หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 227
บทที่ 227
ปิงลวี่ฟังแล้วเดาะลิ้นกล่าวขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ “เชอะ คุณชายไม่รักดีของจวนฉางชุนป๋อไปสำมะเลเทเมาในหอคณิกา จากนั้นโดนคนตีจนปางตาย แล้วเกี่ยวข้องอะไรกับคุณหนูของพวกเราด้วย เหตุไฉนเรื่องใดๆ ก็ล้วนป้ายความผิดให้คุณหนูอยู่เรื่อย”
เฉียวเจาสั่นศีรษะเป็นเชิงบอกปิงลวี่ว่าไม่จำเป็นต้องพูดอีก นางตรึกตรองชั่วครู่ก่อนเลิกม่านประตูขึ้นไต่ถามเฉินกวง “เฉินกวง ตอนออกมาเมื่อเช้า เจ้าบอกว่ามีคนพเนจรสะกดรอยตามมาหรือ”
เรื่องในใต้หล้านี้อาจจะมีความบังเอิญมากมาย แต่นางเชื่อว่าที่มีมากกว่านั้นคือบางสิ่งบางอย่างที่เชื่อมโยงกันอย่างหนีไม่พ้นซึ่งซ่อนอยู่ใต้ความบังเอิญ
ออกจากเรือนตอนเช้าตรู่มีคนพเนจรติดตามอยู่ด้านหลังอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยก็ชวนให้กังขาแล้ว ผลปรากฏว่าเกิดเรื่องแปลกประหลาดเช่นนี้ขึ้นอีก
เฉินกวงกุมสายบังเหียนอยู่หันศีรษะมา “ใช่ขอรับ เจ้าลูกสุนัขนั่นก็ไม่คิดเสียบ้างว่าปู่ของมันเป็นใคร ถึงกับกล้าสะกดรอยตาม…”
ปิงลวี่ขึงตาใส่เขา “เจ้าเรียกตัวเองว่าปู่ต่อหน้าใครฮึ”
เฉินกวงฉีกยิ้มแหยๆ เขาเผลอพูดตามปากพาไปชั่วขณะ ตอนอยู่ในค่ายทหารมีผู้ใต้บังคับบัญชาไม่น้อย เรียกตนเองว่า ‘ปู่’ จะนับว่ามีอะไร ไม่เหมือนอย่างตอนนี้ที่เรียกตัวเองว่าปู่ได้แค่ต่อหน้าเจ้าม้าเทียมรถตัวนี้
เฮ้อ…ท่านแม่ทัพที่เคารพขอรับ ท่านรีบพยายามตบแต่งภรรยาเข้าจวนโดยไวเถอะ
“ตอนหลังเจ้าสลัดคนผู้นั้นทิ้งได้แล้วใช่หรือไม่” เฉียวเจาถามต่อ ไม่แยแสที่สาวใช้กับสารถีต่อปากต่อคำกัน
เฉินกวงได้ยินแล้วกระฉับกระเฉงขึ้นทันควัน “ขอรับ สลัดทิ้งไปแล้ว ข้าล่อให้เจ้าบัดซบนั่นตกคูไปเลยขอรับ”
“หือ?”
