หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 223
บทที่ 223
ณ เพลานี้จิตใจของหลีเจี่ยวกลับตึงเครียดถึงขีดสุด
นางพลัดหลงเข้าไปในหอคณิกา ซ้ำร้ายยังสังหารคุณชายของจวนฉางชุนป๋ออีก สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือรีบกลับไปให้ถึงจวนก่อนชุนฟางก้าวหนึ่งเพื่อยับยั้งมิให้สาวใช้ขอความช่วยเหลือจากคนในครอบครัว
เมื่อเป็นอย่างนี้ ไม่ว่าคนข้างนอกหรือว่าคนในเรือนล้วนไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
ชั่วเสี้ยวเวลานี้ จู่ๆ หลีเจี่ยวก็ไม่นึกเสียใจที่สังหารคนเสียแล้ว
ชีวิตจบลงเป็นเรื่องดีปานใด ตายแล้วก็ไม่มีใครรู้เรื่องในวันนี้
นางกับชุนฟางปลอมตัวเป็นบุรุษปะปนเข้าไปในหอปี้ชุน ไม่มีสักคนที่ล่วงรู้ว่าพวกนางเป็นใคร
ความคิดเหล่านี้หลั่งไหลพรั่งพรูเข้ามาในหัวสมองของหลีเจี่ยวอย่างเร็วรี่ ภายหลังนางพ้นจากอาณาเขตของหอปี้ชุนก็จ้างรถม้าคันหนึ่ง จ่ายเงินค่าจ้างให้เต็มที่เพื่อเร่งรุดกลับสู่จวนสกุลหลีสุดชีวิต
เมื่อมาถึงร้านน้ำชาใกล้ๆ จวนตะวันตก นางผลุนผลันกระโดดลงจากรถม้าแล้วซ่อนตัวอยู่ในมุมลับตาคน
นางคาดคะเนว่าชุนฟางที่กำลังแตกตื่นลนลานอยู่คงไม่ทันคิดจ้างรถม้า ได้แต่ตั้งหน้าตั้งตาวิ่งกลับเรือน หากเป็นเช่นนี้วิ่งได้ไม่นานก็คงหมดแรง จึงมีความเป็นไปได้ถึงแปดหรือเก้าในสิบส่วนที่จะตามหลังนางอยู่
อีกทั้งจวนตะวันตกยังคงอยู่ในสภาพเงียบสงบดังเคย ทำให้นางมั่นใจจุดนี้ยิ่งขึ้น
ไม่ผิดจากที่คาดไว้ นางรอคอยอยู่เป็นเวลาหนึ่งเค่อ ชุนฟางถึงวิ่งกระหืดกระหอบมาถึง
ฝีเท้าของนางซวนเซ สีหน้าหวาดหวั่นร้อนรน ดูกระเซอะกระเซิงมาก หลีเจี่ยวยื่นมือไปฉุดตัวนางมาเข้ามุม
“อุบๆๆ…” ปากถูกคนปิดไว้กะทันหัน ชุนฟางดิ้นขัดขืนสุดกำลัง
“ข้าเอง” หลีเจี่ยวคลายมือออก
ชุนฟางนิ่งขึงไป นางจับมือหลีเจี่ยวไว้พร้อมกับน้ำตาไหลพรากๆ “คุณหนู คุณหนูไม่เป็นไรนะเจ้าคะ”
“ตอนนี้มิใช่เวลาร้องไห้ รอเข้าจวนแล้วค่อยว่ากัน”
“เจ้าค่ะ” ชุนฟางปาดน้ำตาทิ้งแล้วประคองหลีเจี่ยวจะออกเดินไป
หลีเจี่ยวกลับไม่ขยับ นางชี้ไปอีกทางหนึ่งพลางกล่าว “เข้าไปทางประตูเล็กในตรอกด้านโน้น”
ชุนฟางตกใจอยู่บ้าง ตรอกที่คุณหนูชี้บอกสายนั้น ปกติเป็นทางผ่านของคนเก็บมูล เหม็นสกปรกสุดทานทนจริงๆ
