หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 224
บทที่ 224
“ซูเอ๋อร์ ซูเอ๋อร์…” พอเห็นจย่าซูหมดสติไป ฮูหยินของฉางชุนป๋อขวัญเสียไปหมด นางกอดบุตรชายเขย่าตัวเขาแรงๆ
หมอหลวงรีบห้ามปราม “เขย่าตัวไม่ได้ๆ สมองของบุตรชายท่านได้รับความกระทบกระเทือนอยู่ ขืนเขย่าตัวอีกคงไม่รอดแล้ว”
เสียงร่ำไห้ของฮูหยินของฉางชุนป๋อเงียบลง นางถลึงตาใส่หมอหลวงอย่างดุดัน
หมอหลวงน่าชังผู้นี้พูดจาอย่างไรกัน
หมอหลวงทำสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ เขาอารามร้อนใจถึงพูดตามความจริง อีกอย่างจะว่าไปแล้วเจ้าหนุ่มเสเพลทายาทจวนฉางชุนป๋อผู้นี้บาดเจ็บในหอคณิกามิใช่ครั้งสองครั้ง เขาเห็นว่านี่เป็นกรรมสนองกรรมแต่ประการเดียว…
แค่กๆ ผู้เป็นแพทย์พึงมีจิตใจเมตตาการุณย์ ผู้เป็นแพทย์พึงมีจิตใจเมตตาการุณย์ ท่องไว้
“ท่านหมอหลวง อาการของบุตรชายข้าเป็นเช่นไรกันแน่”
หมอหลวงส่ายหน้า “น่าเป็นห่วง”
“ไฉนถึงน่าเป็นห่วง ท่านหมอหลวง เมื่อครู่บุตรชายข้ายังฟื้นสติแล้วมิใช่หรือ”
“นั่นแค่ฟื้นสติชั่วคราว เป็นไปได้มากว่าบุตรชายท่านมีอาการโลหิตคั่งในสมอง มันจะสลายตัวไปได้หรือไม่นั้นเกรงว่าขึ้นอยู่กับฟ้าลิขิต”
“ถ้าไม่สลายตัวไปจะเป็นอย่างไร” ฉางชุนป๋อไต่ถามต่อ
หมอหลวงมุ่นคิ้ว “ถ้าไม่สลายตัวไป หลังฟื้นขึ้นมา คนที่อาการน้อยอาจจะปัญญาอ่อน ส่วนคนที่อาการหนัก…”
ฮูหยินของฉางชุนป๋อฟังแล้วร้องไห้น้ำตาไหลเป็นสาย
“พอที!” ฉางชุนป๋อกลับจากออกไปส่งแพทย์หลวงด้วยตนเองแล้วพูดตวาด “อันว่ามารดารักใคร่ตามใจบุตรมักเสียคน ข้าเคยบอกมาตั้งนานแล้วว่าจะปล่อยปละละเลยซูเอ๋อร์เช่นนี้มิได้ แต่เจ้าไม่รับฟัง บัดนี้เป็นอย่างไรล่ะ สุดท้ายภัยมหันต์ก็มาเยือน”
“ท่านป๋อ ในเวลาอย่างนี้ท่านยังจะกล่าววาจาพวกนี้ไปเพื่ออันใด รีบไปสำนักแพทย์หลวงเชิญหมอหลวงที่เก่งที่สุดมาดูอาการให้ซูเอ๋อร์เถอะ”
“หมอหลวงที่เก่งที่สุด? หมอหลวงที่เก่งที่สุดเป็นคนที่นึกอยากเชิญก็เชิญมาได้อย่างนั้นรึ”
พวกหมอหลวงชั้นสามัญในสำนักแพทย์หลวง ยามไม่ต้องเข้าเวรปฏิบัติงานจะถูกจวนต่างๆ เชิญไปตรวจรักษาโรคให้ แต่หมอหลวงที่มีฝีมือล้ำเลิศไม่กี่คนนั้นมีหน้าที่ดูแลรับใช้เชื้อพระวงศ์โดยเฉพาะ ขุนนางบุญหนักศักดิ์ใหญ่อยากเชิญหมอหลวงเช่นนี้ จำเป็นต้องได้รับพระมหากรุณาธิคุณหรือไม่ก็ต้องเป็นผู้ทรงเกียรติยศอย่างยิ่งยวด
