หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 232
บทที่ 232
ถ้อยคำนี้ดังขึ้นประหนึ่งอสนีบาตลงกลางหมู่คน ก่อให้เกิดแรงกระเพื่อมไหวไปทุกทิศ แม้แต่พวกเซ่าหมิงยวนในร้านน้ำชาก็ลุกขึ้นยืนอย่างห้ามไม่อยู่
“ไปกัน ตรงนี้ห่างเกินไป คุณหนูหลีพูดอะไรต้องรอฟังคนที่มุงดูอยู่พวกนั้นบอกต่อๆ กันมาถึงจะรู้ได้ พวกเราดูเฉยๆ ไม่เข้าไปสร้างปัญหาให้นางมากขึ้น” หยางโฮ่วเฉิงอ้างเหตุผลข้อหนึ่งแล้วรีบเบียดเข้าไปในฝูงชน
ฉือชั่นตามไปเป็นคนที่สอง เหลือเพียงเซ่าหมิงยวนกับจูเยี่ยนนั่งประจันหน้ากันโดยไม่ขยับตัว
“ไม่เข้าไปดูหรือ” จูเยี่ยนถาม
เซ่าหมิงยวนหัวเราะเบาๆ “ไม่ล่ะ กระทำในสิ่งที่พึงทำก็พอ ถึงอย่างไรคุณหนูหลีเป็นอิสตรี พวกเรายื่นมือยุ่งมากเกินไปไม่ใคร่ดีเท่าไร”
“ข้าก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน” จูเยี่ยนยกถ้วยน้ำชาขึ้น “ชาดอกไม้ของร้านนี้รสชาติไม่เลว”
“อื้อ” เซ่าหมิงยวนเอานิ้วลูบถ้วยน้ำชาเบาๆ พลางปล่อยความคิดลอยไปไกล
หมอเทวดาหลี่คงจะแกล้งข้ากระมัง…
หรือจะบอกว่าสตรีทุกผู้ทุกนามล้วนมีเรื่องวุ่นวายมากถึงเพียงนี้
ไม่รู้ว่าหมอเทวดาหลี่จะกลับเมืองหลวงเมื่อใด
ใต้แสงแดดเจิดจ้า ฮูหยินของฉางชุนป๋อมีเหงื่อซึมทั่วใบหน้า ในดวงตาคล้ายมีเปลวไฟลุกโชนอยู่ “สมองหายเป็นปกติ? นางเด็กตัวดี ป่านนี้แล้วเจ้ายังพูดจาเหลวไหลทิ่มแทงหัวใจพวกข้าอีก เจ้ามีจุดประสงค์อะไร”
ฮูหยินของฉางชุนป๋อแสยะปากเงื้อง่ามือไม้ปรี่เข้าไปจะตบหน้าเฉียวเจา แต่นางกล่าวคำเดียวก็ทำให้อีกฝ่ายชะงักนิ่ง “ตอนข้าบอกว่าบุตรชายท่านจะฟื้นสติ ฮูหยินก็คิดว่าข้าพูดจาเหลวไหลเช่นกันหรือ”
“จะ…เจ้า…เจ้าหมายความว่าอะไร”
เฉียวเจาแย้มยิ้ม “ความหมายตามตัวอักษร ข้าบอกว่าสมองของบุตรชายท่านหายเป็นปกติได้”
ฉางชุนป๋อกับภรรยาอดมองดูบุตรชายที่น้ำลายไหลยืดไม่ได้
โกหก ไม่เห็นหายเป็นปกติเลย!
ฉางชุนป๋อมองเฉียวเจาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “คำพูดนี้ของคุณหนูสามเป็นความจริงหรือ”
ทว่าเหล่าผู้มุงดูหาได้เคร่งเครียดเฉกนี้ไม่ พวกเขาแต่ละคนล้วนอยากรู้อยากเห็นสุดประมาณ
“คนปัญญาอ่อนยังหายเป็นปกติได้ด้วยหรือ คุณหนูสามสกุลหลีพูดล้อเล่นกระมัง”
“ตอนคนของฉางชุนป๋อมาหาเรื่องเมื่อเช้า คุณหนูสามสกุลหลีบอกว่าคุณชายของจวนพวกเขาฟื้นสติได้ ผลปรากฏว่าไม่ทันขาดคำก็มีคนมารายงานข่าวว่าเขาฟื้นแล้ว”
เฉียวเจากุมขมับอย่างอ่อนใจ เมื่อเช้านั่นเป็นเพียงความบังเอิญ!
