หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 231
บทที่ 231
คนของจวนฉางชุนป๋อยกพลกลับไปบุกอีกครั้งอย่างรวดเร็ว เสียงตบประตูใหญ่จวนสกุลหลีดังสนั่นหวั่นไหว
“เปิดประตูๆ คุณชายเล็กของจวนพวกข้าถูกคุณหนูสามของจวนนี้ตีศีรษะจนปัญญาอ่อน จงมอบตัวคนออกมาโดยไว!”
ทันใดนั้นมีคนแห่กันมาล้อมวงมุงดูจากทุกสารทิศ ครานี้ล้วนมีประสบการณ์กันแล้ว บ้างคว้าม้านั่งมา บ้างหยิบของกินเล่นเช่นเมล็ดแตงเมล็ดถั่วซุกไว้ในอกเสื้อ
จย่าซูน้ำลายไหลยืด “คุณหนูสาม คุณหนูสาม…”
“โอ๊ะ เจ้าหนุ่มเสเพลผู้นั้นปัญญาอ่อนไปแล้วจริงๆ”
“นี่มันเรื่องอะไรกัน ก่อนหน้ามีคนเป็นพยานให้คุณหนูสามสกุลหลีแล้วมิใช่หรือ ตอนนี้คนปัญญาอ่อนนี่เอาแต่เรียกคุณหนูสามอยู่ตลอดจริงๆ”
“ดูไปก่อนเถอะ ถึงอย่างไรเรื่องนี้ยิ่งมายิ่งน่าสนุก จะเทียบเคียงได้กับข่าวใหญ่ที่เล่าลือกันอยู่อีกข่าวหนึ่ง”
“ข่าวเล่าลืออะไรหรือ”
“นี่ไม่รู้อะไรเลยหรือ ย่อมต้องเป็นเรื่องภรรยาที่ตายไปแล้วมาเข้าฝันกวนจวินโหวน่ะสิ!”
“อ๋อ เรื่องนี้ข้าก็ได้ยินได้ฟังแล้ว น่าอัศจรรย์ใจดีแท้…”
เหล่าผู้มุงดูเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปอีกเรื่องหนึ่งในเวลาอันสั้น นั่งแทะเมล็ดแตงรอคอยคนของจวนสกุลหลีออกมา
ประตูใหญ่ที่ปิดสนิทของจวนตะวันตกเปิดผลัวะออก คนที่เคาะประตูยั้งตัวไม่ทันชั่วขณะจนล้มหน้าคะมำเข้าไป
หลีกวงเหวินยืนอยู่หน้าประตูด้วยสีหน้าเย็นชา “มีเรื่องใดก็เข้ามาก่อนค่อยว่ากันอีกที มิใช่พวกสตรีปากตลาดทะเลาะวิวาทกัน ยืนโวยวายเสียงดังอยู่กลางถนนเข้าท่าหรือไม่”
ฮูหยินของฉางชุนป๋อไม่รักษากิริยาแม้สักนิด นางถ่มน้ำลายลงพื้น “ถุย! บุตรชายข้าโดนนางเด็กตัวดีลูกเจ้าทำร้ายจนปัญญาอ่อน โวยวายเสียงดังแล้วจะด้วยเหตุใด ข้ายังต้องกลัวด้วยหรือ แต่พวกข้าไม่กล้าเข้าไปหรอกนะ ประเดี๋ยวจะมีคุณชายของจวนนั้นจวนนี้ออกมาบอกว่าอยู่กับบุตรสาวเจ้าอีก”
หลีกวงเหวินหน้าบึ้งตึงด้วยความโกรธ
เหอซื่อถลันออกมาเงื้อมือตบหน้าฮูหยินของฉางชุนป๋อฉาดหนึ่ง “นางตัวดีเจ้าด่าใคร ปากสกปรก คอยดูข้าจะตบเจ้าให้ปากฉีกเลย”
“เจ้าตบข้า? เจ้ากล้าตบข้าหรือ” ฮูหยินของฉางชุนป๋อเดือดดาลจนตัวสั่นเทิ้ม
“คนที่ข้าตบก็คือเจ้า!” เหอซื่อไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อยนิด
