หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 238
บทที่ 238
หลีเจี่ยวรีบกอดน้องชายแน่น “ข้าหมดหนทางแล้ว หมดหนทางจริงๆ ใครจะรู้ว่าเจ้าเดรัจฉานนั่นจะทำอะไร ถ้าข้าบอกชื่อตัวเองไป ถ้าเขาเกิดตัณหาหน้ามืดยิ่งขึ้นจะทำฉันใด ถึงอย่างไรข้ากับเขาเคยหมั้นหมายกันมาสิบกว่าปี”
หลีฮุยทิ้งสองแขนลงข้างลำตัวปล่อยให้นางกอดไว้ เขาเอ่ยถามด้วยสีหน้าชืดชา “พี่เจี่ยว ท่านบอกชื่อน้องเจาออกไปแล้วเจ้าเดรัจฉานนั่นก็ละเว้นท่านหรือ”
เขาไม่โง่งม พี่เจี่ยวแสดงตัวว่าตนเองเปรียบดั่งคนจมน้ำคว้าขอนไม้ใกล้ตัวด้วยความสิ้นหวัง เสี่ยงเดิมพันซึ่งมีโอกาสเพียงหนึ่งในหมื่นว่าเจ้าเดรัจฉานผู้นั้นจะบังเกิดมโนธรรมขึ้นมา แต่จริงๆ แล้วพี่เจี่ยวประจักษ์แจ้งดีว่ามันเปล่าประโยชน์ ดังนั้นนางถึงใช้ชื่อของน้องเจา เพราะเมื่อมีผลลัพธ์อะไรตามมาในภายหลัง ย่อมเป็นน้องเจาที่ต้องรับผิดชอบ
หลีเจี่ยวตอบคำถามของน้องชายไม่ได้ เอาแต่ร้องไห้สะอึกสะอื้น
หลีฮุยผลักนางออกเบาๆ “พี่เจี่ยวไม่รู้สึกละอายใจต่อน้องเจาแม้สักนิดจริงๆ หรือขอรับ”
“รู้สึกสิ! น้องสาม เจ้าเห็นข้าเป็นคนเยี่ยงไร หลังเกิดเรื่องขึ้น ข้าเองก็ทั้งทุกข์ใจทั้งรู้สึกผิดอย่างมาก คราใดที่หวนนึกถึงเหตุการณ์ตอนนั้นก็นึกเสียใจภายหลังเหลือทน”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดพี่เจี่ยวต้องไม่พอใจที่ข้าออกหน้ารับด้วยเล่า”
หลีเจี่ยวเงียบอึ้งไป
มุมปากของหลีฮุยแฝงรอยยิ้มเย้ยหยัน “หรือว่าพวกเราล้วนเป็นคนสูงส่งล้ำค่า มีแต่น้องเจาที่สมควรชื่อเสียงป่นปี้ ไม่มีราคาสักอีแปะเดียว”
หลีเจี่ยวหน้าซีดถอยหลังหลายก้าว “น้องสาม เจ้ากล่าวโทษข้าอยู่หรือ ใช่ ในใจข้าเจ้าต้องสูงส่งล้ำค่ามากกว่าแน่นอน เจ้าเป็นทายาทสืบสกุลเพียงหนึ่งเดียวของครอบครัวเรา ชาวจวนตะวันตกทั้งหมดล้วนพึ่งพาเจ้าเชิดชูวงศ์ตระกูล เจ้าหมดอนาคต มิใช่เรื่องของเจ้าผู้เดียว ผู้อาวุโสทุกคนล้วนต้องเจ็บปวดใจ ถ้าข้ารู้ว่าเจ้าจะออกหน้ารับล่ะก็ ข้ายอมก้าวออกไปเองดีกว่า”
“ข้ารู้ขอรับ พี่เจี่ยวหวังดีต่อข้าเสมอมา” หลีฮุยหลับตาลง หากรอยยิ้มตรงมุมปากเขาทำให้หลีเจี่ยวหายใจไม่ทั่วท้อง
เขาลืมตาขึ้น ดวงตาสีดำวาววับจ้องมองพี่สาวตรงๆ “ตอนนี้น้องเจาแก้ปัญหาภายนอกได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องให้พี่เจี่ยวก้าวออกมารับผิด เช่นนั้นพี่เจี่ยวไปขอโทษน้องเจาเถอะ”
“ขอโทษ?” หลีเจี่ยวเบิกตากว้างฉับพลัน นางมองหลีฮุยอย่างไม่อยากจะเชื่อ
