หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 221
บทที่ 221
“ลำดับที่สาม?” ชายหนุ่มตรึกตรองเล็กน้อยแล้วหยักยิ้ม “พูดเช่นนี้ก็เป็นน้องสามสินะ”
สีหน้ากรุ้มกริ่มประกอบกับคำเรียกขาน ‘น้องสาม’ ด้วยน้ำเสียงกระหยิ่มๆ ของเขาทำให้หลีเจี่ยวขนลุกเกรียว รู้สึกพะอืดพะอมไม่หยุด นางหวุดหวิดเกือบต้องแต่งงานกับบุรุษเช่นนี้แล้ว!
“ใช่ ข้าคือคุณหนูสามของสกุลหลี” เมื่อบอกออกจากปากได้แล้ว น้ำเสียงของนางหนักแน่นขึ้น
หลีซานถูกล่อลวงไปจนสูญสิ้นชื่อเสียง อีกอย่างดูท่าทางหลีซานก็ไม่แยแสว่าชื่อเสียงจะย่ำแย่เพียงใดสักนิด แต่นางไม่เหมือนกัน
นางกำพร้ามารดาแต่เด็ก ทั้งยังถูกถอนหมั้น ถ้าเรื่องในวันนี้แพร่ออกไป นั่นก็คือไม่เหลือทางไปแล้ว
“คุณชายจย่า ตอนนี้ท่านรู้ศักดิ์ฐานะของข้าแล้วก็ปล่อยข้าไปเถอะ ข้าไม่ใช่สตรีในหอนี้และไม่ใช่บุตรสาวชาวบ้าน ท่านจะก่อปัญหานี้ไปไย ท่านว่าใช่หรือไม่” ช่วงที่ผ่านมาหลีเจี่ยวไม่สมหวังดังใจมาโดยตลอด ส่งผลให้ซูบลงไม่น้อย ใบหน้ารูปไข่แต่เดิมตอบลงจนคางแหลม ยามนางเบิกดวงตาสุกใสมองพลางกล่าววิงวอนอย่างนี้ ดูน่าสงสารน่าทะนุถนอมนัก
ชายหนุ่มคิดถึงว่าเด็กสาวตรงนี้เกือบกลายเป็นน้องภรรยาของตน ไฟราคะในกายไม่เพียงไม่ดับมอดลงกลับลุกโชนแรงขึ้น
เขายื่นมือไปจับปลายคางของหลีเจี่ยว กล่าวพร้อมหัวเราะร่วน “ใครบอกเจ้าว่าพอข้ารู้ศักดิ์ฐานะของเจ้าแล้วจะปล่อยเจ้าไป ใครบอกเจ้าว่าข้ากลัวมีปัญหาหรือ น้องสามของข้า!”
“ว้าย! เจ้าปล่อยข้านะ” ชายหนุ่มเข้ามาประชิดตัวกะทันหัน นางเปล่งเสียงกรีดร้องอย่างห้ามไม่อยู่
เขาสวมกอดหลีเจี่ยวแล้วล้มตัวลงทาบทับนางไว้บนตั่งสาวงาม “เจ้าร้องเลย ที่นี่เป็นสถานที่อะไร ต่อให้เจ้าร้องจนคอแตกก็ไม่มีคนมาช่วยเจ้าหรอก ฮ่าๆ ดีไม่ดียังจะมีคนอยากร่วมสนุกกับพวกเราก็ได้นะ…”
หลีเจี่ยวฟังแล้วขวัญหนีกระเจิดกระเจิง ขณะที่ฝ่ามือน่าขยะแขยงคู่นั้นตะปบลงบนหน้าอกนาง สติที่เหลืออยู่น้อยนิดก็ขาดผึง นางคว้าหมอนกระเบื้องบนตั่งสาวงามขึ้นฟาดใส่ท้ายทอยของชายหนุ่ม
เสียงเพล้งดังขึ้น ชายหนุ่มตัวอ่อนระทวยล้มคว่ำลง
หลีเจี่ยวมองมือที่ว่างเปล่าด้วยสีหน้าตะลึงพรึงเพริด เศษกระเบื้องชิ้นเล็กชิ้นน้อยร่วงหล่นกระเด็นกระดอนไปทั่วพื้นก็ยังลืมหลบหลีก
ชายหนุ่มนอนนิ่งไม่ไหวติงอยู่บนพื้น โลหิตสีแดงฉานไหลรินออกมาช้าๆ
นางปิดปากแน่นสนิท ขยับตัวไปทางหน้าห้องทีละก้าวจนถึงประตู ตอนมือแตะถูกบานประตูไม้ นางถึงได้สติขึ้นบ้าง