“มัวยืนทื่ออยู่ด้วยเหตุใด จะให้ใครเห็นพวกเรากลับมาในสภาพนี้ไม่ได้” หลีเจี่ยวพูดเร่ง
เมื่อเช้าพวกนางสบช่องคนเฝ้าประตูสัปหงกอยู่แอบเล็ดลอดออกมาทางประตูเล็กอีกฝั่งหนึ่ง ถ้าตอนนี้ยังใช้ทางนั้นอีก อาจจะไม่โชคดีเช่นนั้นก็เป็นได้
ขณะที่ประตูเล็กสำหรับเทถังส้วมโดยเฉพาะฝั่งนี้กลับต่างออกไป ธรรมดาจะไม่มีคนเฝ้า แค่ลงดาลเอาไว้เท่านั้น
นายบ่าวสองคนผลุบหายเข้าไปในตรอกคับแคบ เพราะเป็นกลางฤดูร้อน กลิ่นเหม็นคลุ้งลอยเข้าจมูกอยู่ตลอดชวนให้คลื่นไส้
เนื่องจากมีคนเดินผ่านน้อยมาก ในตรอกจึงเป็นพื้นดินลูกรัง มีบางอย่างสีเหลืองปนขาวหกเลอะกระจัดกระจาย ชุนฟางไม่ระวังเหยียบโดนเข้าก็อาเจียนออกมาทันที
ชะรอยเป็นเพราะสังหารคนมา ส่งผลให้อารมณ์ปั่นป่วนพลุ่งพล่านอย่างรุนแรง หลีเจี่ยวกลับไม่รู้สึกรู้สากับภาพที่เห็นเบื้องหน้า นางทำหน้าตึงเอ็ดเสียงเบา “อาเจียนอะไร มัวเสียเวลาอยู่อีกคงเอาชีวิตไม่รอดแล้ว แค่นี้จะมีอะไร”
“เจ้าค่ะ…” ชุนฟางขานตอบด้วยใบหน้าซีดเผือด
พวกนางอุดจมูกเดินต่อไปอย่างทุลักทุเลจนมาถึงประตูเล็กในที่สุด
“คุณหนู พวกเราจะเข้าไปอย่างไรเจ้าคะ”
“ตรงนั้น!” หลีเจี่ยวชี้ไปที่ประตูเล็กไม่ไกลนัก นางพูดจบแล้วเดินไปที่นั่น ใช้ขาเขี่ยหญ้ารกๆ ออกเผยให้เห็นทางหมาลอด
ชุนฟางทำหน้าตะลึงงันทันใด คุณหนูรู้ว่าที่นี่มีทางหมาลอดได้เช่นไร
หลีเจี่ยวย่อมต้องรู้ว่าสาวใช้ของตนมีข้อสงสัย แต่ไม่มีเวลาจะอธิบายกับนาง ยกชายเสื้อขึ้นปิดหน้าแล้วคลานเข้าทางหมาลอดไป
ชุนฟางเห็นคุณหนูยังทำอย่างนี้ ไหนเลยจะกล้าอิดเอื้อนอีก นางคลานเข้าไปตามอย่างผู้เป็นนาย พอฝ่ามือสัมผัสกับของเหนียวๆ หนืดๆ ก็คลื่นไส้ไม่หยุด ทว่าอาเจียนอะไรไม่ออกแล้ว
มุมนี้ไม่ค่อยมีคนผ่านไปมาอยู่แต่เดิม พวกนางมุดทางหมาลอดเข้าไปในจวนแล้วแอบย่องอย่างลับๆ ล่อๆ ตลอดทางจนกลับถึงห้อง
“เร็วเข้าๆ ข้าจะชำระกาย” เมื่อกลับถึงเรือนของตนอย่างราบรื่นก็หมายความว่าหลุดพ้นจากฝันร้ายนั้นแล้วในที่สุด พอจิตใจของหลีเจี่ยวผ่อนคลาย ก็รู้สึกว่ากลิ่นเหม็นร้ายกาจบนกายยากทานทน นางเกาะกำแพงเริ่มอาเจียนลม