น้องชายของนางเบาปัญญาไปแล้วใช่หรือไม่
ในเมื่อเรื่องนี้ยุติลงแล้ว เพราะอะไรจะปล่อยให้มันผ่านไปเช่นนี้ไม่ได้
บอกให้นางไปขอโทษ นั่นมิเท่ากับพวกท่านย่าต้องรู้เรื่องกันหมดหรือไร
นางไปขอโทษไม่ได้เด็ดขาด หากเป็นเช่นนั้นวันหน้าจะมีที่ยืนอยู่ในจวนตะวันตกได้อย่างไร
“ความหมายของพี่เจี่ยวคือไม่ต้องขอโทษน้องเจาหรือ” หลีฮุยแสดงความผิดหวังออกมาอย่างชัดเจนโดยมิต้องเอื้อนเอ่ยเป็นคำพูด
สีหน้าของน้องชายทำให้หลีเจี่ยวสะดุ้งในใจ “ไม่ใช่ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนี้ น้องสาม เจ้าคิดดูนะ เดิมทีน้องเจาไม่รู้ว่าข้าเป็นคนทำ ถ้าให้นางรู้เข้า จะไม่กระทบกระเทือนความสัมพันธ์ของพี่น้องมากขึ้นหรอกหรือ”
นางเดินขึ้นหน้าหนึ่งก้าวไปกุมมือเขาไว้ “น้องสาม ถือว่าข้าขอร้องเจ้านะ ให้ข้าเหลือศักดิ์ศรีไว้บ้างสักนิดเถอะ คราวหลังข้ารับรองว่าจะไม่ทำเช่นนี้อีก ถ้าข้าไปขอโทษจริงๆ น้องเจาต้องเกลียดชังข้าไปทั้งชีวิตเป็นแน่ เจ้าคงไม่อยากเห็นพวกข้าพี่น้องหันหลังเป็นศัตรูกันกระมัง”
หลีฮุยดึงมือออก เอ่ยถามนางเสียงเบา “พี่เจี่ยวหมายถึงว่าจะปล่อยให้เรื่องผ่านไปอย่างนี้หรือ”
หลีเจี่ยวน้ำตานองหน้า หัวไหล่สั่นเทาไม่หยุด “น้องสามจะบีบคั้นข้าจนตายให้ได้ใช่หรือไม่”
“พี่เจี่ยว ท่านตรองดูให้ดีๆ ข้าเองก็จะตรองดูเช่นกัน ข้ากลับก่อนล่ะ”
“น้องสามๆ…” หลีเจี่ยวยื่นมือไปจะรั้งตัวเขาไว้ แต่หลีฮุยเดินออกไปโดยไม่เหลียวหลัง
หลีเจี่ยวล้มลงนั่งกลับไปบนตั่งสาวงาม ทุบหมอนกระเบื้องคราหนึ่งสุดแรง
บนหมอนกระเบื้องเย็นเฉียบเป็นภาพสาวงามไล่จับผีเสื้อ ดอกไม้สีสันสดสวยนั่นละม้ายกลายเป็นโลหิตตรงท้ายทอยของจย่าซู
หลีเจี่ยวสะท้านเยือก นางปัดมันตกลงพื้นทันควัน
เสียงของหนักหล่นกระทบพื้นดังสนั่นขึ้น ชิวลู่วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา “คุณหนู! เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ”
“เก็บกวาดของพวกนี้ออกไปให้หมดโดยไว! จำไว้ว่าวันหน้าอย่าให้ข้าเห็นหมอนกระเบื้องอีก” หลีเจี่ยวแผดเสียงตะคอกดังลั่นแล้วซบหน้ากับเตียงร่ำไห้อย่างเสียอกเสียใจ
แต่ไรมานางกับน้องสามผูกพันกันแน่นแฟ้นไร้ช่องว่าง บัดนี้เพราะเหตุใดถึงกลายเป็นอย่างนี้
หลีซาน…
ถ้าไม่มีหลีซาน ข้าก็ไม่ต้องพบเจอกับเรื่องเช่นนี้ แล้วพวกนางสองพี่น้องก็ไม่หมองหมางใจกันอย่างนี้
ต้นเหตุคือหลีซานเพียงคนเดียว!