นางตีคนตายแล้วหรือ
นางตีศีรษะบุตรชายคนเล็กของจวนฉางชุนป๋อจนตายหรือ
นางสมควรทำอย่างไรดี
ไม่ได้ หนีออกไปเช่นนี้จะถูกจับได้ทันที
นางจะแตกตื่นไม่ได้ๆ
หลีเจี่ยวพูดปลอบตนเองให้เยือกเย็นไว้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า สะกดความหวาดกลัวจับจิตสาวเท้ากลับไปที่ข้างกายชายหนุ่ม ก้มตัวลงแกะผ้าโพกมวยผมของเขาออก ใช้สองมือที่สั่นเทามัดผมเผ้าที่สยายรุงรังของตนให้เรียบร้อย ถึงเดินย้อนไปหน้าห้องผลักประตูก้าวออกไป
ขณะนี้ยังเช้าอยู่จึงเป็นเวลาที่เงียบเชียบที่สุดของหอคณิกาทุกแห่ง ถึงแม้ก่อนหน้านี้เขากับนางทำเสียงดังเอะอะในสวนจนดึงความสนใจของคนบางคนให้ชะโงกหน้าออกมาดู แต่ตอนนี้คนเหล่านั้นกลับไปนอนเอาแรงต่อแล้ว
หลีเจี่ยวเดินอยู่กลางสวนที่สงบเงียบไร้ผู้คนด้วยความอกสั่นขวัญแขวน นางข่มใจก้าวเท้าเดินไปเรื่อยๆ ทั้งที่แข้งขาอ่อนแรง แต่จู่ๆ ฝ่าเท้าก็เหยียบโดนบางอย่างที่ทอประกายวิบวับ
เด็กสาวก้มหน้าลงพบว่าของที่ตนเหยียบไว้เป็นปิ่นที่เจ้าเดนมนุษย์ผู้นั้นดึงจากมวยผมนางนั่นเอง
หลีเจี่ยวรีบหยิบปิ่นขึ้นมาถือไว้ในมือ
เคราะห์ดีที่เก็บปิ่นคืนมาได้ ไม่อย่างนั้นถ้ามันตกอยู่ที่นี่อาจสร้างปัญหาให้ก็ไม่แน่
นางเร่งฝีเท้าเดินไปถึงประตูเล็กอย่างไม่ง่ายดาย จิตใจก็เขม็งเกลียวมากขึ้น
เมื่อครู่ชุนฟางหนีออกไปทางนี้ ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรกับหญิงเฝ้าประตู ถ้าเกิดอีกฝ่ายจับความผิดปกติได้ไม่ยอมปล่อยนางออกไป เช่นนั้นคงแย่แน่ๆ
หลีเจี่ยวกำปิ่นในมือแน่น บังคับตนเองให้เยือกเย็นไว้
ในเวลาอย่างนี้ยิ่งต้องควบคุมสติเอาไว้ถึงจะรอดพ้นอันตราย ขอเพียงนางออกจากประตูนี้ได้เท่านั้นเป็นพอ
เด็กสาววางท่าทางนิ่งๆ เดินไปยังประตูเล็ก ส่งยิ้มให้หญิงเฝ้าประตู “ท่านป้า รบกวนท่านเปิดประตูให้ข้าที”
หญิงวัยกลางคนเปิดประตูพลางไต่ถาม “ไฉนเมื่อครู่สาว…เอ่อ…เด็กรับใช้ของท่านถึงออกไปก่อนล่ะ ข้าถามเขา เขาก็บอกว่ามีเรื่องด่วน สีหน้าไม่ดีเลย”
หลีเจี่ยวคลี่ยิ้ม “พวกข้าตามหาคนไม่เจอเสียที ข้าเลยให้นางรีบไปดูที่อื่น”
“ข้าว่าแล้วเชียว แต่หอปี้ชุนของพวกข้าเป็นที่ที่ดีที่สุดในเมืองหลวงเชียวนะ ดูลักษณะท่านก็เป็นผู้มีอันจะกิน หากคนที่จะตามหาไม่อยู่ที่นี่ อาจจะไม่ได้มาสถานที่เช่นนี้ก็เป็นได้นะ”
ภรรยาเอกพวกนี้น่าสงสารนัก เพื่อตามหาสามีของตนถึงกับต้องปลอมตัวเป็นบุรุษปะปนเข้ามาในหอคณิกา ง่ายดายหรอกหรือ!
