หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 229
บทที่ 229
กลุ่มคนที่ล้อมวงกันอยู่พากันถอยออกไปมุงดูอยู่ด้านข้าง เปิดทางโล่งกว้างไว้ตรงกลางสายหนึ่ง
บุรุษรูปงามหาที่เปรียบมิได้ถือพัดด้ามจิ้วในมือ ย่างเท้าเข้ามาพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ ประดับมุมปาก
ใบหน้าของคุณชายฉือนั้นโดดเด่นสะดุดตาเหลือจะกล่าวจริงๆ อีกทั้งมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนผู้ใดในเมืองหลวงอีก ชั่วประเดี๋ยวเดียวก็มีคนจดจำเขาได้
“เอ๊ะ นี่มิใช่คุณชายฉือของวังองค์หญิงใหญ่หรือ”
“ใช่แล้วๆ คุณหนูสามสกุลหลีอยู่กับเขาได้อย่างไรกัน”
มีคนตบเข่าฉาดด้วยความคึกคักทันที “หรือมีความสัมพันธ์กันลับๆ”
คนที่มีสติมากกว่าพูดอย่างลังเลอยู่บ้าง “แต่เหมือนคุณหนูสามสกุลหลีไม่โฉมงามเท่าคุณชายฉือนะ”
“ชิ้วๆ คุณหนูสามอายุน้อย ยังไม่เจริญวัยเต็มที่ อีกไม่กี่ปีบางทีอาจพอถูๆ ไถๆ เทียบเคียงได้…”
แม่นางเฉียวอึ้งงัน “…” ขอบคุณจริงๆ ข้ามิได้หูหนวก!
เห็นหนุ่มงามนามกระเดื่องทัดเทียมกับพี่ชายตนเดินตรงเข้ามาหาทีละก้าวๆ แล้วในใจเฉียวเจาปนเปไปด้วยอารมณ์หลายหลาก
แม้นนางรับรู้ถึงความปรารถนาดีของเขา ทว่าคนผู้นี้มิใช่มาสร้างปัญหามากขึ้นจริงๆ หรือ
เฉียวเจาอ่อนอกอ่อนใจเต็มที นางมองดูฉือชั่นเดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้า
เมื่อทอดสายตาข้ามตัวฉือชั่นมองไปยังทิศทางที่เขาเดินมา ก็เห็นว่าพวกเซ่าหมิงยวนยืนอยู่ด้านหลังฝูงชน
เซ่าหมิงยวนมีเรือนกายสูงใหญ่ ถึงยืนอยู่ตรงนั้นกลับโดดเด่นประหนึ่งนกกระเรียนกลางหมู่วิหค
เขายืนหันหลังให้แสง ทำให้มองเห็นสีหน้าไม่ใคร่ชัดเจน
เฉียวเจาดึงสายตากลับ
“ท่านคือฉางชุนป๋อ?” ฉือชั่นยืนอยู่หน้าฉางชุนป๋ออย่างสง่าผ่าเผยเป็นธรรมชาติไปทุกอิริยาบถ “ท่านป๋อรู้จักข้ากระมัง”
ฉางชุนป๋อยกยิ้ม “จะไม่รู้จักคุณชายฉือได้เช่นไร ครั้งนั้นองค์ไทเฮาทรงจัดงานเลี้ยงฉลองเทศกาลฉงหยาง* ข้ากับภรรยาล้วนไปร่วมงาน ยังจำได้ว่าคุณชายฉือนั่งกินปูอยู่ข้างพระวรกาย”
ฉือชั่นฟังแล้วชักไม่สบอารมณ์ อย่าเอ่ยถึงเรื่องกินปู คราวนั้นทำเขาท้องเสียไปถึงสองวัน!
“รู้จักก็ดี” ฉือชั่นคลี่ยิ้มใช้พัดด้ามจิ้วชี้ไปที่เฉียวเจา “ท่านป๋อฟังให้ดีๆ เช้าวันนี้คุณหนูสามสกุลหลีพูดคุยธุระกับข้าที่หอชุนเฟิงตลอด ไม่มีทางปรากฏตัวในสถานที่อโคจรใดๆ เป็นอันขาด ดังนั้นขอให้ท่านป๋ออบรมสั่งสอนคนในเรือนให้เข้มงวด อย่าพูดจาส่งเดช!”
