หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 208
บทที่ 208
“เจาเจา?” เฉียวโม่หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย เขาพูดพึมพำ “เจาเจา…”
“เจ้าค่ะ” เฉียวเจาขานตอบยิ้มๆ
เฉียวโม่ตั้งสติได้แล้วมองเด็กสาวที่แย้มยิ้มงามดุจบุปผาด้วยสีหน้าฉายอารมณ์สับสนปนเป นานครู่หนึ่งถึงกลับมาสงบนิ่งดังเก่าแล้วกล่าวเสียงเรียบๆ “เรียกคุณหนูหลีดีกว่า เลี่ยงมิให้เกิดเสียงครหา”
‘เจาเจา’ เป็นคำเรียกขานของน้องสาวคนโตของเขาเท่านั้น ถึงแม้เด็กสาวเบื้องหน้าจะคล้ายคลึงนางปานใด แต่จะอย่างไรก็มิใช่น้องสาวคนโตที่จากไปแล้ว
สำหรับเด็กสาวผู้นี้ เขาอาจจะบังเกิดความเอ็นดูสงสารและสนิทสนมอย่างห้ามใจไม่อยู่เพราะเหตุผลว่าคล้ายคลึงกับน้องสาวคนโต แต่จะไม่ยอมให้ใครคนใดมาแทนที่นางเด็ดขาด
เฉียวเจาหลุบตาลงซ่อนความรู้สึกผิดหวังไว้ “พี่เฉียวจะเรียกเช่นไรก็ได้เจ้าค่ะ”
“แค่กๆ” เสียงไอเบาๆ ดังขึ้นแล้วตามมาด้วยเสียงพูดของโค่วจื่อโม่ทันที “เสร็จแล้วหรือยัง”
เฉียวเจายอบกายให้เฉียวโม่ก่อนจะสาวเท้าไปหานาง “ไปได้แล้ว”
โค่วจื่อโม่ผงกศีรษะกับเฉียวโม่อย่างลุกลนแล้วรีบจูงเฉียวเจาเดินจากไป รอกระทั่งกลับเข้าห้องถึงเอ่ยขึ้น “ตอนนั้นเห็นสาวใช้ในเรือนท่านแม่ข้าเดินผ่านมา ให้นางพบเห็นเข้าจะไม่ค่อยดี”
เฉียวเจาพยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจ นางลุกขึ้นกล่าวลา “อย่างนั้นข้าขอตัวกลับจวนก่อน สามวันให้หลังค่อยฝังเข็มให้คุณชายเฉียวอีกครั้งก็จะใช้ยาได้แล้ว”
“ดี ถึงเวลาข้าจะเตรียมการอีกที”
เฉียวเจากลับไปได้ไม่นาน มีสาวใช้ในเรือนของเหมาซื่อมาเชิญโค่วจื่อโม่ไปที่นั่น
“ท่านแม่ ท่านเรียกข้ามาไม่ทราบว่ามีเรื่องใดเจ้าคะ”
เหมาซื่อจิบน้ำชาคำหนึ่งแล้ววางถ้วยลงบนโต๊ะเล็กด้านข้าง นางกล่าวเสียงขุ่น “ไม่มีเรื่องแม่ก็เรียกเจ้ามาไม่ได้รึ”
“ลูกมิได้หมายความเช่นนั้นเจ้าค่ะ”
“จื่อโม่ วันนี้เจ้าเชื้อเชิญคุณหนูสามสกุลหลีมาที่จวนหรือ”
“เจ้าค่ะ”
“เหตุใดจู่ๆ เจ้ากับนางก็สนิทสนมกันขึ้นมา”
โค่วจื่อโม่หลุบตาลงกล่าวอธิบาย “หลายวันก่อนเชิญพวกคุณหนูซูกับคุณหนูสวี่มาสังสรรค์กันส่วนตัว เพราะคุณหนูซูชื่นชมในฝีมือเดินหมากของคุณหนูสามสกุลหลีอย่างล้นเหลือ ข้าจึงถือโอกาสเชิญนางมาเที่ยวจวนด้วย วันนั้นข้ารู้สึกถูกชะตากับนางอย่างมาก วันนี้ก็เลยเชิญนางมาที่จวนอีกเจ้าค่ะ”
“ถูกชะตา?” เหมาซื่อขมวดคิ้วทันใด ใบหน้าฉายแววไม่พึงใจ “แม่ก็เคยได้ยินเรื่องของคุณหนูสามสกุลหลีผู้นั้นมาบ้าง คนทั้งจวนตะวันตกของสกุลหลีล้วนทำอะไรหุนหันพลันแล่นเกินไป วันหน้าคบค้าสมาคมกับคนเช่นนี้ให้น้อยลงเป็นการดี ไม่เช่นนั้นพอเจอเรื่องเดือดร้อน พวกเขาเป็นเช่นคนเท้าเปล่าไม่กลัวคนสวมรองเท้า แล้วคนที่ไปมาหาสู่กันบ่อยๆ จะไม่มีมลทินติดตัวไปด้วยหรือไร”