หลีเจี่ยวผลัดเปลี่ยนน้ำชำระกายสามถังเต็มๆ ถึงสวมอาภรณ์สะอาดชุดใหม่ จากนั้นเอาเสื้อผ้าทุกชิ้นที่นางกับชุนฟางสวมออกจากเรือนมาแล้วสั่งให้ชิวลู่สาวใช้อาวุโสอีกคนเผาทิ้งให้หมดต่อหน้า ค่อยเรียกทั้งคู่ไปในห้องสั่งกำชับ “ชิวลู่ วันนี้ข้ากับชุนฟางมิได้ย่างเท้าออกนอกเรือนแม้แต่ครึ่งก้าว เจ้าจำได้แล้วหรือไม่”
“บ่าวจำได้แล้วเจ้าค่ะ”
กับสาวใช้ที่เจริญเติบโตมาด้วยกันสองคนนี้ หลีเจี่ยวยังให้ความเชื่อใจอยู่ นางกล่าวเตือนซ้ำอีกหน “จำได้ก็ดี หากหลุดปากล่ะก็ อย่าโทษว่าข้าไม่เห็นแก่ไมตรีที่อยู่เป็นเพื่อนข้าตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่แล้วกัน”
“บ่าวจำได้แน่นอนเจ้าค่ะ”
“เอาล่ะ เจ้าออกไปก่อนเถอะ ส่วนชุนฟางอยู่ก่อน”
รอชิวลู่ไปแล้ว ดวงตาทั้งคู่ของหลีเจี่ยวจับจ้องใบหน้าชุนฟางโดยไม่กล่าววาจาสักคำ
“คุณ…คุณหนู…” ชุนฟางไม่เข้าใจเหตุผล เพียงรู้สึกว่าแววตาของคุณหนูตอนนี้น่ากลัวเป็นพิเศษ นางเข่าอ่อนคุกเข่าลงอย่างห้ามไม่อยู่
“เจ้าลุกขึ้นมานั่งตรงนี้” หลีเจี่ยวชี้ที่ม้านั่งตัวเล็ก
ชุนฟางนั่งลงตัวสั่นเทา
ใบหน้าของหลีเจี่ยวฉายแววเย็นชา “ข้ารู้ว่าเจ้าอยากถามอะไร แต่ไม่ว่าอะไรเจ้าล้วนไม่ต้องถาม ชุนฟาง ข้าต้องการให้เจ้าลืมให้สนิทว่าวันนี้พวกเราไปที่ใดกัน ไม่เช่นนั้นทั้งเจ้าทั้งข้าล้วนต้องไม่ได้ตายดี!”
ชุนฟางสะดุ้งเฮือก นางก้มหน้าพูด “บ่าวเข้าใจแล้วเจ้าค่ะๆ”
“เข้าใจก็ดี” หลีเจี่ยวพรูลมหายใจออกมาเบาๆ เฮือกหนึ่ง “เจ้าอย่าทำตัวสั่นงันงกเช่นนี้ จะทำให้คนอื่นผิดสังเกตได้ หากโชคดีน่าจะคลื่นลมสงบ ไม่มีเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น แต่ถ้าโชคไม่ดี มีคนมาเอาเรื่องที่จวนของเรา เจ้าแค่จำไว้จุดเดียวว่าพวกเราไม่เคยก้าวออกจากประตูเรือนนี้เท่านั้นเป็นพอ”
“เจ้าค่ะ” ชุนฟางพยักหน้าแรงๆ แต่ยังเอ่ยถามอย่างวิตกอยู่บ้าง “มีคนจะเอาเรื่อง? หรือว่าเจ้าคนมากตัณหาผู้นั้นจะไล่ตามถึงที่จวนเราอีก” ตกลงว่าคุณหนูเอาตัวรอดมาได้อย่างไรกันแน่ นางขบไม่แตกโดยสิ้นเชิง
หลีเจี่ยวพลันมองชุนฟางนิ่งๆ นางเม้มปากกล่าวว่า “ข้าฆ่าเขาตายแล้ว”
สาวใช้ตกจากม้านั่งเสียงดังตึงทันที
“ฆ่า…ฆ่า…ฆ่า…” ชุนฟางกระทั่งกล่าววาจายังติดๆ ขัดๆ
แต่หลีเจี่ยวปราศจากความพรั่นพรึงเฉกเช่นคำกล่าวที่ว่าทุบหม้อข้าวจมเรือ* แล้ว “ฉะนั้นเจ้าสมควรกระจ่างแจ้งว่าจะพลั้งปากไม่ได้เป็นอันขาดกระมัง”
