หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 209
บทที่ 209
วันนี้อากาศร้อนจนผิดปกติอยู่บ้าง แสงแดดแรงกล้าแผดเผาพื้นปฐพี ส่องกระทบผืนดินเป็นสีขาวแยงตา ต้นไม้สองข้างทางแลดูเหี่ยวเฉาไร้ชีวิตชีวา ม้าเทียมรถหอบหายใจดังฟืดฟาด
“ช่วยรินน้ำให้ข้าสักถ้วย” ภายในรถม้าเฉียวโม่บอกกับเด็กรับใช้
เด็กรับใช้ซึ่งหลั่งเหงื่อท่วมศีรษะเก็บงำสีหน้าไม่เต็มใจไว้ ขยับตัวไปที่มุมผนังรถม้าอย่างอืดอาด เขายกกาน้ำชาขึ้นเขย่าๆ แล้วหันหน้ามาบอก “คุณชายเฉียว ไม่มีน้ำแล้วขอรับ”
“ด้านนอกมีเพิงน้ำชาหรือไม่”
เขาชะโงกศีรษะมองไปข้างนอก “ไม่มีขอรับ คุณชาย ท่านอดทนสักครู่เถอะ แถวๆ ชานเมืองมีเพิงน้ำชาอยู่”
เฉียวโม่หลับตาลงไม่เปล่งเสียงพูดอีก
เด็กรับใช้กวาดสายตามองหน้าเขารอบหนึ่งแล้วเบ้ปาก
ตกอยู่ในสภาพนี้ยังจะทำเป็นผู้ดีผิวบางอีก นึกว่าตนเองยังเป็นคุณชายสูงศักดิ์สินะ
จำเพาะต้องออกมาทำบุญเติมน้ำมันตะเกียงตอนอากาศร้อนถึงเพียงนี้ นี่มิใช่หาเรื่องลำบากโดยใช่เหตุหรือ
เด็กรับใช้ปาดเหงื่อออก เลิกม่านประตูขึ้นพูดเร่งสารถี “เร็วเข้าหน่อย คุณชายเฉียวกระหายน้ำแล้ว”
สารถีหวดแส้ม้าทีหนึ่ง “เร็วไม่ได้ อากาศร้อนเกินไป ขืนเร็วกว่านี้ ม้าจะทนไม่ไหวเอา”
เด็กรับใช้ปล่อยม่านลงอย่างหงุดหงิด เขาพูดบ่นอุบอิบ “นี่ไม่ใช่วันที่ควรออกจากเรือนเลยจริงๆ”
สิ้นเสียงเขาไม่ทันไร จู่ๆ รถม้าก็หยุดกะทันหัน ตัวเด็กรับใช้ถลาไปข้างหน้าจนหน้าผากชนกับผนัง
“ขับรถม้าประสาอะไรกัน” เด็กรับใช้เลิกม่านประตูขึ้นตะโกนด่าทอเสียงดัง
สารถีชี้ไปข้างหน้าพลางบอก “ตรงนั้นมีคนยืนอยู่ เมื่อครู่นี้ถ้ามิใช่ข้ามือไวตาไวหยุดรถม้าไว้ คงชนโดนเขาไปแล้วเป็นแน่”
“ชนก็ชนไปสิ” เด็กรับใช้ที่หน้าผากชนกระแทกผนังรถม้าเมื่อครู่นี้พึมพำกับตนเองด้วยความโกรธจนควันออกหู
“เจ้าเป็นใคร เหตุใดยืนขวางทางอยู่กลางถนน!” เด็กรับใช้ตะเบ็งเสียงถาม
“ไม่ทราบว่าคนในรถม้าคือคุณชายเฉียวโม่ใช่หรือไม่”
“ไม่ผิด เป็นคุณชายเฉียว เจ้ามีธุระอันใดกับคุณชายเฉียวหรือ”
“มิใช่เรื่องใหญ่อะไร” ชายหนุ่มที่ขวางทางอยู่ยื่นมือที่ไพล่หลังไว้ออกมา เผยให้เห็นดาบในมือ
เด็กรับใช้เบิกตากว้างจนแทบถลน น้ำเสียงเปลี่ยนไปแล้ว “จะ…เจ้าคิดจะทำอะไร”
ชายหนุ่มเงื้อดาบช้าๆ “สังหารคน…”
ใต้แสงตะวันแจ่มจ้า ดาบยาวเปล่งประกายสีขาววูบหนึ่งพร้อมกับรังสีอำมหิตแผ่มาโจมตี
เด็กรับใช้ตะโกนดังลั่น “รอประเดี๋ยว…”
ดาบชะงักค้างกลางอากาศ
“รอข้าถอยหลบไปแล้วค่อยลงมือ” เด็กรับใช้กล่าวจนจบประโยคแล้วกุมศีรษะเผ่นหนีไป
ชายหนุ่มที่เงื้อดาบขึ้นนิ่งขึงไปพริบตาหนึ่ง
ยังมีเด็กรับใช้เยี่ยงนี้ด้วยหรือ
เขาดึงสติคืนมาได้อย่างรวดเร็ว ตวาดเสียงห้วน “คุณชายเฉียว ตายเสียเถอะ!”