พอเห็นบุตรสาวคนโตทำสีหน้าเรียบเฉยไม่เอื้อนเอ่ยวาจา เหมาซื่อรู้ว่านางมีความคิดเป็นของตนเองอยู่มาก ก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเข้มงวดขึ้นผิดไปจากเสียงพูดนุ่มเบาอ่อนโยนตามปกติ “ลูกแม่จำใส่ใจไว้แล้วหรือไม่ ข้ามิได้ก้าวก่ายเจ้าคบหาสหาย เจ้ากับคุณหนูซู คุณหนูจู และคุณหนูสวี่ไปมาหาสู่กันบ่อยๆ ข้าเคยห้ามปรามอย่างนั้นหรือ แต่คุณหนูสามสกุลหลีผู้นี้ไม่เหมือนกัน นางเคยโดนโจรค้าทาสล่อลวงไปขาย สูญสิ้นชื่อเสียงไปนานแล้ว เจ้าเป็นสหายสนิทกับนาง คนอื่นจะมองเจ้าอย่างไร เหนือสิ่งอื่นใดครอบครัวพวกนางยังล่วงเกินหัวหน้าใหญ่ของพวกองครักษ์จินหลิน ไหนเลยจะรู้ว่าวันใดจะประสบเภทภัย ถึงเวลาดีไม่ดีอาจดึงเจ้าไปติดร่างแหด้วยก็เป็นได้”
โค่วจื่อโม่รับฟังเงียบๆ ริมฝีปากแดงเม้มเข้าหากันแน่น
“จื่อโม่ สิ่งที่แม่พูดเจ้าได้ยินแล้วหรือไม่”
“ได้ยินแล้วเจ้าค่ะ” นางมองไปทางมารดา ข่มใจแล้วข่มใจอีกก่อนจะไต่ถามคำหนึ่ง “แต่หากเป็นลูกที่เจอเรื่องเดือดร้อนล่ะเจ้าคะ”
‘วอนคนยาก ยากวิงวอนคน คนทุกคนเดือดร้อนยากวิงวอนใคร’
นี่เป็นคำโคลงวรรคหลังของคุณหนูหลีซานที่ชี้ทางให้เวยอวี่ กระนั้นมันมิได้กระทบเข้ากลางใจนางด้วยหรอกหรือ
ทุกคนคิดแต่จะหลบลี้หนีหน้ายามผู้อื่นพบเรื่องเดือดร้อน แต่พอถึงคราวตนเองเดือดร้อน ใครบ้างไม่อยากมีคนในครอบครัวอยู่ข้างกายเฉกเดียวกับคุณหนูหลีซานเล่า
คนอย่างคุณหนูหลีซาน ต่อให้ไม่อาจรักษาใบหน้าให้ญาติผู้พี่ได้ นางก็อยากใกล้ชิดด้วย
เหมาซื่อสีหน้าขรึมลง “จื่อโม่ นี่เจ้าพูดอะไรของเจ้า พูดถึงตัวเองเช่นนี้ได้ที่ใดกัน เจ้าเป็นบุตรสาวคนโตของจวนเสนาบดีไปตลอดชาติ ชีวิตถูกลิขิตให้ราบรื่นสมหวัง วันหน้าห้ามกล่าวคำอัปมงคลเช่นนี้อีกนะ สำหรับคุณหนูสามสกุลหลีผู้นั้น ถึงเจ้าจะต่อว่าต่อขานแม่ แม่ก็ปล่อยให้เจ้าทำตามใจไม่ได้ หลังจากนี้ห้ามนางมาที่จวนอีก”
“ท่านแม่…” โค่วจื่อโม่ทำหน้าตะลึงลาน
นางรู้ว่าเรื่องบางเรื่องความคิดของนางกับมารดาไม่ตรงกัน แต่นางคิดไม่ถึงว่ามารดาจะก้าวก่ายเรื่องคบหาสหายของนางตรงๆ เฉกนี้
เหมาซื่อยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบอีกคำ ก่อนกวาดตามองบุตรสาวที่มีสีหน้าไม่ดีปราดหนึ่งแล้วไต่ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนลง “สองวันนี้ เจ้าไปที่ป่าไผ่บ่อยๆ หรือ”
โค่วจื่อโม่ใจหายวาบ นางรู้แต่แรกแล้วว่าตั้งแต่ญาติผู้พี่มาพำนักในจวน ท่านแม่ก็จับตาดูนางอย่างใกล้ชิด และคอยระวังยามที่นางกับญาติผู้พี่พบหน้ากันเป็นพิเศษ
ท่านแม่เอ่ยถึงป่าไผ่ หรือว่าระแคะระคายอะไรมาแล้วจะตักเตือนนางกัน
“จื่อโม่ เจ้าจำคำของแม่ไว้แล้วนะ วันหน้าอย่าไปมาหาสู่กับคุณหนูสามสกุลหลีผู้นั้นอีก”
“ทราบแล้วเจ้าค่ะ” โค่วจื่อโม่ตอบเสียงเรียบ
เรื่องสำคัญเร่งด่วนในยามนี้คือรักษาใบหน้าของญาติผู้พี่ หากเป็นเพราะแข็งข้อกับท่านแม่จนส่งผลกระทบต่อเรื่องนี้ อย่างนั้นก็จะเสียเรื่องแล้ว
หลังออกจากเรือนของเหมาซื่อ โค่วจื่อโม่ดูมีความในใจหนักอึ้ง นางเรียกน้องสาวมาหา
“เป็นอะไรไปหรือพี่จื่อโม่ สีหน้าท่านไม่ดีเอาเสียเลย” โค่วชิงหลันจับมือพี่สาวแล้วแจ่มแจ้งในบัดดล “พี่จื่อโม่ ท่านสังเกตเห็นแล้วเหมือนกันใช่หรือไม่ว่าสายตาที่ญาติผู้พี่มองคุณหนูหลีซานต่างจากปกติมาก ทั้งจริงจังทั้งจดจ่อผสมปนเปกันอย่างนั้น มันก็คือความรู้สึกลึกซึ้งอย่างไรเล่า!”