เฉินกวงยิ้มอวดฟันขาวทั้งปากใต้แสงอาทิตย์ “ข้าสลัดเขาทิ้งที่หน้าประตูหอปี้ชุน หากเจ้าบัดซบนั่นคิดจะเข้าไป ข้าคะเนว่าคงถูกพวกลูกเต่าของหอปี้ชุนไล่ตีออกมาขอรับ”
“คุณหนู…” พอได้ยินคำว่า ‘หอปี้ชุน’ อาจูมองไปทางผู้เป็นนายด้วยสีหน้าหนักอึ้ง
“หอปี้ชุน” เฉียวเจาพึมพำทวนคำ ถูกต้องแล้ว เรื่องราวเชื่อมโยงกันตามคาด
แม้ว่าขณะนี้ยังไม่แจ่มแจ้งว่าบุตรชายคนเล็กของจวนฉางชุนป๋อกับนางมาพัวพันกันได้อย่างไร แต่ต้องเกี่ยวข้องกับคนพเนจรที่สะกดรอยตามนางเมื่อเช้านี้อย่างแน่นอน
สำหรับเฉียวเจาแล้ว ตอนนี้ยังไม่รู้เรื่องอย่างละเอียดไม่เป็นไร จับจุดสำคัญให้ได้เท่านั้นเป็นพอ
สีหน้าของนางไม่แปรเปลี่ยนยามเอ่ยถามเฉินกวงอย่างใจเย็น “คนพเนจรผู้นั้น เจ้ายังจำหน้าได้หรือไม่”
เฉินกวงนิ่งไปเล็กน้อยถึงพยักหน้า “ได้ขอรับ”
การจดจำลักษณะเด่นของคนเป็นทักษะพื้นฐานที่สุดที่พวกเขาต้องมีติดตัว
“แรกสุดที่สังเกตเห็นคนพเนจรคือที่ใด”
“ดูเหมือนจะเป็นแถวร้านน้ำชาไม่ไกลจากจวนตะวันตกขอรับ”
“เช่นนั้นพอส่งพวกข้ากลับถึงจวน เจ้าไปตามหาคนพเนจรผู้นั้น” เฉียวเจาหยุดใคร่ครวญแล้วสั่งกำชับ “ไปดูตามหอสุราละแวกใกล้ๆ ด้วย”
“ขอรับ” เฉินกวงตอบอย่างว่องไว
คุณหนูสามพบกับปัญหาเช่นนี้ ต่อให้นางไม่พูด เขาก็ต้องลากคอเจ้าคนพเนจรนั่นออกมา
ทั้งสองผลัดกันพูดผลัดกันตอบอย่างสั้นกระชับ ปิงลวี่กลับอดรนทนไม่ไหว กระตุกแขนเสื้อเฉียวเจาพลางถาม “คุณหนู เพราะอะไรต้องไปหาตามหอสุราละแวกใกล้ๆ ด้วยเจ้าคะ”
เฉียวเจาคลี่ยิ้ม “คนพเนจรผู้นั้นต้องได้รับเงินจากคนอื่นถึงสะกดรอยตามพวกเรา เจ้าลองคิดดูสิว่าถ้าคนพเนจรที่ไม่เอางานเอาการต้องอดมื้อกินมื้อได้ลาภก้อนหนึ่งอย่างคาดไม่ถึง เขาจะทำอะไร”
“กินดื่มให้อิ่มหนำสำราญสักมื้อ” ปิงลวี่ตาเป็นประกาย นางมองคุณหนูของตนด้วยสายตาเลื่อมใส
คุณหนูของนางนั้นรวมเอาความงามและสติปัญญาไว้ในตัวคนๆ เดียวโดยแท้
เฉียวเจาพยักหน้า ทั้งที่กำลังจะเผชิญกับปัญหายุ่งยาก หากดวงหน้านางหาได้มีแววร้อนรนให้เห็นแม้สักนิด “เฉินกวงมีไหวพริบเฉียบไว สังเกตเห็นว่ามีคนสะกดรอยตามมาแต่แรก แสดงว่าละแวกใกล้ๆ ร้านน้ำชาเป็นแถวที่คนพเนจรปักหลักอยู่เป็นประจำ ดังนั้นเขาจะกินอาหารก็ต้องเลือกสถานที่ที่คุ้นเคยโดยรอบ”