นางหันไปมองฉางชุนป๋อ กล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “เป็นความจริงแน่นอนเจ้าค่ะ ข้าขอถามซ้ำคำเดิมว่าหากสมองของบุตรชายท่านหายเป็นปกติแล้วพิสูจน์ได้ว่าคนที่เขาพบในหอปี้ชุนไม่ใช่ข้า ท่านทั้งสองตั้งใจจะทำอย่างไร”
ฮูหยินของฉางชุนป๋อยิ้มเยาะ “ถึงอย่างนั้นก็ต้องเกี่ยวข้องกับเจ้าอย่างหนีไม่พ้น หาไม่แล้วไฉนบุตรชายข้าไม่เอ่ยถึงคนอื่น เอาแต่พูดชื่อเจ้าซ้ำๆ ไม่หยุดเล่า”
“ท่านทั้งสองคงไม่ได้คิดว่าพอข้าพูดว่าสมองของบุตรชายท่านหายเป็นปกติได้ เขาก็จะหายดีทันทีกระมัง”
“แล้วเจ้าหมายความว่าอะไร” ฮูหยินของฉางชุนป๋ออดถามไม่ได้
เฉียวเจากลั้นยิ้มไม่อยู่ “แน่นอนว่าข้าจะเป็นคนทำให้สมองของเขาหายเป็นปกติน่ะสิเจ้าคะ”
ฉางชุนป๋อฉุกคิดขึ้นได้ เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “ขอแค่ทำให้สมองของบุตรชายข้าหายเป็นปกติ และเป็นเขาที่จำคนผิดเอง พวกข้าจะขอขมาคุณหนูสามและจวนสกุลหลีต่อหน้าทุกคน”
เฉียวเจาส่ายหน้า
“คุณหนูสามส่ายหน้ามีความหมายใด”
“ขอขมาต่อหน้าทุกคนยังไม่พอ” เฉียวเจากวาดตามองคนที่ชมความครึกครื้นอยู่ด้วยสีหน้าสงบนิ่งรอบหนึ่ง กล่าวเอื่อยๆ “ลือสามคนกลายมีเสือจริง* คำติฉินนินทาฆ่าคนได้ ชื่อเสียงของคนคนหนึ่งสร้างสมขึ้นยาก แต่จะทำลายทิ้งกลับง่ายดายเหลือเกิน โดยเฉพาะสตรีเพศ มีคนที่ต้องจบชีวิตเพราะชื่อเสียงไปตั้งมากเท่าไรก็สุดจะรู้ได้”
เอ่อ…เรื่องนี้ไม่รวมถึงข้าอย่างแน่นอน ชื่อเสียงอะไรทั้งหลายแหล่ใช่ว่ากินแทนข้าวได้ อีกอย่างข้าก็ไม่ต้องออกเรือนแล้ว
“แล้วคุณหนูสามคิดจะเอาอย่างไร”
“จวนของท่านส่งคนตีฆ้องร้องป่าวขอขมาต่อข้าไปทั่วเมืองหลวงรอบหนึ่ง และจะต้องพูดอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งว่ามีคนเห็นข้าขัดนัยน์ตาเลยจงใจดึงข้าเข้ามาติดร่างแห”
“ตีฆ้องร้องป่าวขอขมาต่อเจ้า?” ฮูหยินของฉางชุนป๋อมองเฉียวเจาอย่างเหลือเชื่อ
สมองของเด็กสาวผู้นี้ไม่ผิดปกติกระมัง ถึงพิสูจน์ได้ว่ามิใช่ฝีมือนาง แต่ป่าวประกาศเรื่องพรรค์นี้ออกไปจะเป็นผลดีอะไรต่อสตรีนางหนึ่ง
“ได้ ขอแค่คุณหนูสามทำให้สมองของบุตรชายข้าหายเป็นปกติ และพิสูจน์ว่าเรื่องในหอปี้ชุนไม่เกี่ยวข้องกับท่าน พวกข้าจวนฉางชุนป๋อยินยอมทำตามที่เจ้าพูด” ฉางชุนป๋อตอบตกลงทันทีอย่างเฉียบขาด
