หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 220
บทที่ 220
ใบหน้าหลีเจี่ยวประเดี๋ยวซีดประเดี๋ยวเขียว นางหมุนกายขวับ “รีบกลับเถอะ!”
“คุณหนูระวังเจ้าค่ะ…” เห็นผู้เป็นนายชนเข้ากับตัวคนผู้หนึ่ง ชุนฟางอารามร้อนรนก็เผลอหลุดปากออกมา
กลิ่นสุราผสมกลิ่นหอมแปลกๆ ลอยมาปะทะใบหน้า หลีเจี่ยวรู้สึกว่าตนล้มลงในอ้อมแขนร้อนผ่าวกะทันหัน
“เดินไม่ดูตาม้าตาเรือหรืออย่างไร” คนผู้นั้นคว้าข้อมือของนางไว้หมับพร้อมกับได้ยินคำพูดของชุนฟาง พอเห็นรูปโฉมโนมพรรณของหลีเจี่ยวได้ชัดถนัดถนี่ก็ตาเป็นประกายอย่างสุดระงับ
“อะ นี่เป็นกลเม็ดเด็ดพรายที่ทางหอคิดขึ้นใหม่ใช่หรือไม่”
ชายหนุ่มที่กล่าววาจามีรูปโฉมเข้าที ปากแดงฟันขาว น่าเสียดายที่สายตาเจ้าชู้เกินไปทำให้คนเห็นแล้วอยากโคลงศีรษะ
“ปล่อยมือนะ” หลีเจี่ยวทั้งกลัวทั้งร้อนใจ เหงื่อกาฬก็ซึมเปียกแผ่นหลังในพริบตา นางยกมือปัดมือที่ยื่นมาของชายหนุ่มออกเป็นพัลวัน
แต่เรี่ยวแรงน้อยนิดของเด็กสาวสู้ไม่ไหวอย่างเห็นได้ชัด ชายหนุ่มออกแรงบีบมือที่ยึดข้อมือเล็กไว้นิดเดียว นางก็ร้องครางด้วยความเจ็บอย่างห้ามไม่อยู่
เขาสบช่องยกมืออีกข้างหนึ่งกระตุกปิ่นที่ใช้ตรึงมวยผมของนางออก โยนทิ้งไปบนพื้น
เรือนผมสีดำสลวยแผ่สยายลงดุจม่านน้ำตก อวดรูปลักษณะของอิสตรีออกมาให้เห็นอย่างสิ้นสงสัย
“โอ้โห เป็นหญิงงามนางหนึ่งดังคาด” แววตาของชายหนุ่มลุกวาว เขาฉุดตัวหลีเจี่ยวไปที่ระเบียงยาวรอบเรือน
“ปล่อยคุณหนูของข้านะ!” ชุนฟางถลันเข้าไป
ชายหนุ่มเงื้อเท้าถีบนางล้มลงกับพื้น พูดเสียงกระด้าง “อย่ามาขวางทางข้า ไม่เช่นนั้นจะเอาชีวิตเจ้าglup!”
เขาพูดจบก็ออกแรงกระชากหลีเจี่ยวเข้าไปในห้อง แต่นางกอดเสาระเบียงไว้แน่นพลางร้องบอกชุนฟาง “รีบไปตามคนมาเร็วเข้า!”
ชุนฟางเป็นสาวใช้ประจำตัวของหลีเจี่ยว นางเติบใหญ่มาจนป่านนี้ยังไม่เคยทำงานหนัก ไหนเลยจะถูกใครกระทำอย่างรุนแรงมาก่อน หลังโดนถีบที่ตัวทีหนึ่งแล้วสมองของนางมึนงงไปหมด พอได้ยินเสียงร้องเรียกของหลีเจี่ยวก็แผดเสียงตะโกนทันควัน “ใครก็ได้รีบมาช่วยที!”
ลานเรือนที่ไม่เห็นวี่แววใครในตอนแรกเริ่มมีเสียงความเคลื่อนไหวจากทุกมุม
หลีเจี่ยวแทบสิ้นสติ เจ้าพวกเบาปัญญาผู้นี้ นางจะให้ฉวยจังหวะวิ่งกลับเรือนไปขอความช่วยเหลือ ให้ร้องตะโกนตรงนี้ที่ใดกัน ที่นี่เป็นหอคณิกา ถ้าคนที่เรียกมายอมช่วยพวกนางสิแปลก!
