หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 244
บทที่ 244
ดวงหน้าของเฉียวเจาเรียบเฉย “ไม่ใช่ นางมีโรค”
“มีโรค? ป่วยเป็นโรคจริงๆ หรือนี่”
เฉียวเจาแย้มยิ้ม
ใช่แล้ว โรคทางใจก็คือโรค อีกทั้งยากรักษาเยียวยา
สภาพของเหมาซื่อในเวลานี้ก็ไม่ต่างจากฟางเส้นสุดท้าย
พอเห็นเฉียวเจายิ้ม เฉินกวงก็ขนลุกเกรียว เขาปาดเหงื่อเย็นพลางกล่าว “คุณหนูสาม ท่านคงจะไม่ให้ข้าไปทำเรื่องพิลึกพิลั่นอันใดอีกกระมัง”
เขาไม่อยากทำแล้วจริงๆ ตอนนี้ยังฝันร้ายเห็นกางเกงตัวในสีแดงเข้มของยายเฒ่าผู้นั้นอยู่เลย
“ทำบ่อยๆ ก็เคยชินไปเอง” เฉียวเจาพูดปลอบ
“…” ข้าไม่เคยชินสักนิด!
ข่าวซุบซิบว่าเหมาซื่อของจวนเสนาบดีโค่วป่วยเพราะขวัญไม่อยู่กับตัวแพร่สะพัดเป็นไฟลามทุ่งในเวลาอันสั้น
เสนาบดีโค่วเป็นหนึ่งในขุนนางชั้นผู้ใหญ่หกกรม เกิดเรื่องพรรค์นี้ขึ้นในครอบครัวย่อมน่าอับอายขายหน้า เขากลับถึงเรือนก็สีหน้าบึ้งตึง เป็นเหตุให้ฮูหยินผู้เฒ่าเซวียร้อนใจดุจไฟลนไปด้วย
ผู้คนในจวนตกอยู่ในความหวาดหวั่นพรั่นพรึง มีบ่าวไพร่ลอบวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ลับหลังผู้เป็นนายมากขึ้นเรื่อยๆ
“ไม่รู้จะเรียกขวัญนายหญิงใหญ่กลับมาได้อีกหรือไม่”
“ข้าว่ายาก นี่เชิญหมอหลวงมาตั้งกี่คนแล้ว ไม่เห็นอาการดีขึ้นแม้แต่น้อย ข้าว่านะ จะเชิญหมอหลวงด้วยเหตุใด น่าจะเชิญนักพรตมาทำพิธีจึงจะถูก มีอย่างที่ใดคนขวัญหายไม่เชิญนักพรต ไพล่ไปเชิญหมอ”
“ใช่ๆๆๆ น่าจะเชิญนักพรตมาทำพิธี แต่นายหญิงใหญ่ดูไม่เหมือนคนที่จะกระทำเรื่องผิดมโนธรรมพรรค์นั้นนะ”
“ใครจะไปรู้ คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ…”
“หุบปาก!” เสียงตวาดห้วนจัดดังขึ้น โค่วเทียนอวี่เดินเอามือไพล่หลังเข้ามา
“คุณชายน้อย” สาวใช้ที่นินทาเจ้านายสองคนตกใจจนหน้าซีด
“พวกเจ้านินทาว่าร้ายผู้เป็นนายลับหลัง รู้หรือไม่ว่าคำว่า ‘ซื่อสัตย์สุจริต’ เขียนเช่นไร”
สาวใช้ทั้งสองที่คุกเข่ากับพื้นนึกในใจ ไม่รู้แน่นอน ก็พวกข้าไม่รู้หนังสือสักหน่อย!
“บ่าวสำนึกผิดแล้วๆ”
“ในเมื่อสำนึกผิด ข้าจะไม่ลงโทษสถานหนัก พวกเจ้าคัดคำสั่งสอนประจำตระกูลคนละสองจบ พรุ่งนี้ส่งมาให้ข้าดู”
อะไรนะ สาวใช้สองคนสบตากันแล้วแทบเปล่งเสียงร่ำไห้
เช่นนี้มิสู้โดนโบยหรือหักเบี้ยรายเดือนยังดีกว่า!