หญิงเฝ้าประตูลอบสะท้อนใจ นางอดมองหลีเจี่ยวซ้ำอีกคราไม่ได้ พลันนั้นก็เห็นรอยสีแดงสะดุดตาปื้นหนึ่งตรงชายเสื้อคลุมของเด็กสาว
รูม่านตาของหญิงวัยกลางคนหดแคบลง นางกางแขนขวางหน้าประตูที่เปิดอ้าออกแล้ว “เอ๊ะ นี่คืออะไรกัน…”
หลีเจี่ยวมองตามสายตาของนางแล้วใจหล่นดังตุบ
ถูกจับได้แล้วหรือ
ยามเข้าตาจน บางคนจะหมดแรงใจแข็งขืนต่อต้านไปจนสิ้น แต่บางคนกลับกระทำเรื่องที่ปกติไม่กล้าทำได้
เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าหลีเจี่ยวเป็นอย่างหลัง
ในเสี้ยวเวลาวิกฤต นางเงื้อปิ่นในมือขึ้นแทงลงที่แขนของอีกฝ่ายสุดแรงโดยปราศจากความลังเลใดๆ
หญิงวัยกลางคนร้องลั่นเสียงหนึ่ง
หลีเจี่ยวฉวยจังหวะหญิงเฝ้าประตูหดแขนกลับผลักนางออกแล้ววิ่งออกไป
หญิงเฝ้าประตูกุมท่อนแขนที่เลือดไหลพลางตะโกนเสียงดัง “เกิดเรื่องใหญ่แล้ว! ฆ่ากันตายแล้ว…”
เสียงร้องโหยหวนของนางเรียกให้นักเลงคุมหอคณิกาวิ่งมาดูในพริบตา
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น!”
“มีสตรีนางหนึ่งปลอมตัวเป็นบุรุษเข้ามา บอกว่าจะตามหาสามี ผลปรากฏว่าตอนนางจะออกไป ข้าพบว่าบนตัวนางมีรอยเลือดอยู่! นางคงสังหารสามีไปแล้วเป็นแน่ สวรรค์…” ครั้นหญิงเฝ้าประตูคิดถึงว่าตนก่อความผิดร้ายแรงขึ้น กอปรกับตกใจที่แขนมีเลือดไหลลงมาไม่หยุด นางก็ตาเหลือกสิ้นสติไป
หัวหน้านักเลงไม่คิดสนใจไยดีหญิงเฝ้าประตูสักนิด เขาโบกไม้โบกมือพร้อมพูด “รีบค้นให้ทั่ว ดูว่ามีใครเป็นอะไรหรือไม่”
หอปี้ชุนของพวกเขาเป็นถึงหอคณิกาชั้นหนึ่งของเมืองหลวง ลูกค้าที่มาเที่ยวหาความสำคัญที่นี่ถ้ามิใช่เศรษฐีก็เป็นผู้สูงศักดิ์ หากมีคนเป็นอะไรไปอยู่ในนี้จริงๆ เช่นนั้นจะเดือดร้อนกันยกใหญ่
สำหรับฆาตกรที่หนีไป…ในเมื่อนางมาตามหาสามี รอเมื่อพวกเขาหาคนที่ถูกทำร้ายพบ ย่อมจะรู้ว่าใครเป็นฆาตกร
ภายในหอตกอยู่ในความโกลาหล คนกลุ่มหนึ่งค้นหาไปเรื่อยๆ จนถึงห้องที่บุตรชายคนเล็กของฉางชุนป๋ออยู่
ประตูถูกผลักเปิด กลิ่นคาวโลหิตคละคลุ้งลอยมาปะทะปลายจมูก
เมื่อเห็นคนที่นอนอยู่บนพื้น มีคนไม่น้อยเปล่งเสียงอุทานด้วยความตกใจ “สวรรค์ นี่มิใช่คุณชายน้อยของจวนฉางชุนป๋อรึ!”
บุตรชายคนเล็กของฉางชุนป๋อซึ่งเป็นลูกค้าประจำของพวกเขาที่นี่ตั้งแต่อายุสิบสามปี เป็นคนที่พวกเขารู้จักคุ้นเคยเหลือเกิน
“เร็วเข้าๆ ดูสิว่าคุณชายจย่ายังมีลมหายใจหรือไม่”