“มัวยืนทื่ออยู่ด้วยเหตุใด หนีไปทางประตูหลังสิ…” เสียงพูดต่อจากนี้ของหลีเจี่ยวหายไปในลำคอเพราะนางถูกชายหนุ่มปิดปากไว้แล้ว
ชุนฟางอึ้งไปครู่หนึ่งถึงตั้งสติได้ นางก้าวขาออกวิ่งไป
คนที่ได้ยินเสียงอึกทึกออกมาชะเง้อมอง เห็นชายหนุ่มลากคนผมเผ้าแผ่สยายเห็นหน้าตาไม่ชัดผู้หนึ่งเข้าไปในห้อง แล้วอดหยอกเย้าไม่ได้ “คุณชายจย่า กลางวันแสกๆ เล่นอะไรอยู่หรือขอรับ”
ชายหนุ่มกล่าวยิ้มๆ “เจอของน่าสนุกน่ะสิ ไปไกลๆ เลยไป อย่าขัดความสำราญของข้า”
หลีเจี่ยวดิ้นไม่หลุดได้แต่ส่งเสียงอู้อี้ เพียงรู้สึกถึงพละกำลังมหาศาลที่โถมมา นางถูกผลักเข้าห้องห้องหนึ่ง ตามมาด้วยเสียงปิดประตูที่ชวนให้สิ้นหวัง
“ไม่ขัดขืนแล้วหรือ” เสียงหัวเราะย่ามใจของบุรุษดังขึ้นเบื้องหลัง
หลีเจี่ยวหมุนกายไปอย่างจนตรอก เห็นชายหนุ่มย่างสามขุมมาใกล้ขึ้นๆ นางก็ถอยหลังด้วยสีหน้าตื่นกลัวอย่างช่วยไม่ได้
ทำอย่างไรดี มีใครช่วยนางได้หรือไม่
ชั่วขณะนี้หลีเจี่ยวรู้สึกสิ้นหวังสุดจะเปรียบ
ตอนแรกทุกอย่างล้วนราบรื่นดี ไฉนนางถึงต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ด้วย แต่นางจะแตกตื่นไม่ได้ หลีซานถูกโจรค้าทาสล่อลวงไปยังกลับเรือนมาได้อย่างปลอดภัย นางก็ต้องมีหนทางเช่นกัน
“เจ้าอย่าเข้ามานะ ข้าไม่ใช่คนในหอนี้”
“ไม่ใช่สตรีในหอปี้ชุนหรือ นี่หมายความว่าเจ้าแวะมาเยี่ยมอย่างนั้นสิ” ชายหนุ่มเปล่งเสียงหัวร่อคิกคัก ตามด้วยน้ำเสียงกรุ้มกริ่มจนหลีเจี่ยวมือเท้าอ่อนแรง
นางข่มความหวาดกลัวในใจไว้สุดชีวิต เอ่ยอธิบายอย่างรวดเร็ว “ข้าเป็นบุตรสาวในครอบครัวสุจริต เดิมทีนัดพบกับสหายที่หอสุรา แต่เดินหลงมาผิดที่โดยไม่ตั้งใจ…”
“คิกๆ สาวน้อย คำกล่าวนี้ของเจ้าจะหลอกลวงใครกันเล่า เดินหลงประสาอะไรถึงเข้ามาที่นี่ได้”
“ข้าพลัดหลงมาจริงๆ หาไม่แล้วจะมาสถานที่เช่นนี้ได้เช่นไร คุณชาย สตรีเช่นใดบ้างที่ในหอนี้ไม่มี แล้วท่านจะสร้างความลำบากใจให้ข้าไปไย ท่านปล่อยข้าไป พวกเราต่างคนต่างหมดเรื่อง ถ้าไม่ปล่อยข้า คุณชายก็จะมีปัญหาได้เหมือนกัน”
ชายหนุ่มดูเริ่มจะสนใจ เขาเลิกคิ้วสูงพลางถาม “ข้าจะมีปัญหาใดได้รึ ไหนว่ามาให้ฟังสิ”
“ข้าขอบอกคุณชายตามสัตย์จริง ท่านลุง ท่านพ่อ และท่านอาของข้าล้วนเป็นขุนนาง หากเกิดเรื่องกับข้าที่นี่จริงๆ พวกเขาต้องไม่ยอมเลิกราง่ายๆ เป็นแน่”
ชายหนุ่มหัวเราะพรืดอย่างขบขัน “สาวน้อย ท่านลุง ท่านพ่อ และท่านอาของเจ้าเป็นขุนนางตำแหน่งใดกันบ้างล่ะ ในเมืองหลวงนี้อย่างอื่นอาจมีไม่มาก แต่ขุนนางกลับมีอยู่เกลื่อนกลาด กระเบื้องหลังคาหล่นลงมาแผ่นหนึ่งล้วนตกใส่ศีรษะขุนนางขั้นห้าได้สองคน”
หลีเจี่ยวฟังแล้วตื่นตระหนกอย่างช่วยไม่ได้ คนผู้นี้เป็นพวกมัวเมาตัณหาจนขาดสติหรือนี่ ถึงกับไม่กลัวว่าจะเกิดผลอะไรตามมาภายหลังสักน้อยนิด
ขณะที่นางนิ่งงันไป ชายหนุ่มปรี่เข้ามาลากตัวไปที่ตั่งสาวงามแล้วผลักล้มลง ปากยังกล่าวกลั้วเสียงหัวเราะชอบใจ “พูดสิ พวกผู้อาวุโสในเรือนเจ้ามีตำแหน่งใดกันบ้าง บอกออกมาให้ข้ากลัวสักหน่อย”
ครั้นชายหนุ่มกล่าวเช่นนี้ หลีเจี่ยวกลับไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดีแล้ว นางติดอยู่ในสถานที่เช่นนี้ จะบอกศักดิ์ฐานะออกมาได้เยี่ยงไร!
