หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 239
บทที่ 239
ยามเผชิญกับดวงตากระจ่างใสเปิดเผยของเฉียวเจา หลีฮุยกลับนิ่งเงียบไป
เมื่อถึงเวลาจริงๆ จึงรู้ว่ามีถ้อยคำมากมายที่เอ่ยปากไม่ออก
กระนั้นต่อให้ละอายใจแทบอยากมุดดินหนีปานใด ก็ต้องกล่าวถ้อยคำเหล่านั้นออกมา
“น้องเจา ข้า…ข้ามาขอโทษเจ้าแทนพี่เจี่ยว คนที่ทำร้ายจย่าซูบุตรชายคนเล็กของฉางชุนป๋อ จริงๆ แล้ว…เป็นพี่เจี่ยว…” พอพูดตะกุกตะกักจนจบ หลีฮุยค่อยเหลือบตาขึ้นมองเฉียวเจา กลับพบว่าสีหน้าของเด็กสาวยังนิ่งเฉยดุจเดิม
“น้องเจา?”
เฉียวเจาคลี่ยิ้ม “ข้ารู้เจ้าค่ะ”
“เจ้ารู้หรือ” หลีฮุยทำหน้าประหลาดใจ
“ใช่เจ้าค่ะ ข้ารู้แล้ว แต่ก็เพิ่งรู้เหมือนกัน”
หน้าผากของหลีฮุยมีเหงื่อซึม ใบหน้าร้อนผ่าวยิ่งขึ้น
ที่แท้น้องเจารู้แล้ว
ตอนยืนอยู่ในลานเรือนฝั่งซ้าย มีอยู่ชั่วพริบตาหนึ่งที่เขาคิดจะถอดใจ
พี่เจี่ยวกล่าวไม่ผิด ทันทีที่น้องเจารู้เรื่อง เป็นไปได้มากว่าความสัมพันธ์ฉันพี่น้องของพวกนางอาจจบสิ้นลง แต่ขอแค่เขาปิดปากเงียบ ทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน วันหน้าพี่เจี่ยวไม่เลอะเลือนอีก เช่นนั้นทุกคนยังคงเป็นเหมือนเดิมได้
แต่จะทำเป็นว่าไม่เกิดขึ้นมาก่อนได้อย่างไร
มโนธรรมทำให้เขาก้าวข้ามปมในใจนี้ไปไม่ได้
ชั่วขณะนี้หลีฮุยรู้สึกโชคดีที่มาเปิดเผยความจริง หาไม่แล้วในใจน้องเจา พวกเขาจะต่ำช้าชั้นใด
“ไฉนพี่เจี่ยวไม่ได้มาด้วยเจ้าคะ” เฉียวเจาถามอย่างสงบเยือกเย็น
หลีฮุยตอบไม่ออก จะให้โกหกพกลมเขาทำไม่ได้ แต่จะบอกตามสัตย์จริงก็พูดออกจากปากไม่ได้
“พี่สาม เรื่องบางเรื่องทำแทนคนอื่นไม่ได้ ข้าเห็นว่าการขอขมานับเป็นหนึ่งในนั้นนะเจ้าคะ”
“น้องเจา พี่เจี่ยวเลอะเลือนไปชั่ววูบ”
“เลอะเลือนชั่ววูบ?” เฉียวเจาหัวเราะ “ในเทศกาลกำเนิดบุปผาปีนี้ พี่เจี่ยวเลอะเลือนชั่ววูบทำให้ข้าหลงทางหายตัวไป แล้วก็เลอะเลือนชั่ววูบป่าวประกาศจนคนรู้กันไปทั่ว ตอนนี้ยังคงเลอะเลือนชั่ววูบให้ข้าเป็นแพะรับบาปแทนใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“น้องเจา…”
น้ำเสียงของเฉียวเจาราบเรียบเช่นเคยราวกับพูดเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตน “พี่สามรู้หรือไม่ว่าข้าถูกล่อลวงไปแล้วตกอยู่ในสภาพใด ดูเหมือนพวกท่านไม่เคยถามไถ่ข้าอย่างละเอียด กลัวว่าข้านึกถึงเรื่องอดีตแล้วจะเสียใจหรือ”
หลีฮุยสั่นสะท้าน
เฉียวเจาทอดสายตามองช่องหน้าต่างกรุม่านโปร่งสีเขียว บนนั้นมีเงาของนางกับหลีฮุยสะท้อนอยู่
“พี่สามรู้ว่าข้ามิใช่คนอารมณ์เย็น พอตกอยู่ในมือโจรค้าทาสแล้วมีหรือจะทำใจยอมรับได้ ข้าหลบหนีครั้งแล้วครั้งเล่าแล้วก็ถูกจับกลับมา ท่านรู้หรือไม่ว่าทุกคราที่ถูกจับกลับมาแล้วโจรค้าทาสสั่งสอนข้าอย่างไร”
