หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 206
บทที่ 206
ตอนโค่วชิงหลันพาเฉียวเจาวิ่งตัดผ่านป่าไผ่จนเกือบไปถึงศาลารับลมก็หยุดฝีเท้ากะทันหัน ปล่อยมือนางแล้วจับผมเผ้ากับอาภรณ์ให้เรียบร้อย ถึงค่อยออกเดินต่อไปอย่างเอื่อยๆ ยังไม่ลืมกล่าวคำหนึ่งว่า “คุณหนูหลีซาน ไปกันเถอะ”
เฉียวเจามองดูอย่างขบขัน แต่เรื่องพี่ชายโดนยาพิษเป็นดั่งหินก้อนมหึมากดทับอยู่กลางอกทำให้นางหัวเราะไม่ออก ได้แต่เดินตามไปเงียบๆ
“พวกท่านกลับมาจนได้ น้องหลีซาน พวกเรามาเดินหมากกัน” ซูลั่วอีเห็นเฉียวเจาก็ตาเป็นประกายทันที
จูเหยียนถลึงตาใส่นางพลางใช้พัดกลมเคาะโต๊ะหิน พลางกล่าวว่า “หมากกระดานนี้ของพวกเรายังเดินไม่จบนะ”
เพราะพวกนางเย้าแหย่กันจนเคยชิน ซูลั่วอีจึงพูดจาตามสบายมาก “ถึงอย่างไรผลแพ้ชนะเป็นที่แน่ชัดแล้ว เจ้าก็สละที่นั่งให้ผู้อื่นโดยไวเถอะ”
จูเหยียนฟังแล้วอดขุ่นใจไม่ได้ นางเอ่ยถามเฉียวเจา “คุณหนูหลีซาน ท่านว่าหมากกระดานนี้ผลแพ้ชนะเป็นที่แน่ชัดแล้วหรือ”
เฉียวเจาแย้มยิ้ม “ใครแพ้ใครชนะยังต้องดูว่าเดินเช่นไร”
โค่วจื่อโม่สั่งให้สาวใช้ยกขนมหวานเย็นมาให้เฉียวเจาแล้วกล่าวยิ้มๆ “พวกท่านสองคนเลิกตีรวนกันเสียที ให้คุณหนูหลีซานกินขนมหวานเย็นสักถ้วยแล้วค่อยว่ากันอีกที”
พวกนางเดินหมากและพูดคุยสัพเพเหระกัน เวลาล่วงผ่านไปจนใกล้ถึงยามเที่ยงตรงอย่างว่องไว โค่วจื่อโม่เอ่ยปากชวนกินอาหาร แต่สวี่จิงหงบอกปัดอย่างละมุนละม่อมด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ข้าดูสีท้องฟ้าแล้วดีไม่ดีอาจฝนตกก็เป็นได้ รีบกลับจะดีกว่า พอดีข้ายังมีธุระอื่นอีกด้วย”
ซูลั่วอีกับจูเหยียนได้ยินแล้วเออออคล้อยตามด้วย
หลังจากโค่วจื่อโม่พูดรั้งไว้ซ้ำๆ หลายครั้งแล้วจึงเดินไปส่งพวกนางที่หน้าประตู
จูเหยียนกับซูลั่วอีต่างขึ้นรถม้าของตนไปแล้ว สวี่จิงหงซึ่งเดินรั้งท้ายช้ากว่าก้าวหนึ่งเหลียวหลังไปมอง