เฉินกวงคิด ฮ่าๆๆ คุณหนูชมว่าข้ามีไหวพริบเฉียบไว ข้ารู้อยู่แล้วว่าคุณหนูสามมีสายตาแหลมคม
เฉียวเจาหยุดเว้นจังหวะก่อนกล่าวต่อ “ถ้าหากไม่พบที่หอสุรา อย่างนั้นรอฟ้ามืดแล้วเจ้าค่อยไปหาตามหอคณิกาชั้นต่ำบริเวณนั้นอีกที”
เฉินกวงแทบพลัดตกจากรถม้า
“อะไรรึ”
“หอคณิกา” สีหน้าของแม่นางเฉียวไม่แสดงอารมณ์ใดๆ “เจ้าไม่เคยไปหรือ”
เฉินกวงอึ้งงัน “…” ไม่เคยไปแน่นอน! คุณหนูสามพูดตามสบายเหมือนเป็นเรื่องสามัญธรรมดาเช่นนี้จะดีหรือ
“จริงสิ เจ้าเพิ่งกลับจากแดนเหนือยังไม่คุ้นเคย เช่นนั้น…”
เฉินกวงรีบตัดบทนาง “คุณหนูสามวางใจได้ ข้าจะหาตัวคนพเนจรผู้นั้นมาให้ท่านให้ได้ขอรับ”
เฉียวเจาไว้วางใจเฉินกวงในเรื่องนี้อยู่มาก นางจึงไม่พูดอะไรอีก ไม่นานนักรถม้าก็กลับถึงจวนตะวันตก
“เจาเจา เจ้ากลับมาแล้วหรือ” เหอซื่อรออยู่ข้างนอกตลอด นางเห็นบุตรสาวเดินมาก็รีบเข้าไปจับมือไว้ พลางเอ่ยถามเสียงเบาๆ “บุตรชายคนเล็กของจวนฉางชุนป๋อโดนคนทำร้ายบาดเจ็บในหอปี้ชุน เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้ากระมัง”
เฉียวเจาส่ายหน้า
เหอซื่อระบายลมหายใจเฮือกใหญ่ “ไม่เกี่ยวข้องก็ดีแล้ว แต่ถ้าเกี่ยวข้อง เจ้ารีบหนีไปตอนนี้ยังทันกาล แม่รับหน้าแทนเจ้าเอง!”
“ท่านแม่…” เฉียวเจากุมมือมารดาเบาๆ ความรู้สึกที่ไม่ว่าผิดหรือถูกล้วนมีคนกางปีกปกป้องเช่นนี้ นางมิเคยสัมผัสมาก่อน แต่กลับรู้สึกว่าไม่เลวเลย
“คุณหนูสามมาแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้ที่เฝ้าอยู่หน้าประตูร้องบอกแล้วเลิกม่านประตูขึ้น
ฮูหยินของฉางชุนป๋อได้ยินว่าเฉียวเจาเข้ามาก็เดินรี่ไปหาทันที
เหอซื่อชูกรรไกรในมือขึ้น “อย่าขยับ! ถ้าท่านขยับ ข้าก็ขยับตามนะ”
ขณะนี้ยังไม่ถึงยามเที่ยง แสงแดดเจิดจ้าส่องลอดเข้ามาในโถงกระทบกรรไกรสะท้อนประกายวาววับชวนให้อกสั่นขวัญแขวน
ฮูหยินของฉางชุนป๋อหยุดฝีเท้ากึก นางกล่าวด้วยเสียงชิงชัง “อะไรกัน เจ้ายังจะปกป้องคนผิดอีกหรือ”
เหอซื่อกลอกตาขึ้น “พูดจาอะไรกัน ข้าถามบุตรสาวข้าแล้ว นางไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องของครอบครัวเจ้าสักนิด จะเรียกว่าปกป้องคนผิดได้อย่างไร”
“นางบอกว่าไม่เกี่ยวก็ไม่เกี่ยวหรือ”
เหอซื่อแค่นหัวร่อ “แน่นอนสิ ข้าไม่เชื่อบุตรสาวตัวเอง แล้วให้เชื่อบุตรชายที่มัวเมาสุรานารีเที่ยวหอคณิกาคนนั้นของเจ้าหรือไร เจ้าก็เชื่อคำพูดของบุตรชายเจ้าเหมือนกันมิใช่รึ”