เพราะอะไรหลีซานถึงไม่ตายไปเสีย เพราะอะไร!
ความเจ็บใจทุกข์ใจทั้งหมดทั้งมวลของพี่สาว หลีฮุยล้วนไม่อยากคิดถึงอีก เขาเดินวนเวียนอยู่ในเรือนหยาเหออย่างเลื่อนลอยไร้จุดหมายเหมือนวิญญาณโดดเดี่ยวดวงหนึ่ง
น้ำตาไหลรินลงมาทางหางตาของเด็กหนุ่ม เขากลับไม่รู้สึกตัว
“ฮุยเอ๋อร์? เจ้าอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” สุ้มเสียงที่ทั้งแปลกหูทั้งคลับคล้ายคุ้นเคยดังขึ้น
หลีฮุยมองไปอย่างเคว้งคว้าง เขาพูดพึมพำ “ฮูหยิน?”
เหอซื่อเดินไปหาเขา “กินอะไรแล้วหรือยัง”
“กินแล้วขอรับ”
“เอ๊ะ ร้องไห้หรือ”
หลีฮุยยกมือเช็ดหางตาทีหนึ่งถึงพบว่าข้างแก้มเปียกชื้น เขากระดากใจจนใบหูแดง แต่งเรื่องพูดแก้ตัวส่งเดช “เมื่อครู่หกล้มรู้สึกเจ็บเล็กน้อยขอรับ”
“เป็นแผลหรือไม่”
“ไม่มีขอรับ”
“อย่างนั้นรีบกลับไปเถอะ ฟ้ามืดแล้วเห็นทางไม่ถนัด ข้าให้สาวใช้ถือโคมไฟไปส่งเจ้านะ”
“ไม่ต้องขอรับ ข้าจะไปหาน้องเจาแล้วก็จะกลับ ท่านไม่ต้องสนใจข้าหรอกขอรับ”
“อืม ก็ได้ เจ้าไปเถอะ เจาเจาโดนสาดโคลนป้ายสีโดยไร้ความผิดคงต้องไม่สบายใจแน่ๆ เห็นเจ้าไปเยี่ยม ไม่แน่ว่านางอาจรู้สึกดีขึ้นก็เป็นได้” เหอซื่อได้ยินว่าหลีฮุยจะไปหาบุตรสาวหัวแก้วหัวแหวน น้ำเสียงก็พลันอ่อนละมุนยิ่งขึ้น
นางเป็นบุตรสาวโทน ตั้งแต่วัยเยาว์ก็วาดหวังอยากมีพี่น้องสักคนเป็นเพื่อน น่าเสียดายที่ไร้วาสนานี้ ตอนนี้หลีฮุยยินยอมทำดีกับบุตรสาว นางจึงรู้สึกปีติยินดีจากใจจริง
หลีฮุยแสดงคำนับอำลาเหอซื่อแล้วไปที่เรือนฝั่งซ้าย
ห้องหนังสือของเรือนฝั่งซ้ายยังสว่างไสวอยู่ แสงสะท้อนร่างแบบบางของเด็กสาวเห็นเป็นเงาดำได้
หลีฮุยหยุดฝีเท้ามองอย่างใจลอย
น้องเจายังอายุไม่ถึงสิบสี่ปี
แต่วันนี้น้องเจาที่เป็นอย่างนี้กลับสามารถพลิกสถานการณ์กลับ ทำให้เรื่องใหญ่สะเทือนฟ้าดินคลี่คลายลงอย่างหมดจด