“หุบปาก!” ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงของจวนตะวันออกให้อู่ซื่อลูกสะใภ้ประคองเดินเบียดออกมาจากฝูงชน ยกนิ้วชี้หน้าด่าเหอซื่อ “บุตรสาวที่เจ้าเลี้ยงดูมาเป็นเช่นนี้แล้วยังเกรงว่าขายหน้าไม่พอหรือ ถึงกับตบตีกับคนอื่นที่หน้าประตู ฮูหยินผู้เฒ่าของพวกเจ้าล่ะ นางนับวันยิ่งเลอะเลือนขึ้นทุกที ปล่อยปละละเลยให้พวกเจ้าทำลายแบบแผนของวงศ์ตระกูล นางไม่จัดการ ข้าจะเป็นคนจัดการเอง แบบแผนของสกุลหลีจะย่อยยับในมือพวกเจ้ามิได้”
เหอซื่อที่ยืนอยู่ด้านข้างเห็นฮูหยินผู้เฒ่าเจียงพูดฉอดๆ ใส่ฮูหยินของฉางชุนป๋อ นางเบะปากกล่าว “ท่านเซียงจวิน ท่านมีอะไรก็พูดกับข้าสิ”
“พรืด…” คนหลายคนเปล่งเสียงหัวร่อออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่แล้วรีบก้มหน้าลง
ท่านเซียงจวินแห่งจวนตะวันออกผู้นี้สายตาย่ำแย่ลงตามลำดับแล้ว
“โธ่เอ๊ย กระทั่งใครเป็นใครยังจำผิดเลย แล้วจะจัดการเรื่องวุ่นวายใหญ่โตนี้ได้จริงๆ หรือ”
“นั่นสิ ดูไปแล้วทั้งจวนตะวันตกและจวนตะวันออกล้วนไม่ใคร่น่าเชื่อถือเอาเสียเลย”
ถึงฮูหยินผู้เฒ่าเจียงจะสายตาไม่ดี แต่กลับหูไวนัก นางได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของบรรดาผู้มุงดูพวกนี้แล้วโมโหเจียนคลั่ง
นางสะบัดแขนเสื้อย่างเท้าเข้าไปข้างใน “พอแล้ว ข้าจะเข้าไปพูดกับฮูหยินผู้เฒ่าของพวกเจ้า”
หากวันนี้ไม่ส่งตัวหลานเจาไปที่ศาลบรรพชนประจำตระกูล นางไม่ยอมรามือแน่
“ท่านเซียงจวินมีเรื่องใดอยากพูดกับข้าหรือ” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งเดินหลังตรงออกมา
“เข้าไปพูดข้างใน ยืนอยู่ตรงนี้ไม่เกรงว่าน่าอับอายใช่หรือไม่”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งมองออกไปข้างนอกปราดหนึ่ง
ฝูงชนที่มุงดูอยู่ยืนล้อมวงกันเป็นชั้นๆ อย่างเนืองแน่น เริ่มมีคนเดินเร่ขายถังหูลู่วนเวียนไปมา
“ไม่ต้องเข้าไป ในเมื่อมีเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคืองมากมายให้ความสนใจ เช่นนั้นก็พูดกันให้รู้ดำรู้แดงตรงนี้ไปเลย”
เหตุการณ์ลุกลามบานปลายแล้ว มิสู้ไขความให้กระจ่างอย่างเปิดเผยโจ่งแจ้งจะดีกว่า หาไม่แล้วถึงแก้ปัญหากันเองได้ก็ไม่อาจยับยั้งลมปากคน ชื่อเสียงของหลานเจาคงต้องเสื่อมเสียหมดสิ้น