หลีฮุยเม้มปากแน่น อุ้งมือเปียกแฉะไปด้วยเหงื่อ
สุ้มเสียงใสกังวานของเด็กสาวราวกับดังมาจากขอบฟ้า “ในเดือนสองของทิศใต้ ต้นหลิวสองข้างทางแตกกิ่งก้านใหม่ เขาจะหักกิ่งไม้ใกล้มือมาตีหลังข้า บอกว่ากิ่งหลิวเรียวเล็ก หวดบนตัวคนแล้วเจ็บแต่ไม่ทิ้งรอยไว้ ข้าไม่ยอมรับชะตากรรมเลยหนีต่อไป เขาก็อดข้าวข้าทำให้ข้าไม่มีแรงหนี พี่สามต้องไม่รู้แน่ว่าท้องหิวเป็นความรู้สึกอย่างไรกระมัง ในกระเพาะเหมือนมีไฟกองหนึ่ง แผดเผาผิวกายข้าทุกอณูจนเจ็บปวดไปหมด…”
“น้องเจา เจ้าอย่าพูดอีกเลย อย่าพูดอีก” หลีฮุยที่ใบหน้าซีดเผือดกอดเฉียวเจาไว้ เหงื่อเย็นไหลรินจากหน้าผากเขาหยดลงบนเรือนผมดกหนาของนาง
ใบหูของเฉียวเจาร้อนวาบๆ นางผลักเขาออก
ถึงแม้ตอนนี้เขากับนางเป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกันอย่างแท้จริง แต่อย่างไรก็ไม่ได้มีความผูกพันกันตั้งแต่เล็กจนโต เทียบกับพี่ชายนางเฉียวโม่แล้วยังคงต่างกันอยู่ดี
เมื่อเริ่มต้นพูดแล้วเฉียวเจาก็ไม่ยอมหยุด “ต่อมาข้าไม่กล้าหนีแล้ว เพราะขืนหนีอีกอาจต้องตายไปจริงๆ”
ใช่แล้ว แม่นางน้อยเฉียวเจาจบชีวิตลงเช่นนี้นั่นเอง
แม่นางน้อยเฉียวเจาจะพาลเกเรและดื้อรั้นเอาแต่ใจปานใด ถึงอย่างไรก็ไม่เคยก่อกรรมทำชั่วอะไรมาก่อน
แต่นางต้องตายไปเช่นนี้ พวกที่โกรธเกลียดนางก็แล้วกันไปเถอะ ทว่าคนที่รักนางอย่างลึกซึ้งดังเช่นเหอซื่อ ไม่มีวันได้รู้ว่าวิญญาณของบุตรสาวอันเป็นที่รักของนางหวนคืนสู่แห่งหนใดก็สุดรู้ไปนานแล้ว
“พี่สามไม่ชมชอบข้าในอดีตเช่นกันกระมัง ทั้งเกเรและเอาแต่ใจ แต่ล้วนเป็นเพราะรู้จักกับความเจ็บปวดถึงได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่เข้าใจความเป็นไปต่างๆ ได้”
“น้องเจา ต่อจากนี้ข้าจะปกป้องเจ้า ข้ารับรอง” หลีฮุยไม่กล้ามองสบดวงตาสุกใสแจ่มกระจ่างคู่นั้นของน้องสาว
เขามักรู้สึกว่าน้องสาวคนเดิมตายไปแล้วฟื้นคืนชีวิตใหม่ แต่กลับไม่ต้องการการชดเชยจากพวกเขาอีกต่อไป
“เรื่องของพี่เจี่ยว ข้าจะบอกกับท่านย่าเจ้าค่ะ” เฉียวเจาเอ่ยเสียงเรียบ
หลีฮุยนิ่งงันไป ความตั้งใจแรกของเขาคืออยากให้พี่เจี่ยวขอโทษน้องเจาแล้วปรับความเข้าใจกันเอง วันหน้าสองพี่น้องจะได้อยู่ร่วมกันอย่างปรองดอง
เขาเชื่อว่าหลังจากพี่เจี่ยวขอโทษน้องเจา น้องเจาจะไม่เอาเรื่องไปบอกพวกผู้อาวุโส ถือเป็นการไว้หน้าให้พี่เจี่ยว
แต่ขณะนี้ได้ยินน้องเจาพูดทั้งหมดนี้ เขากลับกล่าวคำคัดค้านไม่ออกแล้ว
“ขอบคุณพี่สามมากที่มาเยี่ยมข้า ดึกมากแล้ว ท่านรีบกลับไปพักผ่อนเถอะเจ้าค่ะ”
เฉียวเจาไม่ถามว่าหลีฮุยตำหนิโทษนางหรือไม่ สิ่งที่สมควรพูดก็พูดไปแล้ว หากหลีฮุยคิดไม่ตก ถึงนางจะวาทศิลป์ล้ำเลิศก็เปล่าประโยชน์
“น้องเจาก็อย่าอ่านตำราอีกเลย จะเสียสายตา”
หลีฮุยออกจากเรือนฝั่งซ้ายจนกลับไปถึงห้องของตนเองด้วยความรู้สึกที่ยังคงสับสนมึนงงอยู่
