หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 230
บทที่ 230
ฝูงชนที่มุงดูอยู่เงียบกริบไปในพริบตา พร้อมใจกันหันหน้าพรึบไปมองฮูหยินของฉางชุนป๋อก่อนค่อยมองไปทางเฉียวเจาอีกที
“คุณชายเสเพลของจวนฉางชุนป๋อฟื้นแล้ว?”
“เมื่อครู่ฮูหยินของฉางชุนป๋อยังบอกว่าเขาไม่ฟื้นอยู่เลยนะ”
นางน้ำตาคลอเบ้าด้วยความยินดีเจียนคลั่ง “ท่านป๋อ ซูเอ๋อร์ฟื้นแล้วๆ!”
ฉางชุนป๋อปีติยินดีสุดจะกล่าวเช่นกัน เขาสงบสติอารมณ์ครู่หนึ่งถึงหันขวับไปมองเฉียวเจา กล่าวด้วยน้ำเสียงละล้าละลัง “เมื่อครู่คุณหนูสามบอกว่าบุตรชายข้าฟื้นสติได้…”
นี่เป็นความบังเอิญ? ใต้หล้ามีเรื่องบังเอิญถึงเพียงนี้ที่ใดกัน
เอ๊ะ…หรือว่าคุณหนูสามสกุลหลีหยั่งรู้อนาคตได้?
ไม่ๆๆ นี่ออกจะเหลวไหลเกินไปแล้ว
เพลานี้มีเหล่าผู้มุงดูนับไม่ถ้วนที่คิดเช่นนี้เหมือนกัน
พวกเขาส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านหรือบ่าวไพร่ในจวนต่างๆ เดิมทีก็มักโยงเรื่องที่หาคำอธิบายไม่ได้กับสิ่งเหนือธรรมชาติ ด้วยเหตุนี้จึงพากันพูดซุบซิบกันอย่างห้ามไม่อยู่
“พวกเจ้าว่าคุณหนูสามสกุลหลีเป็นคนมีของมีวิชาอะไรสักอย่างใช่หรือไม่”
“ดังเช่น…”
“เป็นร่างทรง?”
“ไปให้พ้น!”
เสียงกระซิบกระซาบของฝูงชนลอยมากระทบหูเฉียวเจา นางเพียงรู้สึกขบขันระคนจนใจ
คำพูดนั้นของนางเมื่อครู่ไม่ใช่ความหมายนี้จริงๆ
ใครจะรู้ว่าคุณชายของจวนฉางชุนป๋อไม่ฟื้นสติช้าหรือเร็วกว่านี้ จำเพาะต้องมีคนมาแจ้งข่าวว่าเขาฟื้นแล้วในเวลานี้พอดิบพอดี
“เป็นแค่ความบังเอิญ” เฉียวเจากล่าวเสียงเรียบ
พอเห็นนางสุขุมเยือกเย็นเช่นนี้ ฉางชุนป๋อกลับแปลกใจระคนสงสัยยิ่งขึ้น เขาอดมองนางอย่างพินิจไม่ได้
ฮูหยินของฉางชุนป๋อสะกิดเขา “ท่านป๋อ ซูเอ๋อร์ฟื้นแล้ว พวกเรารีบกลับไปดูก่อนเถอะ”