ขณะที่เขายังสับสนวุ่นวายใจอยู่ว่าจะเปิดเผยความจริงแทนพี่สาวดีหรือไม่
ร่างอีกร่างหนึ่งสะท้อนเป็นเงาดำอยู่บนหน้าต่างยืนอยู่ข้างเงาร่างแบบบางคล้ายกำลังพูดเกลี้ยกล่อมอะไร
เด็กสาวในท่านั่งงดงามเงยหน้าขึ้น แต่มิได้วางม้วนตำราในมือลงโดยตลอด
เงาร่างอีกสายหนึ่งถอยออกไป
เด็กสาวริมหน้าต่างยังคงก้มหน้าอ่านตำรา
หลีฮุยก้าวเท้าออกเดินในที่สุด
“คุณหนู คุณชายสามมาเจ้าค่ะ”
“เชิญคุณชายสามเข้ามา”
อาจูพาหลีฮุยตรงไปที่ห้องหนังสือ เห็นเฉียวเจานั่งอยู่ข้างโต๊ะหนังสือถือม้วนตำราเล่มหนึ่งอยู่ในมือจริงๆ
“ดึกป่านนี้แล้ว น้องเจายังอ่านตำราอีกหรือ”
เฉียวเจาวางม้วนตำราลง เผยรอยยิ้มจางๆ ใต้แสงโคม “พี่สามมาแล้วหรือเจ้าคะ”
มิใช่กังขา หากมั่นใจแต่แรกว่าหลีฮุยต้องมา
เขานิ่งขึงไป “น้องเจารู้ว่าข้าจะมาหรือ”
อาจูถือถ้วยน้ำชาออกจากห้องไป
เฉียวเจาถึงเอ่ยขึ้น “ข้าเดาว่าพี่สามต้องมีเรื่องพูดกับข้าเจ้าค่ะ”
หลังรู้ว่าคนร้ายคือหลีเจี่ยว นางก็กระจ่างแจ้งแล้วว่าหลีฮุยต้องรู้ความจริงอย่างแน่นอน
ทางหนึ่งเป็นพี่สาว ทางหนึ่งเป็นน้องสาว ทางหนึ่งเป็นความผูกพัน ทางหนึ่งเป็นมโนธรรม
หลีฮุยไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากก้าวออกมารับผิดเอง
ฉะนั้นนางรอคอยอยู่
ถ้าได้รับคำขอขมาจากหลีเจี่ยว เช่นนั้นนางสามารถเห็นแก่หน้าของหลีฮุยให้โอกาสสุดท้ายแก่หลีเจี่ยวได้
น่าเสียดายที่หลีเจี่ยวไม่แม้แต่จะไขว่คว้าโอกาสสุดท้ายไว้
คนผู้หนึ่งที่เกือบจะผลักน้องสาวแท้ๆ ไปสู่ความตาย อีกทั้งน้องชายร่วมมารดาเดียวกันพูดเกลี้ยกล่อมแล้วยังไม่ยอมขอขมา หรือจะตั้งความหวังว่าคนหลงผิดผู้นั้นจะกลับเนื้อกลับตัวได้อีกเล่า
ไม่มีทาง คนผู้นั้นมีแต่จะโทษว่าเป็นความผิดของผู้อื่นหนักข้อยิ่งขึ้นเท่านั้นเอง