หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 217
บทที่ 217
“ท่านโหวมากพิธีไปแล้ว เชิญข้างในเถอะ” โค่วป๋อไห่ออกเดินนำหน้าพาชายหนุ่มเข้าจวน องครักษ์สิบกว่าคนก็ตามหลังมาอย่างใกล้ชิด ส่งผลให้บ่าวไพร่ในจวนเสนาบดีพากันเหลียวมองซ้ำๆ
ขุนนางฝ่ายบุ๋นต่างจากพวกแม่ทัพนายกอง ต่อให้เป็นขุนนางทรงอำนาจราชศักดิ์ ใช่ว่าจะมีขบวนติดตามเฉกนี้ได้
รอจนเหล่าเจ้านายเดินผ่านไป บ่าวไพร่บางคนเริ่มลอบพูดคุยซุบซิบกัน
“กวนจวินโหวท่านนั้นเพิ่งมาเมื่อกลางวันไม่ใช่หรือ จุๆ ตอนนั้นยังดูสุภาพมีมารยาทเหมือนพวกคุณชายสูงศักดิ์น่านับถือ ไฉนจู่ๆ ก็ทำให้รู้สึกว่าดุร้ายเหี้ยมเกรียมเสียแล้วเล่า”
“นั่นน่ะสิ ทีแรกข้ายังตรึกตรองอยู่ว่าที่โจษขานกันว่าพวกต๋าจื่อได้ยินชื่อกวนจวินโหวก็ขวัญหนีดีฝ่อเป็นการคุยโวโอ้อวดใช่หรือไม่ ขณะนี้ได้เห็นแล้วถึงรู้ว่าตัวเองมองผิดไป”
“พวกเจ้าว่ากวนจวินโหวมาที่นี่ทำอะไรในเวลานี้ คนที่ไม่รู้เรื่องยังจะนึกว่ามายึดทรัพย์สินนะ”
“ถุย! งาช้างไม่งอกจากปากสุนัข* จริงๆ”
มีผู้ดูแลกระแอมกระไอดังๆ เสียงหนึ่ง พวกบ่าวไพร่ถึงแตกฮือแยกย้ายกันไป
เซ่าหมิงยวนสาวเท้าตามโค่วป๋อไห่เข้าไปถึงข้างใน เห็นเสนาบดีโค่วยืนรออยู่บนบันไดหินหน้าประตู
พอเห็นชายหนุ่มเดินมาใกล้ เขาก็ลงบันไดมาต้อนรับทันที
เซ่าหมิงยวนรีบโค้งกายคำนับ “คารวะท่านตาขอรับ”
“ท่านโหวรีบลุกขึ้น” เสนาบดีโค่วประคองเขาขึ้นด้วยตนเอง
เรือนกายเขาอ้วนท้วน ใบหน้าอวบกลม พอยิ้มแล้วทำให้คนผ่อนคลายสบายใจดุจสายลมวสันตฤดู “ท่านโหวมาในเวลานี้มีเรื่องเร่งด่วนอะไรหรือ”
“มีเรื่องเร่งด่วนเรื่องหนึ่งจริงๆ ขอรับ”
“มา เข้าไปคุยกันในเรือน”
สุราอาหารบนโต๊ะในห้องโถงถูกยกออกไปแล้ว คนทั้งสามเพิ่งเข้าเรือนไป มีบ่าวรับใช้ยกชาเลิศรสมาวางให้
เสนาบดีโค่วทำไม้ทำมือบอกให้เขาดื่มน้ำชา
เซ่าหมิงยวนไม่ปฏิเสธ ยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบคำหนึ่งแล้ววางลงพร้อมกล่าว “มารบกวนท่านตาในเวลานี้เป็นข้าทำไม่ถูก แต่เรื่องนี้เร่งด่วนอย่างยิ่ง”
“ท่านโหวมีเรื่องอะไรกันแน่ถึงได้ร้อนใจเพียงนี้” มาตรว่าเขาจะมียศศักดิ์สูงส่งเป็นหนึ่งในเสนาบดีหกกรม ทั้งได้เข้าเฝ้าโอรสสวรรค์บ่อยๆ แต่เซ่าหมิงยวนอยู่ในฐานะพิเศษ มาในเวลานี้ยังคงทำให้เขาหายใจไม่ทั่วท้องอย่างช่วยไม่ได้