“ดี” บุตรชายฟื้นแล้ว ไม่ว่าบัญชีหนี้แค้นใดๆ ล้วนเอาไว้ภายหลังได้ กลับไปดูเขาก่อนถึงเป็นสิ่งสำคัญ
“ท่านทั้งสองมิสู้กลับไปดูบุตรชายก่อน ในเมื่อเขาฟื้นแล้วย่อมจำหน้าคนร้ายได้เป็นธรรมดา จวนสกุลหลีของเราจะรอท่านทั้งสองมายืนยันกันต่อหน้าทุกเวลา”
หลีกวงเหวินยืนบังอยู่ข้างหน้าบุตรสาวพร้อมกล่าว
ก่อนหน้านี้เป็นเขาเลอะเลือนไปแล้ว
เพราะธรรมเนียมที่ยึดถือกันมาแต่ไหนแต่ไรนั้น การอบรมเลี้ยงดูบุตรสาวเป็นหน้าที่ของมารดา การบ่มเพาะสั่งสอนบุตรชายเป็นหน้าที่ของบิดา
ด้วยเหตุนี้ฮุยเอ๋อร์ย้ายออกจากเรือนหลังตั้งแต่เจ็ดแปดขวบเพื่อให้เขาอบรมสั่งสอนด้วยตนเอง แล้วบุตรชายที่เขาสอนสั่งมากับมือจะแฝงกายเข้าไปในหอคณิกาทำร้ายคนได้อย่างไร
เขาถึงกับมองไม่กระจ่างเท่าเจาเจาจนเกือบปรักปรำบุตรชายไป
หลีกวงเหวินลอบละอายใจ เรือนกายที่ยืนบังอยู่หน้าบุตรสาวยิ่งยืนยืดอกอย่างสง่ามากขึ้น
ฉางชุนป๋อตวัดสายตามองหลีฮุยอย่างปึ่งชา “อันว่าภิกษุวิ่งหนีได้แต่วัดไม่หนีไปที่ใด* ฮูหยิน พวกเรากลับ!”
คนของจวนฉางชุนป๋อยกขบวนกันกลับไปจนหมดในชั่วอึดใจ กระนั้นฝูงชนที่ชมความครึกครื้นอยู่ยังไม่ยอมแยกย้ายกันไป
หลีกวงเหวินบังตัวบุตรสาวไว้แทบมิดจากสายตาของผู้คน “รีบกลับเถอะ”
เมื่อคนของจวนสกุลหลีไปกันหมดแล้ว เหล่าผู้มุงดูทั้งหลายเห็นว่าไม่มีเรื่องสนุกให้ชมดูถึงสลายตัวกันไปอย่างเสียดาย
ฉือชั่นยืนอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีนัก
หยางโฮ่วเฉิงสาวเท้าเข้าไปตบไหล่เขา “เป็นอะไรไป ทำความดีแล้วยังไม่ดีใจอีกหรือ”
ฉือชั่นยกพัดชี้ไปที่ประตูใหญ่ที่ปิดไว้ของจวนตะวันตก พูดอย่างฉุนเฉียวเหลือทน “ไปดื้อๆ เช่นนี้รึ”
ไหนล่ะคำขอบคุณที่นึกเอาไว้
หรือว่าไม่สมควรเชิญข้าไปเข้าไปดื่มชาสักถ้วยในจวน
แม่นางน้อยคนนั้นกับบิดาของนางพร้อมใจกันมองข้ามศีรษะข้าเชียวหรือนี่!