“โปรดรอสักครู่เจ้าค่ะ” เฉียวเจาพูดคำนี้จบแล้วหมุนกายกลับเข้าจวน
“คุณหนูหลีจะทำอะไรน่ะ ต้องทำอย่างไรคนปัญญาอ่อนถึงจะหายเป็นปกติได้” หยางโฮ่วเฉิงลูบปลายคางพลางโคลงศีรษะ
ฉือชั่นไม่เอื้อนเอ่ยวาจาสักคำ จ้องมองประตูใหญ่ของจวนตะวันตกตาเขม็ง
ไม่นานนัก เด็กหนุ่มหน้าตาหมดจดผู้หนึ่งก้าวออกจากประตูใหญ่ของจวนตะวันตกมาหยุดยืนตรงหน้าฉางชุนป๋อกับภรรยา “ท่านทั้งสองโปรดสั่งให้คนจับตัวบุตรชายของพวกท่านไว้ให้แน่นๆ”
“เจ้าคือ…คุณหนูสาม?”
เฉียวเจาในอาภรณ์บุรุษคลี่ยิ้ม “เป็นข้าเองเจ้าค่ะ กันมิให้บุตรชายท่านเป็นปกติแล้วพูดเฉไฉว่าข้าสวมชุดสตรีเลยจำไม่ได้ในชั่วขณะ เช่นนั้นถึงข้ากระโดดลงแม่น้ำหวงเหอก็ยากจะล้างมลทิน* มิใช่หรือ”
ฉางชุนป๋อดึงสายตากลับ เขาออกคำสั่งคนงานในเรือน “จับตัวคุณชายไว้แน่นๆ”
คนปัญญาอ่อนเรี่ยวแรงดี ต้องใช้คนงานสี่ห้าคนถึงยึดตัวจย่าซูไว้นิ่งๆ ได้
เฉียวเจาอ้อมไปด้านหลังเขา ล้วงเข็มเงินหลายเล่มจากถุงผ้าปัก
เข็มเงินสะท้อนประกายอยู่ใต้แสงอาทิตย์ บันดาลให้ฮูหยินของฉางชุนป๋อหน้าเปลี่ยนสีไปถนัดตา “เจ้าคิดจะทำอะไร”
“แน่นอนว่าจะทำให้สมองของบุตรชายท่านหายเป็นปกติน่ะสิเจ้าคะ”
“ห้ามทำอะไรส่งเดช” นางยื่นมือผลักเฉียวเจา
เฉียวเจาชำเลืองมองไปทางฉางชุนป๋อด้วยแววตาเรียบเฉย “หรือจะปล่อยให้บุตรชายท่านปัญญาอ่อน”
“ดึงตัวฮูหยินไว้”
“ท่านป๋อ นางจะเอาเข็มแทงซูเอ๋อร์นะเจ้าคะ”
“นี่เรียกว่าฝังเข็มเจ้าค่ะ” แม่นางเฉียวพูดแก้ให้ถูกต้องด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
ฮูหยินของฉางชุนป๋อทำตาปะหลับปะเหลือกด้วยความโมโหโทโส “ข้าย่อมรู้แน่นอนว่าฝังเข็ม แต่ว่าเจ้าเป็นใครมาจากที่ใด หรือยังฝังเข็มเป็นด้วย”
เฉียวเจาไม่กล่าววาจาก็เอาเข็มเงินยาวๆ เล่มหนึ่งแทงลงตรงกลางกระหม่อมของจย่าซู
ฮูหยินของฉางชุนป๋อตาเหลือกเป็นลมไปทันที
สายตาของคนนับไม่ถ้วนมองตามการเคลื่อนไหวของมือเฉียวเจา ทั้งที่ใต้แสงตะวันสว่างไสวเห็นได้ชัดถนัดถนี่ แต่ก็ดูเหมือนมองไม่ออกว่าทำอะไรอยู่ ไม่นานนักนางก็หยุดมือ
“ข้าจะเริ่มดึงเข็มออก โปรดอยู่ในความสงบด้วย” เฉียวเจามองฉางชุนป๋อแวบหนึ่ง
เขาพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว
หยางโฮ่วเฉิงซึ่งปะปนอยู่ในหมู่คนพูดอย่างหนักอกหนักใจ “ไม่เคยได้ยินว่าคุณหนูหลีรู้วิชาแพทย์มาก่อนเลย”
“เรื่องที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนมีถมเถไป” ฉือชั่นมองเด็กสาวที่ตกเป็นเป้าสายตาของทุกคนอย่างไม่วางตา
เข็มเงินถูกดึงออกเล่มแล้วเล่มเล่า
ฉางชุนป๋อขยับเข้าไปดูใกล้ๆ อย่างอดใจไม่อยู่ เห็นหยดเลือดสีดำซึมออกมาช้าๆ ตามโคนเข็มที่เหลืออยู่
“ซูเอ๋อร์…” ฉางชุนป๋อหายใจไม่ทั่วท้อง
บนศีรษะของจย่าซูเหลือเพียงเข็มเงินเล่มสุดท้าย
เฉียวเจาเดินอ้อมมาตรงหน้าเขา ยกมือดึงเข็มเล่มสุดท้ายออก
ชั่วเสี้ยวเวลานี้ราวกับคนทุกคนสูญสิ้นความสามารถในการพูด กลั้นหายใจจับจ้องคนที่อยู่กลางลาน รอบด้านเงียบกริบจนได้ยินแต่เสียงลมพัดผ่าน แม้แต่เซ่าหมิงยวนกับจูเยี่ยนที่นั่งอย่างสงบอยู่ในร้านน้ำชายังอดใจเดินออกมาไม่ได้
ด้านฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งยังควบคุมสีหน้าไว้ได้ แต่ฝ่ามือกลับเปียกเหงื่อจนชุ่ม นางรู้ว่าความนิ่งเงียบในชั่วอึดใจนี้คงอยู่ชั่วคราวเท่านั้น ต่อจากนี้จะเป็นพายุฝนหรือฟ้าใสปลอดโปร่ง มิใช่เรื่องที่ใครคนใดจะควบคุมได้ นอกจาก…หลานสาวคนที่สามของนาง
ท่ามกลางสายตาที่จับจ้องอยู่ของผู้คนนับไม่ถ้วน จย่าซูซึ่งสายตาเลื่อนลอยอยู่จู่ๆ ก็สะดุ้งเฮือกหนึ่ง จากนั้นแววตาของเขาก็ค่อยๆ กลับมามีประกายอีกครา
“ข้าเป็นใคร”
ดวงตาของจย่าซูทอแววรับรู้แล้ว เขาเอ่ยตอบโดยไม่หยุดคิดใคร่ครวญ “ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าเป็นใคร”
“คุณหนูสามจวนสกุลหลีล่ะ”
สีหน้าของจย่าซูนิ่งขึงไป ความทรงจำสุดท้ายวาบผ่านเข้ามาในห้วงความคิด เขาพูดอย่างโกรธเกรี้ยว “นางเด็กตัวดีนั่นถึงกับกล้าทำร้ายข้า ใครก็ได้…”
* ลือสามคนกลายมีเสือจริง เป็นสำนวน หมายถึงคำโกหกเมื่อพูดกันมากๆ เข้า ผู้คนก็จะเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง
* กระโดดลงแม่น้ำหวงเหอก็ยากจะล้างมลทิน หมายถึงยากจะยืนยันความบริสุทธิ์ของตนเองได้ เนื่องจากน้ำในแม่น้ำหวงเหอ (ฮวงโห) มีสีเหลืองขุ่น เดิมทีใช้อุปมาว่าลงไปล้างตัวในแม่น้ำหวงเหอไม่มีทางสะอาดได้ ยิ่งล้างก็ยิ่งเลอะ แต่นานวันเข้าก็เพี้ยนมาเป็น ต่อให้กระโดดลงแม่น้ำหวงเหอก็ยากจะล้างมลทินได้