“คุณชาย ท่านกลับมาได้เสียที ข้าเป็นห่วงจะแย่แล้วขอรับ”
“เตรียมน้ำร้อนให้ข้า ข้าจะชำระกาย”
“ขอรับ” เด็กรับใช้ชิงจี๋ขานรับแล้ววิ่งอย่างกระฉับกระเฉงเข้าไปหยิบตลับหยกขาวใบหนึ่งออกมาส่งให้เขา
“นี่คืออะไร”
“เป็นยาขี้ผึ้งน้ำค้างแข็งเมฆาที่นายหญิงให้คนถือมาให้ บอกว่าคุณชายหกล้มเลยเอามาให้ใช้ทาแผล คุณชาย ท่านหกล้มหรือขอรับ ให้ข้าดูสักหน่อย”
หลีฮุยถือยาขี้ผึ้งไว้ด้วยความรู้สึกที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูก
วันถัดมา พวกบุรุษในจวนที่พึงไปที่ว่าการก็ไปที่ว่าการ ที่พึงไปเรียนหนังสือก็ไปเรียนหนังสือ ส่วนพวกสตรีเรือนหลังชักแถวกันไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งที่เรือนชิงซง
หลีเจี่ยวที่นอนหลับไม่สนิททั้งคืนเอาไข่ต้มคลึงดวงตาแล้วผัดแป้งหนาเตอะ ถึงปกปิดรอยคล้ำชัดเจนใต้ตา นางมาถึงเรือนชิงซงแต่เช้าตรู่
“วันนี้เจี่ยวเอ๋อร์มาแต่เช้าเลย”
“อากาศร้อนนอนไม่เป็นสุขเจ้าค่ะ มิสู้รีบมาอยู่เป็นเพื่อนท่านย่าดีกว่า” หลีเจี่ยวยิ้มหวานพูดเอาอกเอาใจหญิงชราได้อย่างช่ำชอง
ตอนนี้นางหยั่งความคิดของน้องชายไม่ค่อยถูกแล้ว เขาบอกให้นางตรองดูให้ดีๆ หรือต้องให้นางขอโทษหลีซานให้ได้
ดีที่น้องสามไปสำนักศึกษาหลวงตั้งแต่เช้า ถ่วงเวลาให้พ้นกลางวันนี้ไปก่อน ไม่แน่ว่าเขาก็หายโกรธแล้ว ถึงตอนนั้นนางค่อยพูดกับเขาดีๆ เรื่องนี้น่าจะผ่านไปได้
ให้นางขอโทษหลีซาน…ไม่ได้เป็นอันขาด หลีซานเป็นคนเช่นใดกัน หลังรู้ความจริงต้องโวยวายจนรู้กันหมดแน่
คนที่มาคารวะยามเช้าทยอยกันมาถึงจนครบ
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งกวาดตามองรอบหนึ่งแล้วเอ่ยถามเหอซื่อ “เจาเจาล่ะ”
เมื่อวานเจาเจาใช้เข็มเงินรักษาคนปัญญาอ่อนจนหายดีเป็นเรื่องน่าตื่นตะลึงเหลือเกิน แต่ตอนนั้นจะถามอย่างละเอียดก็ไม่ถนัด นางสนใจใคร่รู้อยู่ตลอด แต่รอให้หลานสาวพักผ่อนให้เต็มที่คืนหนึ่งแล้วค่อยซักถามอีกที
เหอซื่อทำหน้าเหลอหลา “ข้าก็ไม่ทราบเจ้าค่ะ ใช่หรือไม่ว่าจะนอนตื่นสาย”
นายหญิงรองหลิวซื่อก้มหน้าลอบขบขัน
พี่สะใภ้หัวทื่อเป็นตอไม้ผู้นี้ ข้าล่ะนับถือจริงๆ ไฉนให้กำเนิดคนฉลาดหลักแหลมอย่างคุณหนูสามได้นะ
“คุณหนูสามมาแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้อาวุโสชิงอวิ๋นที่ยืนอยู่หน้าประตูขานบอก
เฉียวเจาเดินเข้ามาแสดงคารวะต่อเหล่าผู้อาวุโสแล้วมองหลีเจี่ยวแวบหนึ่ง
หลีเจี่ยวรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีชอบกล
“สีหน้าหลานเจาไม่สู้ดีเลย เมื่อวานหลับไม่สนิทหรือ” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งเอ่ยถาม
“ข้าหลับไม่สนิทจริงๆ ท่านย่า ข้ารู้ว่าใครเป็นคนร้ายตัวจริงที่ทำร้ายบุตรชายคนเล็กของฉางชุนป๋อบาดเจ็บแล้วเจ้าค่ะ”