“เอาน่า คุณหนูหลีไม่เป็นไรก็ดีแล้ว แดดแรงถึงเพียงนี้ พวกเราไปดื่มชาเถอะ” หยางโฮ่วเฉิงโอบบ่าฉือชั่น
“ชิ้วๆๆ ใครจะดื่มชากับเจ้า!” คุณชายฉือผู้ไม่สบอารมณ์ตวัดสายตามองเซ่าหมิงยวนกับจูเยี่ยนที่ยืนอยู่ไม่ไกลนักก่อนจะหันหลังจากไปอย่างโกรธเคือง
เขาเดินห่างไปสิบจั้งเศษ หันศีรษะไปพบว่าสามคนนั้นหมุนกายเดินไปแล้วโมโหแทบตาย
เขาพูดไปอย่างนั้นเอง พวกสหายถือเป็นจริงจังหรือ
“พวกเจ้าสามคนหยุดนะ” คุณชายฉือไล่กวดตามไปด้วยสีหน้าบูดบึ้ง
หลีกวงเหวินกับภรรยาพาบุตรชายบุตรสาวกลับเข้าจวน ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งเห็นทุกคนกลับมาก็ระบายลมหายใจเฮือกหนึ่งก่อน จากนั้นฟังเหอซื่อเล่าเหตุการณ์อย่างละเอียดแล้วนางทำหน้าขรึมเอ่ยขึ้น “ฮุยเอ๋อร์ ในเมื่อเจ้าไม่ได้เป็นคนทำ เจ้าจะแบกรับเรื่องนี้ไว้เองเพื่ออะไร”
หลีฮุยก้มศีรษะ เขามีสีหน้าจืดเจื่อนมากขณะพูดเสียงเบาๆ “น้องเจาไปที่ที่ว่าการไม่ได้ขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งทอดถอนใจ “ใช่ หลานเจาไปที่ที่ว่าการไม่ได้ แต่เจ้าก็ไม่สมควรแบกรับเรื่องพรรค์นี้ไว้บนบ่าตนตามใจชอบ ขอแค่เรื่องที่เกิดขึ้นไม่เกี่ยวข้องกับพวกเจ้า ความจริงก็จะเปิดเผยออกมาในที่สุด เจ้ากลับรับผิดเองเสียก่อน นี่มิใช่ทำเหลวไหลหรือ”
หลีฮุยเม้มปากไม่เปล่งเสียงพูด
“เอาล่ะ ฮูหยินผู้เฒ่าอย่าว่ากล่าวฮุยเอ๋อร์แล้ว เขาก็หวังดีต่อเจาเจาเช่นกัน” เหอซื่อช่วยพูดแทนหลีฮุยอย่างทนไม่ไหว
ใครก็ตามที่ดีต่อบุตรสาวนาง นางก็เต็มใจดีต่อคนผู้นั้นเฉกเดียวกัน
หลีฮุยอดมองเหอซื่อแวบหนึ่งไม่ได้ก่อนหลุบเปลือกตาลงดังเก่าอย่างรวดเร็ว
“เจาเจา…” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งเรียกขานเฉียวเจา นางมองสบนัยน์ตานิ่งสงบของเด็กสาวแล้วถอนใจเฮือก “ช่างเถอะ ท่านย่าไม่ถามไถ่อีกว่าเจ้ากับคุณชายฉือท่านนั้นพบหน้ากับที่หอสุราเพราะอะไร ขอเพียงเจ้าปลอดภัยดีก็พอแล้ว”
เสียงฝีเท้าถี่กระชั้นดังลอยมา หลีเจี่ยวเข้ามาอย่างร้อนรน สีหน้านางฝืดเฝื่อนผิดปกติ “ท่านย่า ได้ยินว่าเกิดเรื่องขึ้นหรือเจ้าคะ”
นางเข้ามาแล้วมองปราดไปเห็นหลีฮุยก็เดินไปตรงหน้าเขาทันที จับมือเขาไว้พลางกล่าวว่า “น้องสาม เจ้าไม่เป็นไรกระมัง”
เรื่องที่จวนฉางชุนป๋อตามมาเอาเรื่องถึงจวน นางได้ยินได้ฟังแต่แรก เดิมทีตั้งใจจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไปเรื่อยๆ คิดไม่ถึงว่าน้องสามจะปกป้องหลีซานอย่างโฉดเขลา
“ไม่เป็นไร” หลีฮุยหลุบตาลงโดยตลอด เขาดึงมือคืนจากมือพี่สาวเบาๆ