ดาบยาวชูขึ้นสูงทอประกายเย็นเยียบแล้วฟันแหวกอากาศดังขวับไปที่ตัวรถม้า
สารถีที่ตกใจจนตะลึงงันสะบัดแส้เฆี่ยนเจ้าอาชาสุดแรงตามสัญชาตญาณ
ม้ากู่ร้องยาวๆ เสียงหนึ่งแล้วก้าวเท้าออกวิ่งตะบึงไป
ในเวลานี้ดาบฟันโดนผนังรถม้าจนจมลึกเข้าไป พอรถม้าเคลื่อนที่กะทันหัน ส่งผลให้ดาบหลุดจากมือชายหนุ่มทันทีมันติดอยู่กับรถม้าที่วิ่งห่างไปสิบจั้งเศษแล้วถึงหล่นลงบนพื้น
“หยุดประเดี๋ยวนี้นะ!” ชายหนุ่มเก็บดาบขึ้นแล้วก้าวขาออกวิ่งเต็มเหยียด
เด็กรับใช้ตะโกนขึ้นบ้าง “พาข้าไปด้วยสิ”
ชายหนุ่มพลันชะงักฝีเท้าหันหลังกลับมา
“จะ…เจ้าจะทำอะไร” เด็กรับใช้ถอยหลังกรูดๆ แล้วหมุนกายวิ่งหนีไป
ชายหนุ่มกระโดดถีบเด็กรับใช้ล้มลงกับพื้นค่อยไล่กวดตามไประยะหนึ่ง เขาเห็นว่าไล่รถม้าไม่ทันแล้วจึงได้แต่ย้อนกลับมาหิ้วตัวเด็กรับใช้ที่โดนถีบสลบไปขึ้นมา จากนั้นเดินเอ้อระเหยจากไป
ด้านสารถีกำลังประสาทเขม็งเกลียวถึงขีดสุดด้วยหวาดหวั่นสุดใจว่ามือสังหารหนุ่มจะไล่ตามมาทัน เขาเหลียวหลังไปมองบ่อยๆ เห็นภาพนี้กับตาพอดีก็อดระบายลมหายใจเฮือกหนึ่งไม่ได้
โชคดีที่เขาหนีได้เร็ว โชคดีที่เด็กรับใช้โง่เขลาเหลือเกิน ถึงหน่วงเหนี่ยวมือสังหารไว้ได้
ใต้แสงตะวันเริงแรง สารถีหวดแส้อย่างสุดชีวิต เสียงหายใจของม้าเทียมรถหอบแรงประหนึ่งหีบลมแตก สุดท้ายมันก็ล้มตึงกับพื้น
ชั่วพริบตานั้น รถม้าเสียหลักพลิกคว่ำอยู่ข้างทาง สารถีลอยกระเด็นไปหล่นลงบนพื้นหญ้า
“แค่กๆๆๆ” เสียงไอของเฉียวโม่ดังขึ้น
สารถีซึ่งโดนเหวี่ยงตกจากรถม้ามึนงงนานครู่หนึ่งถึงตะกายลุกขึ้นวิ่งเข้าไป แหวกม่านประตูออกมือเป็นระวิง “คุณชายเฉียว ท่านไม่เป็นไรกระมัง”
เฉียวโม่พิงผนังรถม้า ใบหน้าซีดเผือดอยู่บ้าง เขากล่าวเสียงอ่อนระโหย “ไม่เป็นไร”
“ไม่เป็นไรก็ดีๆ คุณชายเฉียว ม้าร้อนจนตายไปแล้ว ข้าประคองท่านเดินนะขอรับ”
เฉียวโม่ก้าวออกจากรถม้าแล้วปัดชายเสื้อเบาๆ ท่าทางยังคงเยือกเย็นดุจเก่า “ไม่ต้อง ไปเถอะ”
สารถีเบิกตากว้างมองไปเบื้องหน้าด้วยสีหน้าตื่นกลัว
ชายหนุ่มมองตามสายตาเขาไป เห็นบุรุษชุดสีเทาสวมงอบติดม่านตาข่ายผู้หนึ่งยืนถือกระบี่อยู่ไม่ไกล หลังประสานสายตากันชั่วอึดใจ เขาย่างสามขุมตรงเข้ามาหา
สารถีหน้าถอดสีไปถนัดตา “คุณชายเฉียว แย่แล้วขอรับ มือสังหารไม่ได้มีคนเดียว”
เขานึกแล้วเชียวว่าไฉนหนีรอดได้ง่ายดายเพียงนี้ ครานี้คงต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นี่แล้วจริงๆ
ขณะมองดูมือสังหารเดินมาใกล้ขึ้นทีละก้าวๆ จิตใจของเฉียวโม่เริ่มตึงเครียดขึ้น
คุณหนูหลีบอกเขาว่าจะหาคนปลอมตัวเป็นมือสังหารทำการโจมตีระหว่างทางกลับจากวัดต้าฝูแล้วลักพาตัวเด็กรับใช้ไป เหตุการณ์นี้เพิ่งเกิดขึ้นไปแล้วเมื่อครู่ เช่นนั้นมือสังหารผู้นี้เป็นเรื่องอะไรกันอีก