“ข้าอยากรับตัวพี่เฉียวโม่ไปพำนักที่จวนข้าขอรับ”
เสนาบดีโค่วอึ้งงันไป เขาอดมองไปทางบุตรชายคนโตไม่ได้
โค่วป๋อไห่มีสีหน้าเหลือเชื่อดุจเดียวกัน “ท่านโหวรุดมาในเวลานี้ก็เพื่อเรื่องนี้หรือ”
“ถูกต้องขอรับ”
เสนาบดีโค่วได้ยินว่าเป็นเรื่องส่วนตัวและเกี่ยวกับหลานชายนอกสกุลของตนก็คลายใจลงได้ เขาวางท่าวางทางเป็นผู้อาวุโส “ที่แท้ท่านโหวมาด้วยเหตุนี้นี่เอง ข้ารู้ว่าท่านห่วงใยเฉียวโม่ แต่ตอนนี้เขาสลบไสลไม่ได้สติอยู่ จะเคลื่อนย้ายคงไม่สะดวกอย่างมาก”
เซ่าหมิงยวนยิ้มบางๆ “เรื่องนี้ท่านตาโปรดวางใจ ข้านำรถม้าที่จัดเตรียมไว้เฉพาะมาด้วยขอรับ”
เสนาบดีโค่วส่ายหน้า “ไยต้องวุ่นวายโดยใช่เหตุด้วยเล่า เฉียวโม่ไปที่จวนท่านโหว ยังต้องรบกวนฮูหยินของจิ้งอันโหวจัดห้องหับให้เขาอีก”
“ท่านตาเข้าใจผิดแล้ว ข้าหมายถึงจวนกวนจวินโหว จวนพำนักของข้าซ่อมแซมเรียบร้อย ทั้งยังเตรียมเรือนหลังหนึ่งไว้ให้พี่เฉียวโม่แต่แรกอยู่แล้วขอรับ”
“จวนกวนจวินโหว?” เสนาบดีโค่วนิ่งงันไปเล็กน้อยถึงฉุกคิดขึ้นได้ เขาเหลือบมองบุตรชายคนโตที่ไว้หนวดเคราแล้วแวบหนึ่ง รู้สึกแปลบปลาบใจเป็นพิเศษ
สมดังคำกล่าวว่า ‘แข่งบุญแข่งวาสนาแข่งกันมิได้’ จริงๆ ชายหนุ่มตรงหน้าเพิ่งย่างวัยสวมหมวก* ก็มีตำแหน่งเป็นแม่ทัพใหญ่ได้รับแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ กลายเป็นบุคคลที่คนทั่วทั้งเมืองหลวงมิอาจมองข้ามได้ ส่วนบุตรชายคนโตของเขามีอายุอานามใกล้จะเป็นปู่คนได้แล้ว ยังต้องอาศัยบารมีของเขาถึงได้เป็นขุนนางขั้นห้า
เมื่อคิดคำนึงถึงตรงนี้ เสนาบดีโค่วสะทกสะท้อนใจอีกคำรบหนึ่ง
เอ่ยถึงเรื่องนี้แล้ว เขาไม่อาจไม่เลื่อมใสในสายตาของเฉียวจัวซึ่งเป็นพ่อสามีของบุตรสาวเขา
ตั้งแต่หลานสาวยังเยาว์วัย เฉียวจัวก็เลือกหลานเขยผู้นี้ไว้แล้ว เพราะเรื่องนี้ยามบุตรสาวคนโตของเขากลับมาเยี่ยมเรือนยังเคยพูดบ่นกับพวกเขา
บัดนี้ดูไปแล้วญาติผูกดองของเขาผู้นั้นมีสายตาแหลมคมอย่างยิ่ง เพียงน่าเสียดายที่หลานสาวอาภัพ ต้องลงเอยด้วยการจบชีวิตสถานเดียว
“ที่แท้จวนกวนจวินโหวซ่อมแซมเสร็จแล้ว วันหน้าเรียกพวกญาติผู้น้องของเจ้าไปเยือนเป็นการฉลองรับจวนใหม่ให้เจ้าด้วย”
“ขอบคุณท่านตามากขอรับ พวกญาติผู้น้องไปเที่ยวเล่นได้ทุกเวลา ข้ายินดีต้อนรับ”