ใบหน้าของหลีเจี่ยวฉายแววห่วงใย นางกระทืบเท้าพลางพูด “น้องสาม วันหน้าเจ้าจะเลอะเลือนเช่นนี้ไม่ได้นะ หากเจ้าเป็นอะไรไป พวกเราทั้งตระกูลควรทำประการใดดีเล่า”
หลีฮุยไม่เปล่งเสียงพูดเลย
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งเอ่ยปากขึ้น “เอาล่ะ ฮุยเอ๋อร์ทำไปเพื่อปกป้องน้องสาว ไม่ว่าอย่างไรก็ตามอย่างน้อยก็มีลักษณะของผู้เป็นพี่ชายแล้ว”
มาตรว่านางไม่เห็นด้วยกับความวู่วามของหลานชาย แต่การก้าวออกมาเผชิญหน้ากับปัญหาเพื่อคนในครอบครัวอย่างมีความรับผิดชอบนั้นเป็นสิ่งที่นางชื่นชม
“เรื่องของจวนฉางชุนป๋อนี้เกรงว่ายังไม่จบลง แต่พวกเราบริสุทธิ์ใจเสียอย่างดังคำกล่าวว่าตัวตรงไม่กลัวเงาเอียง เจ้าคนบัดซบนั่นฟื้นสติแล้วเป็นเรื่องดี ต่อให้มาระรานอีกก็ไม่กลัว” หญิงชรามองพวกหลานๆ อย่างพินิจ “พวกเจ้าต้องควบคุมอารมณ์ไว้ ตอนนี้กินข้าวก่อนเถอะ”
หลีเจี่ยวก้มหน้าลงขานรับพร้อมกับพวกหลีฮุย
ฉางชุนป๋อกับภรรยานั่งรถม้าที่ควบฝีเท้าเต็มเหยียดตลอดทางจนกลับไปถึงจวนก็ได้ยินเสียงร้องโอดโอยของบุตรชาย
“เจ็บๆ…”
ฮูหยินของฉางชุนป๋อได้ยินแล้วร่ำไห้ โผเข้าไปกอดจย่าซูไว้ “ลูกแม่ เจ็บมากกระมัง”
นางถูกผลักออกอย่างแรง จย่าซูปัดป่ายแขนไปมาด้วยสีหน้าหวาดกลัว พูดจาตะกุกตะกัก “จวนสกุลหลีคุณหนู…หนูสาม…”
“ซูเอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไรไป” ฮูหยินของฉางชุนป๋อผงะตกใจ
สีหน้าของฉางชุนป๋อนิ่งเรียบดุจผิวน้ำ “รีบเชิญหมอหลวง!”
หมอหลวงตรวจอาการเสร็จแล้วโคลงศีรษะทอดถอนใจ “คุณชายมีโลหิตคั่งในศีรษะอาจทำให้สมองผิดปกติ”
“หมายความว่าอะไรเจ้าคะ” ฮูหยินมองไปทางสามี
ฉางชุนป๋อใบหน้าซีดขาว หมายความว่าอะไร หมายความว่าบุตรชายเขาปัญญาอ่อนไปแล้วน่ะสิ
ฮูหยินของฉางชุนป๋อเข้าใจในบัดดล ร่างนางซวนเซไปมาจะล้มมิล้มแหล่
เห็นบิดามารดาที่อยู่ในสภาพสิ้นหวังแล้ว หมอหลวงกล่าวปลุกปลอบ “อย่างน้อยก็ฟื้นสติแล้ว ค่อยๆ บำรุงฟื้นฟู บางทีอาจจะมีโอกาสหายเป็นปกติได้”
“ยังเหลือความหวังอยู่กี่ส่วนหรือ” ฮูหยินถามอย่างร้อนรนจนทนไม่ไหว
หมอหลวงเงียบงันไป ไฉนยังถือเป็นจริงเป็นจังกับคำปลอบใจ
เขาประสานมือคำนับแล้วอำลากลับไป
“คุณหนูสาม คุณหนูสาม…” เสียงพูดพึมพำซ้ำๆ ดังลอดจากปากจย่าซูไม่หยุด
ฉางชุนป๋อตบโต๊ะสุดแรง “ไป พาซูเอ๋อร์ไปจวนสกุลหลีกัน หนนี้ต้องทวงคำอธิบายจากพวกเขาให้ได้”
* ภิกษุวิ่งหนีได้แต่วัดไม่หนีไปที่ใด เป็นสำนวนจีน หมายถึงคนเราหนีได้ชั่วคราว ไม่สามารถหนีได้ตลอดไป