“เรื่องนี้…” ฉางชุนป๋อรู้ว่าลูกหลานเชื้อพระวงศ์ผู้นี้ไม่เกรงฟ้ากลัวดิน อย่าว่าแต่ผู้สูงศักดิ์ทั่วไป กระทั่งท่านอ๋องทั้งสองยังต้องถอยให้สามส่วน เป็นเหตุให้เขาไม่รู้ว่าจะรับมืออย่างไรดีไปชั่วขณะ
ฮูหยินของเขากลับมีความเข้มแข็งตามประสาผู้เป็นมารดา นางไม่คำนึงถึงอะไรมากมายถึงเพียงนั้น กล่าวเสียงเยาะหยันขึ้นว่า “ในเมื่อคุณหนูสามอยู่กับคุณชายฉือตลอด ถ้าอย่างนั้นเมื่อครู่นางก็แก้ตัวแทนพี่ชายน่ะสิ”
อยู่กับคุณชายฉือ? หึๆ สตรีนางหนึ่งโดนเปิดเผยว่าขลุกอยู่กับบุรุษไร้คู่ต่อหน้าผู้คน หรือว่าเป็นวาจาน่าฟังอันใด
วันหน้าคุณหนูสามสกุลหลีอย่าหมายจะได้ออกเรือนแล้ว!
แต่งงานกับคุณชายฉือ? อย่าล้อเล่นเลย ด้วยนิสัยขององค์หญิงใหญ่ฉางหรง มีหรือจะยอมพยักหน้าตกลงรับนางเด็กตัวดีชื่อเสียงฉาวโฉ่เช่นนี้เข้าไปเป็นสะใภ้?
เฉียวเจาเดินตรงเข้าไปหาหลีฮุย “พี่สาม ข้ารู้ว่าเรื่องในวันนี้ไม่เกี่ยวข้องกับท่าน ท่านไม่ต้องไปกับพวกเขา”
“น้องเจา เจ้ารีบกลับเข้าเรือนเถอะ ข้าเป็นคนตีเขาบาดเจ็บจริงๆ…”
“ท่านเปล่า” เฉียวเจาตัดบทหลีฮุยเสียงเฉียบขาด ไม่ยี่หระต่อสายตานับไม่ถ้วนซึ่งจับจ้องมาที่ตัวนางสักนิด “เมื่อเช้านี้ข้าอยู่ที่หอชุนเฟิงจริงๆ และมีคนเป็นพยานได้ ท่านไม่จำเป็นต้องแบกรับความผิดไว้เองเพื่อรักษาชื่อเสียงของข้า เพราะมันไร้ความหมายแล้ว”
สีหน้าของหลีฮุยเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาพูดพึมพำ “น้องเจา…”
เฉียวเจาหมุนกายไปสบตากับฉางชุนป๋อตรงๆ พูดด้วยน้ำเสียงฉะฉาน “ในเมื่อท่านป๋อบอกว่าคนของหอปี้ชุนเห็นสตรีปลอมตัวเป็นบุรุษปะปนเข้าไป ต่อหน้าเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงทั้งหลายที่นี่ ไยไม่เรียกคนผู้นั้นมา เมื่อเขาเห็นหน้าพี่สามของข้าย่อมจะรู้ว่าใช่หรือไม่เป็นธรรมดา”
“นั่นสิ เรียกคนของหอปี้ชุนมาที่นี่เลย!” บรรดาผู้มุงดูอยู่นั้นย่อมไม่ติงว่าเรื่องจะลุกลามใหญ่โต พอได้ยินเฉียวเจากล่าวเช่นนี้ก็ร้องตะโกนขึ้นทันใด
ฉางชุนป๋อแค่นหัวร่อ “สาวใช้ที่เห็นหน้าคนร้ายผู้นั้นจู่ๆ ก็โรคหัวใจกำเริบเฉียบพลันตายไปแล้ว!”