โค่วชิงหลันกำลังจับมือคุณหนูหลีซานพูดล่ำลากัน
นางดึงสายตากลับแล้วก้าวขึ้นรถม้าด้วยสีหน้าปราศจากความรู้สึก หากลอบรำพึงในใจ งานสังสรรค์เล็กๆ ในวันนี้ สองพี่น้องสกุลโค่วมีเป้าหมายอยู่ที่คุณหนูหลีซานชัดๆ ส่วนพวกตนล้วนเป็นไม้ประดับ กระนั้นไม่สำคัญว่าพวกนางจะมีจุดประสงค์ใด หากพวกนางอยู่ด้วยจนเสียเรื่อง จะกลายเป็นที่รังเกียจเดียดฉันท์ได้
สวี่จิงหงมิใช่ผู้ไม่รู้กาลเทศะเช่นนั้น
เมื่อเห็นพวกสวี่จิงหงทยอยขึ้นรถม้าไปหมดแล้ว รอยยิ้มที่ปั้นแต่งไว้บนใบหน้าของโค่วชิงหลันก็เลือนหายไปทันควัน นางถอยไปอยู่ข้างกายพี่สาว ทำท่าทำทางว่าไม่สนิทกับเฉียวเจาแม้แต่น้อย
“คุณหนูหลีซาน เป็นเช่นไรบ้าง” โค่วจื่อโม่รู้ว่ามารดาจับตาดูอย่างใกล้ชิดอยู่ตลอด นางไม่กล้าเอ่ยถึงเฉียวโม่ตรงหน้าประตูที่มีคนผ่านไปผ่านมาเช่นนี้ เพียงฉวยโอกาสมาส่งเฉียวเจาขึ้นรถม้าลดสุ้มเสียงลงไต่ถาม
เฉียวเจาตอบอย่างรวบรัดตัดความ “ต้องขจัดพิษไฟออกก่อนถึงจะใช้ยาได้ผล ข้าฝังเข็มให้เขาหนหนึ่งแล้ว สามวันให้หลังยังต้องฝังเข็มอีกครั้ง”
“ยังต้องฝังเข็มอีกครั้งหรือ”
“ใช่แล้ว ต้องขับพิษไฟออกทีละน้อยถึงกระทบกระเทือนต่อร่างกายน้อยที่สุด”
พอได้ยินว่าเพื่อให้กระทบกระเทือนร่างกายน้อยที่สุด โค่วจื่อโม่เลิกลังเลทันใด นางเอ่ยเสียงค่อยว่า “ถ้าอย่างนั้นอีกสามวันข้าค่อยเชิญคุณหนูหลีซานมาที่นี่อีกครั้งนะ”
เฉียวเจาผงกศีรษะน้อยๆ แล้วก้มศีรษะก้าวขึ้นรถม้า
โค่วจื่อโม่ยืนอยู่ที่เดิมมองส่งรถม้าแล่นเอื่อยๆ จากไป
โค่วชิงหลันเดินเข้ามาพูดกระซิบกระซาบ “พี่จื่อโม่ ท่านเชื่อว่าคุณหนูหลีซานรู้วิชาแพทย์จริงๆ หรือ ไม่กลัวนางคิดไม่ซื่อ?”
โค่วจื่อโม่หลุบตาถอนใจเบาๆ “นางจะมุ่งหวังอันใดได้เล่า”
“หมายตาญาติผู้พี่น่ะสิ” โค่วชิงหลันหลุดปากออกมา
โค่วจื่อโม่หน้าแดงด้วยความอาย นางขึงตาใส่น้องสาวอย่างขุ่นเคือง “อย่ากล่าววาจาส่งเดช!”