“เจ้า!” ฮูหยินของฉางชุนป๋อโดนตอกกลับจนทำตาปะหลับปะเหลือกไม่หยุด
ทว่าสามีของนางควบคุมอารมณ์ได้ดีกว่า เขากล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งด้วยสีหน้าขึงขัง “ฮูหยินผู้เฒ่า มีท่านหมอหลวงเป็นพยาน เห็นได้ว่าพวกข้ามิได้พาลหาเรื่อง หวังว่าพวกท่านจะให้คำอธิบายสักอย่างเกี่ยวกับเรื่องในวันนี้ ไม่เช่นนั้นล่ะก็ พวกเราไปพบกันที่ที่ว่าการแล้วกัน”
“ท่านป๋อโปรดอย่าเพิ่งใจร้อน” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งมองไปทางเฉียวเจา “หลานเจา วันนี้เจ้าไปที่ใดมา”
“ข้าไปพบสหายผู้หนึ่งที่หอชุนเฟิง ไม่ได้พบกับคุณชายเล็กของจวนฉางชุนป๋อเลย แล้วก็ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องในวันนี้แม้แต่น้อยเจ้าค่ะ”
ได้ยินเฉียวเจาบอกเช่นนี้ จิตใจที่หวาดหวั่นวิตกมาโดยตลอดของหญิงชราก็ผ่อนคลายลงในชั่วอึดใจ
“ท่านป๋อกับฮูหยินต่างได้ยินแล้ว แต่ไรมาหลานสาวข้าคนนี้ไม่พูดปด นางไปที่หอชุนเฟิง มิใช่หอปี้ชุน”
ฉางชุนป๋อจับจ้องเฉียวเจานิ่งๆ ด้วยสายตาคมปลาบดุจนกเหยี่ยว เขายิ้มเยาะพลางเอ่ย “ถ้าคุณหนูสามไม่ได้ไปที่หอปี้ชุน เพราะเหตุใดบุตรชายข้าฟื้นขึ้นมาก็เอ่ยคำว่าจวนสกุลหลี ตรอกซิ่งจื่อ กับหนูสามเล่า ในเมื่อพวกท่านตั้งใจจะปกป้องคนผิดจนถึงที่สุด เช่นนั้นพวกข้าก็ขออำลาแล้ว”
เขาหมุนกายเดินออกไป ส่งผลให้พวกฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งอดร้อนใจยกใหญ่ไม่ได้
เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้บีบคั้นจวนสกุลหลีให้เข้าตาจนจริงๆ
จวนฉางชุนป๋อยืนกระต่ายขาเดียวว่าเป็นหลานเจา ซ้ำยังมีหมอหลวงเป็นพยาน ทันทีที่ไปฟ้องร้องที่ว่าการ เรื่องนี้จะถูกประโคมข่าวอย่างครึกโครม ต่อให้สุดท้ายสืบได้ความกระจ่างว่าหลานเจาไม่ใช่คนร้าย แต่เผอิญว่าตอนอีกฝ่ายฟื้นสติกลับเอ่ยถึงหลานเจา เท่านี้ก็มากพอจะสร้างความเสื่อมเสียด่างพร้อยให้หลานเจาได้แล้ว
จะให้ไปที่ที่ว่าการไม่ได้เด็ดขาด
“ท่านป๋อโปรดหยุดฝีเท้าก่อน…” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งร้อนรนจนหลั่งเหงื่อท่วมกาย
ฉางชุนป๋อสาวเท้าตรงไปที่หน้าประตูโดยไม่สนใจไยดีสักนิด
“ข้าเป็นคนทำร้ายเขาเอง” เสียงหนึ่งดังขึ้น