ในเมืองหลวงนี้จวนฉางชุนป๋อจัดอยู่ในระดับสูงไม่สูงต่ำไม่ต่ำ เขาไม่อาจเชิญหมอหลวงฝีมือดีมาได้ในชั่วครู่ชั่วยามจริงๆ
“เจ้าเลิกร้องไห้ได้แล้ว ดูแลซูเอ๋อร์ให้ดี ข้าจะไหว้วานคนไปขอพระเมตตาจากองค์ไทเฮาประเดี๋ยวนี้เลย”
“อื้อๆ ท่านป๋อรีบไปเร็วเข้า”
ฉางชุนป๋อมองบุตรชายที่ไม่ได้สติแวบหนึ่ง แววเหี้ยมเกรียมผุดวาบขึ้นในดวงตา “เมื่อครู่ซูเอ๋อร์พูดว่าอะไรนะ ไฉนข้าได้ยินเขาเอ่ยถึงจวนสกุลหลี…”
ฮูหยินของฉางชุนป๋อเพิ่งนึกขึ้นได้ในเวลานี้ “ใช่ เมื่อครู่ซูเอ๋อร์พูดว่าจวนสกุลหลีตรอกซิ่งจื่อ”
นางตรึกตรองเล็กน้อยก่อนกล่าวอย่างไม่มั่นใจ “ดูเหมือนซูเอ๋อร์จะพูดว่าจวนสกุลหลี…หนูสาม…”
“ฮูหยินได้ยินชัดเจนหรือ”
“ไม่ผิด ซูเอ๋อร์พูดเช่นนี้” สีหน้าของนางแปรเปลี่ยนไป “ท่านป๋อ นี่จะเป็นคนที่ทำร้ายซูเอ๋อร์ใช่หรือไม่ แต่ว่าจวนสกุลหลีกับหนูสามหมายความว่าอะไร”
“ซูเอ๋อร์พูดไม่ปะติดปะต่อกัน น่าจะเป็นคุณหนูสามจวนสกุลหลี!” ฉางชุนป๋อเน้นเสียงกล่าวทีละคำ
“คุณหนูสามจวนสกุลหลี?” ฮูหยินของฉางชุนป๋อทำหน้างุนงง “เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับคุณหนูสามจวนสกุลหลี? ซูเอ๋อร์ได้รับบาดเจ็บที่หอปี้ชุนมิใช่…”
ฉางชุนป๋อแค่นเสียงตัดบทนาง “นี่ต้องไม่ผิดแล้ว ข้าซักถามคนที่พาซูเอ๋อร์มาส่ง พวกเขาบอกว่ามีสตรีปลอมตัวเป็นบุรุษปะปนเข้าไปในหอปี้ชุน จากนั้นทำร้ายซูเอ๋อร์จนบาดเจ็บ”
“นี่หมายความว่าซูเอ๋อร์ของพวกเราโดนคุณหนูสามของจวนสกุลหลีทำร้ายหรือ” ฮูหยินของฉางชุนป๋อทำความเข้าใจได้แล้วเดือดดาลอย่างสุดระงับ “ต้องเป็นเช่นนี้แน่ๆ ท่านป๋ออาจไม่รู้ว่าคุณหนูสามสกุลหลีผู้นั้นขึ้นชื่อลือชาเอาการอยู่ ตอนฤดูใบไม้ผลิถูกโจรค้าทาสล่อลวงไปแดนใต้ ยังกลับมาได้โดยไม่มีแขนขาดขาด้วน อีกทั้งนางก็ไม่เก็บเนื้อเก็บตัวเฉกเช่นพวกเด็กสาวที่ชื่อเสียงเสียหายอีก มิหนำซ้ำสร้างชื่อโดดเด่นได้อีกหลายครั้งหลายครา ถ้าบอกว่านางปลอมตัวเป็นบุรุษเข้าไปในหอปี้ชุน หาใช่เรื่องน่าแปลกจริงๆ!”