“พี่จื่อโม่ท่านต้องเชื่อข้านะ ข้าเห็นเองกับตา พอนางเจอญาติผู้พี่ก็เดินรี่เข้าไปจับมือเขาไว้ไม่ปล่อย ดึงก็ดึงไม่ออก ถ้าไม่เชื่อท่านถามหว่านวานก็ได้ เด็กไม่พูดโกหกหรอก”
“คุณหนูหลีซานน่าจะจับชีพจรให้ญาติผู้พี่กระมัง”
โค่วชิงหลันกระทืบเท้า “พี่จื่อโม่ หรือว่าคุณหนูหลีซานจะวางยาเสน่ห์เป็น ไฉนพวกท่านแต่ละคนล้วนหลงคารมนางกันหมด ท่านรู้หรือไม่ว่านางถึงกับบอกข้าว่าคืนนี้ข้าจะมีระดู คำพูดเหลวไหลพรรค์นี้นางยังพูดออกจากปากได้ เห็นได้ว่าเป็นคนที่ไว้ใจไม่ได้”
“คุณหนูหลีซานบอกเช่นนี้ด้วยหรือ”
“ใช่เจ้าค่ะ” โค่วชิงหลันเบะปาก “ตอนแรกข้าแค่สงสัยอยู่บ้าง แต่พอได้ยินคำกล่าวนี้ก็ประจักษ์แจ้งทันทีว่านางคุยโอ่แล้ว”
“เจ้าอย่าเพิ่งด่วนสรุป จะคุยโอ่หรือไม่ รอคืนนี้ก็รู้เอง”
“พี่จื่อโม่ ท่านเป็นพวกไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาหรือไร”
โค่วจื่อโม่หมุนกายเดินกลับไป นางพูดทอดถอนใจเบาๆ “ไม่ใช่ ข้าเพียงเห็นว่าถึงอาการของญาติผู้พี่จะทรุดลงก็คงไม่ย่ำแย่ไปกว่านี้ ต่อให้คุณหนูหลีซานมุ่งหวังอะไร ขอแค่นางรักษาแผลไฟไหม้บนใบหน้าเขาให้ดีขึ้นได้บ้างเล็กน้อย ข้าก็ยอมแล้ว”
“แล้ว…แล้วถ้านางหมายตาไปที่ตัวญาติผู้พี่เล่า”
โค่วจื่อโม่ตัวสั่นสะท้าน จากนั้นเผยรอยยิ้มจางๆ “ถึงอย่างนั้นข้าก็ไม่นึกเสียใจภายหลัง”
เฉียวเจากลับถึงจวนตะวันตกแล้วเรียกตัวเฉินกวงไว้
“คุณหนูมีเรื่องใดให้ข้าช่วยหรือขอรับ”
นางพยักหน้าแล้วตรึกตรองครู่หนึ่งถึงเอ่ยถาม “เฉินกวง เมื่อก่อนเจ้าติดตามอยู่ข้างกายแม่ทัพเซ่าตลอดเลยหรือ”
เขากระฉับกระเฉงขึ้นทันควัน “ขอรับ”
อะ คุณหนูสามสอบถามเรื่องของท่านแม่ทัพ นี่แสดงว่าในที่สุดคุณหนูสามก็สนใจท่านแม่ทัพของข้าแล้วใช่หรือไม่
“ถ้าอย่างนั้น…ข้าอยากถามอะไรเจ้าบางอย่าง”
สารถีน้อยได้ยินแล้วรู้สึกตื่นเต้นคึกคักเป็นพิเศษ เขาตบอกพูดขึ้นทันที “คุณหนูสามอยากรู้เรื่องอะไรของท่านแม่ทัพก็ถามมาได้เลยเต็มที่ ข้ารู้หมดทุกอย่าง ต่อให้ไม่รู้ก็อาสาสืบให้ได้ขอรับ!
แม่นางเฉียวผู้มีสีหน้าเรียบเฉยเป็นนิจทำหน้ามุ่ยชั่วพริบตา นางจะถามเรื่องของเซ่าหมิงยวนเมื่อไรกัน อีกอย่าง ‘อาสาสืบให้’ นี่หมายความว่าอะไร
“คุณหนูสาม?” เฉินกวงรู้สึกได้ว่าเฉียวเจาทำหน้าตาแปลกๆ ไปอยู่บ้าง จึงกะพริบตาอย่างงุนงง
เฉียวเจาทำหน้าขรึมพลางกล่าว “เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้าอยากถามเรื่องของเจ้า”
เฉินกวงตกอกตกใจ นางจะถามเรื่องของเขา หรือว่าคุณหนูสามมิได้ถูกตาต้องใจในตัวท่านแม่ทัพ แต่เป็นเขา
เช่นนี้ไม่ดีกระมัง เขากับคุณหนูสามไม่มีทางลงเอยกันได้หรอก!