มิใช่เสื่อมเสียมาตั้งนานแล้วหรือ
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งกระแอมกระไอเบาๆ ทีหนึ่ง ไม่แยแสเสียงกระซิบเบาๆ ในหัว
“ท่านเซียงจวินอยากตัดสินความเป็นธรรม เช่นนั้นตั้งใจจะลงโทษคุณหนูสามของจวนท่านอย่างไร” ฉางชุนป๋อไต่ถาม
“เรื่องที่เกิดขึ้นข้าได้ยินได้ฟังมาหมดแล้ว หวังว่าท่านป๋อจะเห็นแก่หน้าข้าสักครั้งให้พวกข้าสะสางกันเองภายใน ข้าจะสั่งให้คนส่งตัวนางไปที่ศาลบรรพชนประจำตระกูล คัดลอกพระธรรมและสวดมนต์อธิษฐานขอพรให้คุณชายเล็กของจวนท่าน”
แม้ฉางชุนป๋อยังไม่หายแค้น แต่ก็รู้ว่าสำหรับเด็กสาวผู้หนึ่ง นี่เป็นบทลงโทษที่เป็นรองแค่จับใส่กรงหมูถ่วงน้ำ พาให้ความโกรธบรรเทาลงบ้างทันใด เขากล่าวเรียบๆ “ในบรรดาชาวสกุลหลีทั้งหมดต้องยกให้ท่านเซียงจวินเป็นผู้เดียวที่เข้าใจเหตุผล”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งแค่นเสียงพูด “ข้าไม่เห็นด้วย!”
“เติ้งซื่อ ถึงเวลานี้แล้วเจ้ายังจะปกป้องเจ้าเด็กคนนั้นอีกหรือ”
“ก่อนที่เรื่องราวจะกระจ่างแจ้ง ผู้ใดก็อย่าหมายแตะต้องหลานสาวข้า แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ต่อให้หลานสาวข้ามีความผิด ข้าย่อมลงโทษนางเอง คนอื่นไม่มีสิทธิ์ส่งนางไปที่ศาลบรรพชนประจำตระกูล”
“เติ้งซื่อ เจ้ากล่าววาจาเยี่ยงนี้กับข้ารึ” ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงโมโหอกแทบแตก
มันเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไรกัน จวนตะวันตกซึ่งเป็นดั่งเช่นเงาของจวนตะวันออกถึงไม่เห็นนางอยู่ในสายตาเช่นนี้
เติ้งซื่อยกยิ้ม “ไม่อย่างนั้นท่านเซียงจวินส่งข้าไปที่ศาลบรรพชนด้วยก็แล้วกัน”
“เจ้า!” ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงโกรธจนหูอื้อตาลายเป็นระลอก
บัดนี้เพิ่งรู้ว่าพอคนเราถึงคราวที่เข้าตำราว่าขว้างไหร้าวให้แตก ใต้หล้าไร้ผู้ใดต่อกรได้จริงๆ!
ในเวลานี้เองเสียงเอะอะดังมาระลอกหนึ่ง จย่าซูก้มศีรษะแล้วมุดเข้าไปกลางฝูงชน เขาตะโกนไปหลบไป “อย่าตีข้าๆ…”
ฮูหยินของฉางชุนป๋อมองเห็นแล้วลนลานทำอะไรไม่ถูก นางร้องไห้วิ่งไล่ตามบุตรชายไป “ซูเอ๋อร์ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัว แม่อยู่นี่!”