ฉางชุนป๋อยิ้มเยาะ “มีหรือข้าจะไม่เคยได้ยิน เรื่องที่สกุลหลีไปก่อกวนถึงที่ว่าการกององครักษ์จินหลินน่ะรู้กันไปทั่วแล้ว”
“ท่านป๋อ ซูเอ๋อร์ถูกนางเด็กตัวดีนั่นทำร้ายจนไม่รู้แน่ว่าจะเป็นหรือตาย พวกเราจะแล้วกันไปเท่านี้ไม่ได้”
“แล้วกันไปเท่านี้ไม่ได้แน่นอน! ฮูหยินอย่าเพิ่งร้อนใจ ข้าจะไปไหว้วานพรรคพวกให้ช่วยเชื้อเชิญหมอหลวงที่เชี่ยวชาญในแขนงนี้มากที่สุดมาดูอาการให้ซูเอ๋อร์ก่อน จากนั้นพวกเราค่อยพาคนไปจวนสกุลหลีขอคำอธิบายจากพวกเขา!”
ฉางชุนป๋อออกไปไหว้วานพรรคพวกให้ช่วยเชิญหมอหลวงอย่างเร่งรีบ
หมอหลวงมาตรวจอาการแล้วยังคงวินิจฉัยใกล้เคียงกับหมอหลวงคนก่อนหน้า เขาเขียนใบสั่งยาให้แล้วกลับไปอย่างไม่อนาทรร้อนใจ
สองสามีภรรยาแห่งจวนฉางชุนป๋อจะทนรับได้ที่ใดกัน พาคนมุ่งหน้าไปที่จวนตะวันตกของสกุลหลีด้วยท่าทางถมึงทึงเอาเรื่อง
ฉางชุนป๋อยืนอยู่หน้าประตูจวนตะวันตก โบกมือคราหนึ่งพร้อมบอกเสียงกระด้าง “พังประตู!”
ผู้คุ้มกันจวนร่างบึกบึนล่ำสันผู้หนึ่งก้าวออกไปทุบประตูใหญ่เสียงดังปึงๆ สนั่นหวั่นไหว
เสียงอึกทึกครึกโครมนี้ดึงความสนใจของคนบนถนนและบ้านใกล้เรือนเคียงได้ทันที
“เกิดเรื่องอันใดขึ้น มีคนมาหาเรื่องสกุลหลีหรือ”
“พวกเจ้าลืมไปแล้ว ก่อนหน้านี้ไม่นานสกุลหลีเพิ่งไปก่อกวนที่ว่าการกององครักษ์จินหลินมิใช่หรือ นี่ต้องเป็นอีกฝ่ายตามมาเอาคืนแน่”
“ประเดี๋ยวก่อน ข้าจำหน้าคนที่ทุบประตูอยู่ได้คลับคล้ายคลับคลานะ มีครั้งหนึ่งข้าตามเจ้านายไปที่จวนฉางชุนป๋อ เคยดื่มสุรากับคนผู้นั้น…”
“จวนฉางชุนป๋อ? จวนฉางชุนป๋อที่บุตรชายคนเล็กมัวเมาอยู่ในหอคณิกาวันทั้งวันนั่นน่ะหรือ จริงสิ จวนฉางชุนป๋อกับสกุลหลียังเคยหมั้นหมายกันด้วยนะ ต่อมามิใช่ถอนหมั้นไปแล้วหรือ วันนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก”
“ใครจะรู้เล่า ถึงอย่างไรต้องเป็นละครฉากสนุกๆ แน่นอน ดูต่อไปก็รู้เอง”
“ใครกัน เคาะประตูเสียงดังถึงเพียงนี้…” ยามเฝ้าประตูนามเหล่าจ้าวเปิดประตูออกก็ถูกผู้คุ้มกันของจวนฉางชุนป๋อผลักจนตัวเซไปทันใด
ฉางชุนป๋อพาคนก้าวเท้าปราดๆ เข้าไปข้างใน
“นี่! บุกรุกเรือนผู้อื่นได้อย่างไรกัน” เหล่าจ้าวตะลีตะลานเข้าไปขัดขวาง