เสนาบดีโค่วกล่าวยิ้มๆ “แต่เฉียวโม่ไม่ต้องย้ายไปจะดีกว่านะ ที่นี่เป็นเรือนของท่านตาเขา ทั้งยังอยู่มานานระยะหนึ่งแล้ว ย้ายไปย้ายมากลับไม่เคยชิน อีกอย่างจวนกวนจวินโหวอยู่ห่างจากจวนเสนาบดีไม่นับว่าไกล ถ้าเจ้าอยากพบเขาเมื่อไรก็มาที่นี่เป็นอันสิ้นเรื่อง”
เซ่าหมิงยวนลุกขึ้นยืน ประสานมือคำนับเขา “ท่านตา การที่ข้าอยากให้พี่เฉียวโม่ย้ายไปอยู่ด้วย จริงๆ แล้วเป็นความประสงค์ส่วนตัว หวังว่าท่านตาจะส่งเสริมข้าด้วยขอรับ”
“ไฉนถึงกล่าวเช่นนี้”
“วันนี้ตอนกลางวันข้าได้ยินว่าพี่เฉียวโม่ล้มป่วยก็มาเยี่ยมเยียนไปแล้ว”
เสนาบดีโค่วพยักหน้า เรื่องนี้เขาได้ยินจากภรรยาแล้ว ตอนนั้นภรรยาเขายังพูดอย่างสะท้อนใจว่าหลานเขยผู้นี้เป็นคนช่างเอาใจใส่ผู้หนึ่ง น่าเสียดายที่หลานสาวของพวกเขาไม่มีวาสนา
“หลังจากข้าเยี่ยมพี่เฉียวโม่แล้วกลับไป ตอนนอนพักผ่อนจู่ๆ ก็ฝันถึงภรรยา นางตำหนิว่าข้าไม่ได้ดูแลพี่ชายนางอย่างเต็มที่ เป็นต้นเหตุให้นางเป็นห่วงกังวลยากจะนอนตายตาหลับได้ ข้าตื่นขึ้นมานึกถึงความฝันนี้แล้วก็นั่งไม่ติดอีก ถึงต้องมารับพี่เฉียวโม่ไปอยู่กับข้า ข้ารู้ว่ากระทำเช่นนี้ออกจะเป็นการล่วงเกินอยู่บ้าง ซ้ำยังสร้างปัญหาให้ท่านตาอีก แต่หวังว่าท่านตาจะเห็นแก่ข้าที่ต้องทนทุกข์ทรมานใจกับการสูญเสียภรรยาอยู่ทุกวี่วัน ส่งเสริมให้ข้าได้สมปรารถนาในเรื่องนี้ด้วยขอรับ”
เสนาบดีโค่วอ้าปากแล้วหุบปากซ้ำๆ ด้วยไม่นึกไม่ฝันว่าเซ่าหมิงยวนยืนกรานจะรับตัวเฉียวโม่ไปให้ได้เป็นเพราะเหตุผลนี้
ถึงอยากจะเอ็ดเขาว่าพูดจาไร้สาระ แต่คนที่เจ้าหนุ่มผู้นี้ฝันถึงเป็นหลานสาวของตน เขาฟังแล้วยังรู้สึกคล้อยตามชอบกล
อีกประการหนึ่ง เจ้าหนุ่มนี่พูดถึงขั้นนี้ ต่อให้เป็นเรื่องที่กุขึ้นเอง เขาจะฉีกหน้าอีกฝ่ายเช่นนี้ก็ไม่ดี
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็สุดแท้แต่เจ้าเถอะ” เสนาบดีโค่วถอนใจเฮือกหนึ่ง เบนหน้าไปบอกกับโค่วป๋อไห่ที่ฟังอยู่อย่างงงงัน “ไปบอกกับภรรยาเจ้าสักคำ ให้รีบเก็บสัมภาระของโม่เอ๋อร์ อะไรที่พึงนำติดตัวล้วนเอาไปให้หมด แล้วก็เรียกคนสองสามคนตามท่านโหวไปที่จวนกวนจวินโหวเป็นเพื่อนโม่เอ๋อร์ด้วย”
เมื่อเห็นเป้าหมายบรรลุแล้ว เซ่าหมิงยวนก็เผยรอยยิ้มสุภาพนุ่มนวลพลางเอ่ย “แค่จัดเก็บข้าวของส่วนตัวของพี่เฉียวโม่ให้เรียบร้อยก็พอแล้วขอรับ ข้าพาคนมาด้วยไม่น้อย ไม่จำเป็นต้องรบกวนคนของทางจวน”