โค่วชิงหลันยิ่งพูดยิ่งพลุ่งพล่าน นางสอดมือคล้องแขนพี่สาวพลางเอ่ยต่อ “พี่จื่อโม่ ข้าว่าวันหน้าอย่าให้คุณหนูหลีซานมาพบญาติผู้พี่อีกจะดีกว่านะ”
ถ้าเกิดคุณหนูหลีซานแย่งญาติผู้พี่ไป พี่จื่อโม่จะไปร้องไห้กับใคร
โค่วจื่อโม่หัวเราะเยาะตนเอง “วันหน้าคุณหนูหลีซานก็มาที่จวนอีกไม่ได้แล้ว”
“เพราะเหตุใดหรือเจ้าคะ”
“ท่านแม่ไม่อนุญาต เมื่อครู่ท่านแม่เรียกข้าไปเพื่อพูดเรื่องนี้”
“เพราะอะไรท่านแม่ถึงไม่อนุญาตล่ะ” โค่วชิงหลันฟังแล้วอึ้งงันไป
“คงเป็นเพราะ…คุณหนูหลีซานไม่ใช่คุณหนูซู แล้วก็ไม่ใช่คุณหนูจู คุณหนูสวี่…”
โค่วชิงหลันเป็นคนร่าเริงฉลาดเฉลียว เข้าใจความหมายของพี่สาวได้ทันที จึงพาให้สีหน้าง้ำงอไปกะทันหัน นางกัดริมฝีปากกล่าวขึ้น “ไม่ใช่แล้วมีอันใดกัน ข้าว่าคุณหนูหลีซานก็ดีออกเจ้าค่ะ”
พวกสตรีนั้นผูกมิตรกันเพียงดูว่านิสัยถูกคอกันเป็นพอ ถ้าต้องกลายเป็นสุนัขรับใช้ขององค์หญิงแล้วจะมีอะไร หรือว่าองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ยังสามารถพาพวกนางขึ้นสวรรค์ได้หรือไร
โค่วจื่อโม่หลุดหัวเราะพรืดอย่างกลั้นไม่อยู่ “เมื่อครู่นี้เป็นใครกันนะที่พูดว่าวันหน้าอย่าให้คุณหนูหลีซานพบกับญาติผู้พี่แล้ว”
“นั่นมันคนละเรื่องกันเจ้าค่ะ ก็ข้ากลัวว่าถึงตอนท้ายแล้วพี่จื่อโม่จะต้องเสียใจไม่ใช่หรือ”
โค่วจื่อโม่ยกมือลูบเรือนผมของน้องสาว กล่าวเสียงนุ่มว่า “ชิงหลัน เจ้าช่วยพี่สักอย่างเถอะ ไปบอกกับญาติผู้พี่ว่าอีกสามวันจะเตรียมการให้เขากับคุณหนูหลีซานพบหน้ากันที่นอกจวน”
“ได้เจ้าค่ะ แล้วถึงเวลาพี่จื่อโม่จะออกไปด้วยหรือไม่”
โค่วจื่อโม่ส่ายหน้า “วันนั้นข้าจะไปคุยเป็นเพื่อนท่านแม่”
โค่วชิงหลันถอนใจเฮือก “ก็ได้เจ้าค่ะ พี่จื่อโม่วางใจได้ ข้าจะจัดการให้เรียบร้อย”
นางได้ยินว่าพวกผู้อาวุโสของคุณหนูหลีซานต่างบุกไปถึงที่ว่าการกององครักษ์จินหลินเพื่อระบายความแค้นให้ ไฉนพอเป็นพวกนาง ยังต้องปิดบังหลอกลวงมารดาของตนเองด้วยนะ
พอคิดเช่นนี้แล้ว เป็นพวกนางสมควรอิจฉาคุณหนูหลีซานจึงจะถูกแท้ๆ
สามวันต่อมา เฉียวโม่บอกกล่าวให้รู้ว่าจะไปวัดต้าฝูทำบุญเติมน้ำมันตะเกียงให้น้องสาวที่จากไป จากนั้นพาเด็กรับใช้นั่งรถม้าออกจากจวน