ชุนฟางประสบผ่านฝันร้ายนั่นมาด้วยกันกับนางจึงไม่เหมือนกับชิวลู่ หากไม่กระหนาบให้หนักๆ แล้วเกิดทำพิรุธออกมา นางคงต้องตกนรกหมกไหม้ไม่ได้ผุดได้เกิดจริงๆ
เมื่อชุนฟางสงบอารมณ์ลงได้แล้วก็ถอยออกไปในที่สุด ในห้องเหลือแต่หลีเจี่ยวผู้เดียว นางล้มตัวลงนอนบนเตียงอย่างหมดแรงทันใด จ้องมองตลับเงินฉลุลายใส่เครื่องหอมทรงกลมที่ห้อยอยู่ตรงหัวม่านคลุมเตียง ดมกลิ่นหอมที่คุ้นเคยชวนให้สบายใจ ทว่าในเวลานี้ความผวากลัวถึงค่อยๆ พลุ่งขึ้นกลางอกทีละน้อยทีละนิดจนครอบงำจิตใจนางไว้
ทั้งที่อากาศร้อนจัด หลีเจี่ยวกลับดึงผ้าห่มผืนบางขึ้นคลุมร่างที่สั่นสะท้านไปหมด
ณ จวนฉางชุนป๋อ เสียงร่ำไห้ของสตรีในเรือนดังไม่ขาดสาย พวกสาวใช้ถือของต่างๆ เช่นผ้าเนื้อนุ่มกับน้ำร้อนในมือเดินเข้าๆ ออกๆ ประตูตลอดเวลา
“เลิกร้องไห้ได้แล้ว!” ฉางชุนป๋อตวาดเสียงห้วน
เสียงร้องไห้ในห้องหยุดชะงักครู่เดียว ก่อนจะตามมาด้วยเสียงร้องไห้ดังขึ้นอีก
“บุตรชายข้ากลายเป็นเช่นนี้ไปแล้ว ยังร้องไห้ไม่ได้อีกหรือเจ้าคะ ฮือๆๆ ถ้าซูเอ๋อร์มีอันเป็นไป ข้าไม่ขอมีชีวิตอยู่แล้ว…”
“รอท่านหมอออกมาแล้วฟังว่าท่านจะพูดเช่นใด ส่วนทางฮูหยินผู้เฒ่า ปิดบังไว้ก่อนชั่วคราว”
ไม่นานนักมีเสียงตะโกนอย่างตื่นเต้นยินดีดังลอยมาจากห้องด้านใน “คุณชายสี่ฟื้นแล้ว!”
พวกฉางชุนป๋อรีบกรูกันเข้าไป
“ท่านหมอหลวง บุตรชายข้าเป็นอย่างไรบ้าง” ฉางชุนป๋อถาม
ฮูหยินของฉางชุนป๋อถลันไปที่ข้างเตียงจับมือของจย่าซูไว้ “ซูเอ๋อร์ ซูเอ๋อร์เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
จย่าซูซึ่งเพิ่งฟื้นสติถูกมารดาเขย่าตัวจนวิงเวียนตาลาย เขาฝืนกล่าวขึ้น “จวนสกุลหลี ตรอกซิ่งจื่อ…หนู…หนูสาม…”
เขายังพูดไม่จบก็ตาเหลือกสลบไสลไปอีก
* ทุบหม้อข้าวจมเรือ หมายถึงตัดสินใจเด็ดขาดที่จะทำจนถึงที่สุดโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใด หรือพร้อมสละได้ทุกสิ่งเพื่อชัยชนะ มีที่มาจากยุทธการที่จวี้ลู่ ศึกนั้นฝ่ายเซี่ยงอวี่ (ฉู่ป้าหวัง หรือ ฌ้อปาอ๋อง) หมายต่อต้านราชวงศ์ฉินทว่ามีกำลังคนน้อยกว่า เมื่อข้ามแม่น้ำแล้วจึงสั่งให้ทุบหม้อข้าวจมเรือของฝ่ายตนทิ้งไป เพื่อปลุกขวัญทหารให้สู้ตายไม่ถอยหนี จนทำให้มีชัยเหนือฝ่ายฉินในที่สุด