“ไสหัวไป! ถ้าสกุลหลีของพวกเจ้าไม่ติงว่าน่าอับอาย ข้าไม่ถือสาสักนิดที่จะเปิดโปงเรื่องฉาวโฉ่ที่คุณหนูในจวนพวกเจ้ากระทำไว้ออกมาต่อหน้าธารกำนัล”
ฉางชุนป๋อกล่าวเสียงดุดัน
คนชราย่อมผ่านโลกมามาก เหล่าจ้าวได้ยินแล้วไม่มีแก่ใจสกัดคน ก้าวขาออกวิ่งเข้าไปข้างในรายงานผู้เป็นนาย
วันนี้เป็นวันพักของขุนนางพอดี ในเรือนชิงซงหลีกวงเหวินกำลังฟังฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งคุยเรื่องค่าใช้สอยต่างๆ ภายในจวนช่วงนี้ พอได้ยินคำรายงานของเหล่าจ้าวก็ตกอกตกใจทันควัน
“อะไรนะ คนของจวนฉางชุนป๋อมาหาเรื่อง? ยังบอกว่าคุณหนูของจวนเราก่อเรื่องฉาวโฉ่ขึ้น?” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งผุดลุกขึ้นยืนทันที
“ท่านแม่ ท่านไม่ต้องร้อนใจ ลูกจะออกไปดูเองขอรับ”
“เจ้าใหญ่ อย่าโต้เถียงกับพวกเขาข้างนอกนะ เชิญคนเข้ามาก่อนค่อยว่ากัน” หญิงชราพูดกำชับจบแล้วบังเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีฉับพลัน จึงสาวเท้าเดินไปทางข้างนอก “ช่างเถอะ ออกไปพร้อมกันเถอะ”
บุตรชายอารมณ์ร้อนเกินไป ถ้าเกิดทะเลาะวิวาทกับคนอื่นอยู่ข้างนอกจะเสียเรื่อง
นางเพิ่งก้าวออกจากเรือนก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินสีหน้าถมึงทึงเข้ามา คนที่อยู่ด้านหน้าคือฉางชุนป๋อกับภรรยา
ขณะเห็นสองสามีภรรยาคู่นี้ จิตใจของฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งปนเปไปด้วยอารมณ์หลายหลาก
เมื่อสองสามเดือนก่อนนี้เอง จวนฉางชุนป๋อยกเลิกการหมั้นหมายของบุตรชายพวกเขากับหลานสาวคนโตของนางที่หมั้นหมายกันมานานสิบกว่าปี ตอนนั้นทั้งคู่ล้วนไม่มาที่จวนด้วยซ้ำไป เดิมนึกว่าคงไม่มีวันได้พบปะกับคนตระกูลนี้อีก ไม่คิดว่าวันนี้กลับมาเยือนถึงที่
“มิทราบว่าท่านป๋อกับฮูหยินมาที่นี่มีธุระอันใดหรือ”
พอเห็นฮูหยินผู้เฒ่าเรือนผมหงอกขาวออกมาต้อนรับ ฉางชุนป๋อแค่นหัวร่อเสียงหนึ่ง “พวกข้ามาทวงความเป็นธรรมให้บุตรชาย”
“ถ้อยคำนี้ของท่านป๋อมีความหมายใดกัน”
ฮูหยินของฉางชุนป๋อถลันออกมาพูดเสียงกร้าว “บุตรชายข้าถูกหลานสาวต่ำช้าเลวทรามผู้นั้นของท่านทำร้ายจนอาการเป็นตายเท่ากัน รีบเรียกนางเด็กตัวดีนั่นไสหัวออกมา!”