานท่านว่าพี่เฉียวได้หรือไม่เจ้าคะ”
นางถามคำถามนี้ออกมาแล้วหัวใจเต้นตึกตักอย่างห้ามไม่อยู่
ทั้งๆ ที่อาศัยสายสัมพันธ์ของท่านปู่หลี่ นางในฐานะหลีเจาจะเรียกพี่ใหญ่ว่าพี่เฉียวเป็นเรื่องที่แสนธรรมดาสามัญ ทว่านางยังตื่นเต้นจนเหงื่อซึมฝ่ามือ
แม่นางเฉียวนึกในใจ ถ้าพี่ใหญ่ปฏิเสธล่ะก็ เป็นไปได้มากว่าข้าต้องร้องไห้แน่