โค่วป๋อไห่แค่นหัวร่อในใจ
เจ้าหนุ่มผู้นี้ทำให้เขาตกใจขวัญหายยกใหญ่ นึกว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ไปๆ มาๆ แค่จะรับตัวเฉียวโม่ไปอยู่ที่จวน ไม่เคยพบเคยเห็นใครยกขบวนใหญ่โตถึงเพียงนี้มาเยี่ยมญาติ
องครักษ์สิบกว่าคนที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นเทพสังหารที่เลียโลหิตบนคมดาบ จะขู่ใครกันเล่า
โค่วป๋อไห่กลับห้องไปบอกเรื่องนี้กับเหมาซื่อ นางฟังแล้วนิ่งขึงไปครู่ใหญ่ “ท่านพี่ว่าอะไรนะเจ้าคะ กวนจวินโหวจะรับตัวเฉียวโม่ไปหรือ”
“ใช่ ท่านพ่อให้เจ้าส่งคนไปเก็บสัมภาระของเฉียวโม่โดยไว” โค่วป๋อไห่กล่าวจบแล้วพบว่าภรรยามีสีหน้าเหม่อลอยไม่มีท่าทีใดๆ เขาอดขมวดคิ้วไม่ได้ “ไฉนทำท่าเหมือนใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่ได้ยินว่าข้าพูดอะไรรึ”
“เอ๊ะ ได้ยินแล้วเจ้าค่ะ” เหมาซื่อดึงสติคืนมาฉับพลัน นางชั่งใจเล็กน้อยก่อนเอ่ยถาม “เพราะอะไรจู่ๆ กวนจวินโหวจะรับตัวเฉียวโม่ไปเจ้าคะ ท่านพี่ ไม่ใช่ว่าข้าพูดมากนะ จะอย่างไรที่นี่ก็เป็นเรือนท่านตาของเฉียวโม่ กวนจวินโหวไม่รอให้ถึงเช้าวันพรุ่งนี้ก็มารับคนไปในเวลานี้ เกิดเรื่องนี้แพร่ออกไปจะไม่น่าฟังปานใด”
“ไม่น่าฟังอะไร”
“ท่านพี่ลองตรองดูนะเจ้าคะ คนเราล้วนชอบคิดไปในทางร้าย จะต้องซุบซิบนินทาว่าจวนเสนาบดีของเราใจร้ายใจดำกับหลานชายนอกสกุลที่ครอบครัวประสบเคราะห์ภัยแล้วมาขออาศัยใต้ชายคาเป็นแน่ ฉะนั้นจะตอบตกลงไม่ได้เป็นอันขาด”
“เช่นนั้นก็ช่วยไม่ได้ ท่านพ่อตอบตกลงไปแล้ว ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็บอกเหตุผลที่กวนจวินโหวมารับเฉียวโม่ให้รู้กันไปทั่วเสียเลย เช่นนี้ทั้งเป็นที่โจษขานถึง ทั้งไม่ทำให้ชื่อเสียงของจวนเสนาบดีต้องด่างพร้อยด้วย”
“เหตุผลอะไรหรือเจ้าคะ”
“เขาบอกว่าเขาฝันถึงเจาเจา”
อย่างนี้ก็ได้หรือ เหมาซื่อเบิกตากว้าง ริมฝีปากสั่นระริกนานครู่หนึ่งเอื้อนเอ่ยคำใดไม่ออก
“เรื่องที่ท่านพ่อตอบตกลงแล้วถึงไม่ได้ก็ต้องได้ รีบไปจัดการเร็วเข้าเถอะ” โค่วป๋อไห่เอ่ยเร่ง
* งาช้างไม่งอกจากปากสุนัข เป็นสำนวนจีน หมายถึงคนเลวย่อมเอ่ยคำพูดดีๆ ออกมาไม่ได้
* ตามประเพณีจีนในสมัยโบราณ ชายหนุ่มจะเข้าพิธีสวมหมวกเมื่อมีอายุได้ 20 ปี