“อะไรนะ ตายไปแล้ว?” ผู้มุงดูทั้งหลายพากันตื่นเต้นฮือฮาทันใด
พยานปากเอกจบชีวิต เรื่องราวยิ่งมายิ่งน่าสนุก
หลีกวงเหวินหน้าเปลี่ยนสีกะทันหัน
ผู้เห็นเหตุการณ์ตายไปแล้ว? เรื่องประจวบเหมาะเช่นนี้ชวนให้ปวดเศียรเวียนเกล้าจริงๆ!
ถึงแม้เจ้าหนุ่มที่โผล่มาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยจะช่วยเป็นพยานให้บุตรสาวของเขา ถือได้ว่านางหลุดพ้นจากการเป็นผู้ต้องสงสัย แต่ก็เป็นเพราะเช่นนี้เอง ผู้เห็นเหตุการณ์ถึงมีความสำคัญเป็นพิเศษ ไม่เช่นนั้นอาศัยคำพูดก่อนหมดสติของเจ้าเดรัจฉานน้อยของจวนฉางชุนป๋อรวมถึงคำยืนยันของหมอหลวง บุตรชายเขาก็ล้างมลทินไม่ได้
ฝ่ายฉางชุนป๋อเองก็มั่นใจในจุดนี้อย่างเห็นได้ชัด เขากล่าวอย่างปึ่งชา “ฉะนั้นพวกเราไปที่ว่าการกันเถอะ ให้เจ้าหน้าที่ทางการเป็นผู้ตัดสินคดีก็สิ้นเรื่อง เมื่อสืบสาวราวเรื่องอย่างกระจ่างแจ้ง พวกเขาย่อมจะผดุงความยุติธรรมอย่างแน่นอน”
“ยังต้องการให้เรื่องไปถึงที่ว่าการอยู่ดี?”
เหล่าผู้มุงดูได้ยินแล้วนอกจากจะตื่นเต้นคึกคักยังอดขัดใจมิได้ เพราะถึงยามเที่ยงตรงซึ่งเป็นเวลากินอาหารแล้ว รู้แต่แรกน่าจะนำเสบียงกรังติดตัวมาด้วย
ด้านหลังฝูงชน หยางโฮ่วเฉิงบ่นพึมพำอย่างร้อนใจอยู่บ้าง “คุณหนูหลีตกอยู่ในสถานการณ์ไม่ค่อยดีเท่าไร แม้ว่าสือซีจะออกไปบอกว่าคุณหนูหลีอยู่กับเขานับว่ากันตัวนางออกมาได้ แต่ดูเหมือนพี่ชายของนางจะตกที่นั่งลำบากเสียแล้ว ถิงเฉวียน จื่อเจ๋อ พวกเราจะช่วยนางอย่างไรดี หรือไม่ข้าออกไปบอกว่าคุณชายหลีอยู่กับข้าเมื่อเช้านี้ดีหรือไม่”
จูเยี่ยนโคลงศีรษะอย่างระอาใจ “เจ้าอย่าสร้างปัญหาเพิ่มขึ้นอีก เมื่อครู่นี้ไม่ทันระวังปล่อยให้สือซีออกไปก็วุ่นวายพอแล้ว”
“แล้วทำอย่างไรกันดี จะมองดูคุณหนูหลีโดนกลั่นแกล้งต่อหน้าต่อตาหรือ”
จูเยี่ยนมองไปทางเซ่าหมิงยวนที่นิ่งเงียบอยู่ตลอด “ถิงเฉวียน เจ้าคิดอ่านเช่นไร”
เซ่าหมิงยวนทอดสายตามองข้ามกลุ่มคนไป
ใต้แสงอาทิตย์ร่างเด็กสาวในชุดสีขาวผอมบางประหนึ่งเกล็ดหิมะที่ลมพัดมาก็ปลิวหายไป แต่สีหน้านางเยือกเย็นดุจเก่า ปราศจากร่องรอยตื่นตระหนกให้เห็น