ดูทีว่าคงได้แต่ให้สินน้ำใจกับผู้ดูแลห้องบัญชีขอให้เขาช่วยแล้ว
โค่วเทียนอวี่ย่างเท้าเดินไปข้างหน้าสองก้าวแล้วหยุดนิ่ง “พรุ่งนี้ข้าจะดูพวกเจ้าเขียนอักษรสักสองสามตัว ถ้าลายมือไม่ตรงกัน ข้าจะเอาสิ่งที่พวกเจ้าพูดกันวันนี้ไปบอกกับฮูหยินผู้เฒ่า”
หญิงวัยกลางคนสองคนทรุดฮวบลงกับพื้น
โค่วเทียนอวี่ไปที่เรือนของเหมาซื่อ
“คุณชายน้อย นายหญิงยังหลับอยู่ คุณหนูใหญ่กับคุณหนูรองล้วนอยู่ด้านในเจ้าค่ะ”
โค่วเทียนอวี่มีสีหน้าเคร่งขรึม เขาผงกศีรษะก้าวขาเดินเข้าไป
เหมาซื่อนอนหลับตาสนิทอยู่บนเตียงหลัวฮั่น* ชั่วเวลาสั้นๆ ไม่กี่วันนางก็ผ่ายผอมจนหนังหุ้มกระดูก
โค่วจื่อโม่หลุบตาไม่กล่าววาจา ส่วนโค่วชิงหลันตาแดงเรื่อๆ
สามพี่น้องได้เยี่ยมมารดาแล้วพากันถอยออกจากห้องอย่างไร้สุ้มเสียง
แมกไม้ในลานเรือนเขียวชอุ่มร่มรื่นมากขึ้น จักจั่นตามต้นไม้กรีดปีกเสียงดังระงมชวนให้หงุดหงิดว้าวุ่นใจ
“พี่จื่อโม่ พี่ชิงหลัน พวกท่านไม่ต้องเป็นห่วง ข้าเชื่อว่าท่านแม่เป็นคนมีบุญ สวรรค์ย่อมคุ้มครอง”
“ข้าโมโหพวกปากอยู่ไม่สุขนัก!” โค่วชิงหลันพูดอย่างฉุนเฉียว
“คนบริสุทธิ์ย่อมเป็นคนบริสุทธิ์วันยังค่ำ ช้าเร็วข่าวลือเลื่อนลอยพรรค์นี้ก็จะซาไปเอง” โค่วเทียนอวี่วางสีหน้าขรึมเกินวัยกล่าวปลอบใจพี่สาว
“แต่มีคนในจวนหลายคนที่พูดเป็นจริงเป็นจังว่าเห็นเสือขนสีขาวจริงๆ…”
“นั่นเป็นแค่ใครว่าอะไรก็ว่าตามกันเท่านั้น พี่ชิงหลันไม่เคยได้ยินนิทานเรื่องลือสามคนกลายมีเสือจริงหรือขอรับ”
โค่วจื่อโม่นิ่งเงียบฟังน้องชายน้องสาวสนทนาโดยตลอด
“ไฉนพี่จื่อโม่ไม่พูดไม่จา” โค่วชิงหลันไต่ถาม
นางฝืนยิ้ม “เป็นห่วงท่านแม่”
ชิงหลันกับเทียนอวี่เชื่อถือท่านแม่อย่างสนิทใจ แต่เหตุใดนางกลับรู้สึกสงสัยรางๆ นะ
ท่านแม่เฝ้าระแวดระวังญาติผู้พี่อยู่เสมอเพราะนาง
บางที… โค่วจื่อโม่ไม่กล้าคิดให้ลึกลงไปกว่านี้
เทียบกับน้องชายน้องสาวแล้ว นางช่างอกตัญญูอย่างที่สุดจริงๆ ถึงกับบังเกิดความคิดที่ผิดทำนองคลองธรรมเช่นนี้
“พี่จื่อโม่?”
โค่วจื่อโม่ดึงตนเองออกจากภวังค์ “ไม่เป็นไร กลับกันเถอะ ข้าฟังจากน้ำเสียงท่านย่าแล้วมีความคิดจะเชิญนักพรตมาปัดเป่าสิ่งอัปมงคล”
โค่วเทียนอวี่ขมวดคิ้ว “ไยท่านย่าก็เชื่อเรื่องพวก…”
“เทียนอวี่ บางอย่างจะพูดจาส่งเดชไม่ได้” โค่วจื่อโม่เอ็ดปรามเขาทันใด
โอรสสวรรค์องค์ปัจจุบันเลื่อมใสลัทธิเต๋าถึงขั้นหลงใหลงมงาย ชุบเลี้ยงนักพรตกลุ่มหนึ่งปรุงยาลูกกลอนอยู่ในวังหลวง หากถ้อยคำนี้ของน้องชายเล็ดลอดออกไปจะเปิดช่องให้คนจับผิดจวนเสนาบดีได้
โค่วเทียนอวี่ขยับมุมปากแต่ไม่กล่าวอะไรอีก
“เอาล่ะ กลับกันเถอะ”
สามพี่น้องแยกย้ายกันไปเงียบๆ
ไม่ถึงสองวัน จวนเสนาบดีโค่วเชิญนักพรตมาประกอบพิธีกรรมจริงๆ
วันนั้นเหมาซื่อดูสดชื่นขึ้นมาบ้าง