จย่าซูโผเข้าไปซบอกมารดา พูดปนเสียงสะอึกสะอื้น “ท่านแม่ คุณหนูสามตีข้า…”
วาจาท่าทางประหนึ่งเด็กน้อยสามขวบของเขาทำให้เกิดเสียงถกเถียงดังระเบ็งเซ็งแซ่ในหมู่คน
“คนปัญญาอ่อนต้องไม่พูดโกหกแน่ ดูทีว่าคุณหนูสามสกุลหลีทำร้ายคนจริงๆ”
“คุณชายฉือของวังองค์หญิงใหญ่บอกว่าคุณหนูสามสกุลหลีอยู่กับเขาตอนเช้ามิใช่หรือ”
“คิกๆ จะช่วยนางให้พ้นผิดน่ะสิ ใครจะรู้ว่าเขากับนางเป็นอะไรกัน…”
ในร้านน้ำชาไม่ไกลจากจวนตะวันตก
ฉือชั่นลุกขึ้นยืนทำหน้าถมึงทึง แต่เซ่าหมิงยวนยื่นมือไปดึงรั้งไว้
“ถิงเฉวียน ปล่อยมือ ขืนไม่เข้าไปอีก หลีซานจะถูกคนพวกนั้นถลกหนังทั้งเป็นแล้ว”
“นั่งลง” สีหน้าของเซ่าหมิงยวนเรียบเฉย
“เซ่าหมิงยวน ปล่อยมือนะ”
เขามองฉือชั่นนิ่งๆ “เจ้าเข้าไป รังแต่จะทำให้เหตุการณ์ยิ่งแย่ลง”
“แล้วเจ้าว่าควรทำฉันใด ท่านแม่ทัพเซ่าของข้า” ฉือชั่นเอามือเท้าโต๊ะ เอ่ยถามเซ่าหมิงยวนเสียงเย็นๆ
“อย่างแรกพวกเรารู้จุดหนึ่งอย่างแน่ชัดแล้วว่าต้องมีสตรีนางหนึ่งที่ปลอมตัวเป็นบุรุษทำร้ายคุณชายเล็กของจวนฉางชุนป๋อบาดเจ็บในหอปี้ชุนอย่างแน่นอน ดังนั้นตามหาตัวคนผู้นี้ให้พบก็สิ้นเรื่อง”
“ตามหาอย่างไรล่ะ ตอนนี้เจ้าเดรัจฉานน้อยของจวนฉางชุนป๋อก็ปัญญาอ่อนไปแล้ว ยังพูดซ้ำๆ อยู่คำเดียวว่าเป็นหลีซาน ผู้คนใต้หล้ามากมายมหาศาล กว่าเจ้าตามหาคนผู้นั้นพบก็สายเกินการณ์”
“ไม่หรอก คนผู้นั้นปลอมตัวเป็นคุณหนูหลี เช่นนั้นต้องมีข้อบาดหมางกับคุณหนูหลีเป็นแน่ เล็งหาเป้าหมายให้ได้สักสองสามคนแล้วค่อยยิงธนูให้ตรงเป้าอีกที บางทีบ่ายวันนี้อาจรู้ผลลัพธ์ก็เป็นได้”
“แล้วตอนนี้ล่ะ ดูไปเรื่อยๆ เช่นนี้หรือ”
เซ่าหมิงยวนนวดหว่างคิ้วอย่างอ่อนใจ “หรือไม่เจ้าออกไป สุมไฟให้พวกชาวบ้านที่มุงดูอยู่อีก?”
ความร้อนรุ่มในใจฉือชั่นดับมอดสนิท เขาทุบโต๊ะอย่างขัดเคือง
หยางโฮ่วเฉิงเอ่ยขึ้นฉับพลัน “ดูเร็วเข้า ดูเหมือนจะมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น”
พวกเขาหันไปมองพร้อมกันก็เห็นเฉียวเจาเดินไปหยุดอยู่เบื้องหน้าฮูหยินของฉางชุนป๋ออย่างเยือกเย็น
ท่ามกลางสายตาของฝูงชน เฉียวเจาไต่ถามฉางชุนป๋อกับภรรยาเสียงดังกังวาน “หากสมองของบุตรชายท่านหายเป็นปกติแล้วพิสูจน์ได้ว่าคนที่เขาพบในหอปี้ชุนไม่ใช่ข้า ท่านทั้งสองตั้งใจจะทำอย่างไร”