เพราะอะไรลักษณะท่าทางของอีกฝ่ายกับรังสีพิฆาตที่แผ่ออกมาจางๆ ทำให้เขารู้สึกกระวนกระวายใจ
เฉียวโม่ถอยหลังก้าวหนึ่งช้าๆ เมื่อนึกไปถึงความเป็นไปได้บางอย่าง หรือมีคนผลักเรือตามน้ำ* ฉวยโอกาสใช้แผนซ้อนแผนส่งมือสังหารตัวจริงมา
เขามิได้กลัวตาย นับแต่เรือนเกิดที่ตนคุ้นเคยถูกเพลิงเผาผลาญไม่เหลือกระทั่งดอกไม้ใบหญ้าสักต้น ญาติพี่น้องล้วนประสบเคราะห์ร้ายอย่างคาดไม่ฝันต้องฝังร่างอยู่ในนั้น เขาก็ไม่รู้สึกพรั่นพรึงต่อความตาย
ถึงจะไม่กลัวตาย แต่เขายังตายไม่ได้
ชั่วอึดใจที่ความคิดนี้ผุดขึ้นในหัว เฉียวโม่ก็ตวาดเสียงห้วน “แยกกันหนี”
สารถีนิ่งงันไปครู่หนึ่ง จากนั้นกางแขนสองข้างบังอยู่หน้าตัวเขา “คุณชายเฉียวท่านรีบหนีไป ข้าจะสกัดไว้ให้ท่านเอง”
เขาเพิ่งกล่าวจบก็ร้องลั่นเสียงหนึ่ง เพราะถูกมือสังหารที่มาถึงเงื้อเท้าถีบออกไปด้านข้าง
เฉียวโม่หมุนกายวิ่งหนี
มือสังหารตามไปติดๆ โดยไม่พูดไม่จา ชักกระบี่ออกจากฝักแทงตรงเข้ากลางหลังของชายหนุ่ม
“คุณชายเฉียวระวัง!” สารถีพยายามเงยหน้าขึ้น เขาตะโกนบอกเสียงดัง
เขาสะดุดขาตนเองล้มลงกับพื้นเลยหลบกระบี่ได้พอดี
มือสังหารพลิกข้อมือเงื้อกระบี่แทงใส่เฉียวโม่ที่ล้มอยู่บนพื้น
“ระวังด้วยคุณชายเฉียว!” สารถีมองดูด้วยความอกสั่นขวัญแขวน เขาร้องตะโกนสุดเสียง
ยามที่กระบี่แทงลงมา เฉียวโม่กลิ้งตัวรอบหนึ่ง ปลายกระบี่จึงเสียบลงพื้นจนฝุ่นดินลอยฟุ้งตลบ จากนั้นถูกดึงขึ้นมาไล่แทงเขาต่อไป
ฝุ่นดินเข้าตาชายหนุ่มจนเขาต้องหรี่ตาลง ทำให้เขามองไม่เห็นว่ากระบี่มาจากทิศทางใด เพียงรับรู้ถึงรัศมีเย็นเยือกที่แผ่มาห้อมล้อมระลอกหนึ่ง
สารถีเห็นกระบี่ที่เปล่งประกายเย็นเยียบเจียนจะแทงเข้ากลางอกเฉียวโม่ เขาตะลึงลานไปก่อนจะแผดเสียงตะโกนอย่างขวัญเสีย “คุณชายเฉียว!”
สารถีชราหลับตาลง ผ่านไปครู่หนึ่งก็ไม่ได้ยินเสียงร้องโหยหวน กลับเป็นเสียงโลหะกระทบกัน เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างระมัดระวัง เห็นชายหนุ่มหน้าตาดาษดื่นกับบุรุษชุดสีเทาสวมงอบติดม่านตาข่ายกำลังต่อสู้กันอุตลุดอยู่ใต้เงาดาบประกายกระบี่น่าสะพรึงกลัว
สารถีตะกายตัวลุกขึ้น เขาลอบสูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่งปลุกใจตนเอง ทางหนึ่งเขม้นมองคนสองคนที่ปะทะกันอย่างดุเดือด ทางหนึ่งจรดฝีเท้าย่องไปทางนั้นจนไปถึงข้างกายเฉียวโม่อย่างไม่ง่ายดาย เขาเห็นสองคนนั้นต่างมิได้สนใจทางนี้ก็ฉุดชายหนุ่มลุกขึ้นวิ่งหนีไป
* ผลักเรือตามน้ำ หมายถึงการลงมือทำเรื่องใดเรื่องหนึ่งตามสถานการณ์