“รอดูอีกสักครู่ ข้าคิดว่าคุณหนูหลีน่าจะมีวิธี”
เด็กสาวผู้นี้มิใช่เถาวัลย์ที่พึ่งพาอาศัยไม้ใหญ่ ด้วยตัวของนางเองเป็นดั่งต้นไป๋หยาง ดุจต้นสนเขียวที่แฝงความทะนงอยู่ในแก่นแท้
บางครั้งสิ่งที่นางต้องการอาจจะไม่ใช่ความช่วยเหลืออย่างไม่ถูกจังหวะ หากแต่เป็นความเชื่อใจที่ไร้คำพูด
“แต่ว่าถ้าคุณหนูหลีไม่มีวิธีเล่า ข้าคิดไม่ออกจริงๆ ว่านางจะมีวิธีอะไร” หยางโฮ่วเฉิงเกาท้ายทอยพลางพูด
เซ่าหมิงยวนหัวเราะในลำคอ “ถ้าไม่มีวิธีจริงๆ ก็ยังมีข้ามิใช่หรือ”
เขามองไปทางฉางชุนป๋อที่มีท่าทางอ่อนลงสามส่วนอย่างเห็นได้ชัดยามอยู่ต่อหน้าฉือชั่น กล่าวด้วยสุ้มเสียงเบามากแต่เจือไว้ด้วยความเด็ดขาดอย่างไม่เปิดช่องให้ผู้ใดคัดค้าน “มีข้าอยู่ พวกเขาก็พาใครไปไม่ได้ทั้งนั้น”
เฉียวเจาสืบเท้าขึ้นหน้าก้าวหนึ่งไปยืนประจันหน้ากับฉางชุนป๋อ
คนหนึ่งสูงคนหนึ่งเตี้ย คนหนึ่งกำยำคนหนึ่งแบบบาง หากแต่ต่างข่มรัศมีกันไม่ลงแม้สักเศษเสี้ยว
ดวงหน้าผุดผาดเกลี้ยงเกลาของนางเงยขึ้นประสานสายตากับฉางชุนป๋อ “ท่านป๋อเอาแต่พูดว่าจะไปที่ว่าการ หรือว่าตอนนี้ไม่ได้มีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้องทำหรือเจ้าคะ”
“เรื่องอะไรกัน” สายตาสงบนิ่งมาดมั่นของเด็กสาวทำให้ฉางชุนป๋อยากจะมองข้ามคำกล่าวของนาง เขาย้อนถามโดยไม่ทันคิด
เฉียวเจาผลิยิ้ม “เป็นต้นว่าทำให้บุตรชายของท่านฟื้นสติ”
“เจ้าว่าอะไรนะ” ใบหน้าของฉางชุนป๋อกระตุกริกๆ
ฮูหยินของเขาได้ยินนางเอ่ยถึงบุตรชายที่สลบไสลไม่ได้สติอยู่ก็กล่าวเสียงฮึดฮัด “ฟื้นสติ? แม้แต่หมอหลวงที่เก่งที่สุดล้วนบอกว่าเป็นเรื่องยากมากที่บุตรชายข้าจะฟื้นขึ้นมา เจ้ากล่าววาจานี้จะมิใช่โง่เง่าสิ้นดีรึ!”
ในเวลานี้เองเสียงอึกทึกวุ่นวายดังมาระลอกหนึ่ง มีคนแต่งกายเหมือนคนงานในเรือนวิ่งพลางตะโกนบอกว่า “ท่านป๋อ ฮูหยิน คุณชายเล็กฟื้นแล้วขอรับ”
* เทศกาลฉงหยาง คือวันที่ 9 เดือน 9 ตามปฏิทินจันทรคติจีน โดยสมัยโบราณถือเลข 9 คือเลขที่มีพลังกล้าแกร่งเรียกว่าเลขหยาง จึงเรียกชื่อวันที่มีเลข 9 สองตัวว่าฉงหยาง (หยางซ้อน) ในวันนั้นผู้คนจะเดินขึ้นเขาหรือที่สูงเพื่อดื่มสุราและชมทิวทัศน์