เฉียวเจาเลิกคิ้วขึ้น นางรู้สึกไม่วายว่าสารถีแสดงความรู้สึกออกทางสีหน้ามากเกินไป ไม่รู้ว่าในหัวคิดเหลวไหลอะไรอยู่ นางจึงเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมาเสียเลย “เจ้าถนัดเรื่องสอบปากคำหรือไม่”
“เอ๊ะ?” เฉินกวงอึ้งไป เขาเห็นเฉียวเจาทำสีหน้าจริงจัง จึงฝืนพยักหน้า “พอได้ขอรับ”
ถึงนี่จะมิใช่ความเชี่ยวชาญเฉพาะตัวของเขา แต่ในฐานะองครักษ์ประจำตัวท่านแม่ทัพ ล้วนต้องเคยฝึกฝนอะไรต่อมิอะไรมาบ้างทั้งสิ้น
“แล้วถนัดเรื่องลอบสังหารหรือไม่”
สารถีน้อยฟังแล้วพิศวงงงงวย “พอได้ขอรับ”
“แล้วถนัดเรื่องหนีการไล่ล่าหรือไม่”
“พอ…พอได้ขอรับ” สารถีน้อยเจียนร้องไห้เต็มแก่
คุณหนูสาม ท่านคิดจะทำอะไรกันแน่ก็บอกมาเลยเถอะ ขืนถามต่อไปเรื่อยๆ เช่นนี้ หัวใจน้อยๆ ของข้าจะทนรับไม่ไหวแล้ว!
“อ้อ ข้ารู้แล้ว หมดธุระแล้ว เจ้าออกไปเถอะ”
อะไรนะ ถามตั้งนานสองนาน จบเท่านี้เองรึ
สารถีน้อยเดินออกไปพร้อมกับเหลียวหลังมองซ้ำๆ เป็นระยะ เห็นเฉียวเจาปราศจากท่าทีใดๆ ทั้งสิ้นแล้วแทบจะร่ำไห้ออกมาจริงๆ
นี่มิใช่เปลืองความรู้สึกอย่างนั้นหรือ ทำให้ข้าอกสั่นขวัญแขวนเปล่าๆ ปลี้ๆ!
รอจนเฉินกวงไปแล้ว เฉียวเจากลับเข้าห้องเอนกายบนตั่งสาวงาม นางย้อนคิดถึงทุกๆ เรื่องราวที่เกิดขึ้นในจวนเสนาบดีโค่ววันนี้แล้วถอนใจเฮือกหนึ่ง
ดูทีว่าหลังจากน้องชิงหลันมีระดูในคืนนี้ ญาติผู้น้องทั้งสองคงจะยอมรับในวิชาแพทย์ของนาง เมื่อเป็นเช่นนี้ถึงแม้น้องชิงหลันจะไม่พอใจต่อคำพูดและการกระทำของนางในวันนี้ แต่เรื่องฝังเข็มให้พี่ใหญ่ก็ไม่น่าจะเกิดปัญหาไม่คาดฝันใดๆ
ยามราตรีมาถึงอย่างรวดเร็ว
ในจวนเสนาบดีโค่ว โค่วชิงหลันชำระกายผลัดอาภรณ์ชุดใหม่สดชื่นสบายตัวแล้วก็ไปที่ห้องส่วนตัวของโค่วจื่อโม่
“พี่จื่อโม่ ข้านึกแล้วเชียวว่าคุณหนูหลีซานพูดจาส่งเดช…” ถ้อยคำนี้เพิ่งดังออกจากปาก โค่วชิงหลันก็พลันรู้สึกปวดท้องน้อยระลอกหนึ่งกะทันหัน