“ฮ่าๆ ข้าไม่กลัวเรื่องนี้จริงๆ ข้าเที่ยวหอคณิกาตั้งแต่อายุสิบสาม จะไม่เคยพานพบคลื่นลมมรสุมอันใดบ้าง…”
หลีเจี่ยวได้ยินถ้อยคำนี้แล้วฉุกคิดขึ้นได้ ชะรอยว่าประสาทสัมผัสที่หกของคนเรามักเฉียบไวเป็นพิเศษในสถานการณ์สิ้นหวังเช่นนี้ นางกล่าวโพล่งขึ้น “ท่านคือบุตรชายคนเล็กของฉางชุนป๋อหรือ”
ชายหนุ่มอึ้งไป เขาเลิกคิ้วขึ้นพลางกล่าว “สาวน้อยรู้จักข้าด้วยหรือนี่”
หลีเจี่ยวกัดริมฝีปากแทบห้อเลือด นางจะไม่รู้จักได้อย่างไร คู่หมั้นสมควรตายของนางผู้นั้นมิใช่เริ่มเที่ยวหอคณิกาตอนอายุสิบสามรึ!
หลีเจี่ยวแลมองชายหนุ่มปากแดงฟันขาวแล้วขอบตาร้อนผ่าวโดยพลัน นี่ก็คือสามีที่ท่านแม่เลือกไว้ให้นางตอนยังมีชีวิตอยู่ ร่างกายเป็นคน จิตใจเยี่ยงสุนัข แต่แท้ที่จริงแล้วยังเลวยิ่งกว่าเดรัจฉาน
เหตุใดชะตาชีวิตของนางถึงได้อาภัพเพียงนี้ หลังปลดเปลื้องจากเดนมนุษย์ผู้นี้ เรื่องแต่งงานก็ยากลำบากกว่าสตรีคนอื่นอยู่แล้ว ใครจะคาดคิดว่าจะมาเจอะเจอเจ้าเดรัจฉานนี่ในสถานที่เช่นนี้อีก
หากนางโดนเจ้าเดรัจฉานผู้นี้ทำลายความบริสุทธิ์ นั่นคือตายทั้งเป็นแล้วจริงๆ
“สาวน้อย เหตุใดเจ้ามองข้าอย่างนี้ หรือว่าเจ้าชื่นชอบหลงใหลข้ามานานถึงสร้างเรื่องพบกันโดยบังเอิญเช่นนี้ขึ้น”
“คุณชายจย่ากล่าวล้อเล่นแล้ว เหตุผลที่ข้ารู้จักท่านเป็นเพราะท่านกับตระกูลข้าเคยเกี่ยวข้องกันอยู่บ้าง…” หลีเจี่ยวบังคับตนเองให้สงบใจไว้ นางฝืนยิ้มออกมาเล็กน้อย
ในเวลานี้จะแตกตื่นไม่ได้ ขอแค่ถ่วงเวลาไปเรื่อยๆ ไม่แน่ว่าชุนฟางก็พาคนมาช่วยแล้ว
“อ้อ ไหนเล่ามาให้ฟังสิ พวกเราเคยเกี่ยวข้องกันอย่างไร”
แววตาของหลีเจี่ยวไหววูบหนึ่ง
เกี่ยวข้องอะไรกันหรือ บอกตามความจริงคงไม่ได้แน่ ทันทีที่คนผู้นี้พูดเรื่องที่นางพลัดหลงเข้าหอคณิกาออกไป ชื่อเสียงของนางก็จะย่อยยับป่นปี้ เหนือสิ่งอื่นใดทั้งคู่เคยหมั้นหมายกันมาก่อน ขืนเจ้าเดนมนุษย์ผู้นี้รู้เข้า ดีไม่ดีอาจไปกระตุ้นตัณหาของเขามากขึ้น
“ไม่ปิดบังคุณชายจย่า ข้าคือคุณหนูของสกุลหลี ดังนั้นถึงเคยได้ยินนามของท่าน”
“สกุลหลี?” ชายหนุ่มขบคิดครู่หนึ่งก็นึกออกแล้ว “เป็นจวนสกุลหลีที่คุณหนูใหญ่ของตระกูลหมั้นหมายกับข้านั่นน่ะหรือ ฮ่าๆ นี่ช่างบังเอิญดีแท้ น้องสาวเป็นคุณหนูลำดับที่เท่าไรหรือ แต่ก่อนข้าเคยได้ยินว่ามีว่าที่น้องภรรยาอยู่ไม่น้อยเลยนะ”
เขาพูดพร้อมกับยื่นมือจับปลายคางนางไว้
หลีเจี่ยวใจหายวาบก็พลั้งปากพูดว่า “ลำดับที่สาม”