“จวนเสนาบดีโค่วเชิญนักพรตมาทำพิธีหรือ” เฉียวเจายกยิ้มหลังฟังข่าวที่อาจูสืบมาได้จากข้างนอกจบ
ไม่ผิดจากที่นางคาดไว้ ถึงขั้นเชิญนักพรตขับไล่สิ่งอัปมงคลแล้ว
ฉะนั้นยามนี้ก็ถึงเวลารุกฆาตเหมาซื่อ
เฉียวเจาเดินไปที่ริมหน้าต่างมองออกไปด้านนอก
ท้องนภาเป็นสีครามขมุกขมัว ก้อนเมฆซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ
วันนี้ฟ้าครึ้ม ถ้าถึงยามราตรีมีฝนตกฟ้าคะนองก็จะยิ่งดี
เฉียวเจาตรึกตรองแล้วเรียกเฉินกวงมาหา
เดี๋ยวนี้เฉินกวงเข้าสู่เรือนเล็กฝั่งซ้ายคราใดจะเริ่มอกสั่นขวัญแขวน รู้สึกว่าอีกประเดี๋ยวคงกินอาหารกลางวันได้น้อยลงชามหนึ่ง
“คุณหนูสามตามข้ามามีเรื่องอันใดหรือขอรับ”
“เฉินกวง ข้าเคยได้ยินเจ้าพูดว่าทุกครั้งที่อากาศเปลี่ยน ท่านแม่ทัพของพวกเจ้าก็จะเจ็บปวดอย่างรุนแรงใช่หรือไม่”
“เอ๊ะ ใช่ขอรับ” เฉินกวงนิ่งงันไป จากนั้นลอบปีติยินดีเหลือประมาณ
คุณหนูสามรู้จักเป็นห่วงท่านแม่ทัพของข้าแล้วหรือนี่!
เขานึกไว้แล้วเชียว ดังคำกล่าวว่าเรื่องเดียวกันไม่เกิดซ้ำสามหน* ในที่สุดน่าจะเป็นเรื่องดีบ้างแล้ว
“ท่านแม่ทัพของพวกข้าต้องทรมานมากขอรับ ทุกครั้งที่อากาศครึ้มฟ้าครื้มฝนก็จะเจ็บจนหลั่งเหงื่อเย็นไม่หยุด ตัวเปียกชุ่มเหมือนแช่น้ำมากระนั้น ทว่าแต่ไรมาท่านแม่ทัพไม่เคยปริปากบ่นสักคำ ช่วยไม่ได้นี่ขอรับ พูดไปก็ไม่มีใครสงสารเห็นใจ คุณหนูสาม ท่านว่าจริงหรือไม่”
“…” เพราะอะไรเจ้าสารถีน้อยพูดมากถึงเพียงนี้ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าไปถามดูสิว่าวันนี้แม่ทัพเซ่ารู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงหรือไม่”
“ฮ่าๆ ไปเดี๋ยวนี้เลยขอรับ” เฉินกวงหน้าชื่นตาบาน
“เฉินกวง…”
“คุณหนูสามยังมีอะไรจะสั่งกำชับอีกขอรับ”
“ไม่ต้องเจตนาถามนะ ทำเป็นถามถึงอย่างไม่ตั้งใจ อย่าเอ่ยถึงข้าด้วย”
“เข้าใจขอรับๆ” นี่คุณหนูสามคงจะอายล่ะสิ
เฉินกวงไปถึงหอชุนเฟิงพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้าตลอด
เซ่าหมิงยวนนั่งอ่านหนังสืออยู่ใต้ระแนงเถาองุ่น เห็นเฉินกวงมาถึงก็วางหนังสือลง “คุณหนูหลีมีธุระหรือ”
เฉินกวงแสดงคารวะแล้วยิ้มกริ่มพลางพูด “ท่านแม่ทัพ คุณหนูสามฝากข้ามาถามว่าวันนี้ร่างกายท่านเป็นอย่างไรบ้าง”
สารถีน้อยที่หักหลังเฉียวเจาโดยไม่ลังเลใดๆ หาได้มีสีหน้าละอายแก่ใจแม้สักนิด
เซ่าหมิงยวนเลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจ
คุณหนูหลีถามว่าร่างกายข้าเป็นอย่างไร…หรือจะ…รู้สึกว่าที่เตะข้าทีหนึ่งวันนั้นทำให้ช้ำใน
“บอกคุณหนูหลีว่าข้าสบายดีมาก นางไม่จำเป็นต้องเก็บใส่ใจ”
ไม่เก็บใส่ใจจะได้ที่ใดกัน ไม่เก็บใส่ใจแล้วภารกิจของเขาจะลุล่วงเมื่อไร
เฉินกวงได้ยินท่านแม่ทัพที่เคารพกล่าวเช่นนี้ก็ไม่พึงพอใจเป็นอันมาก เขากลอกตาไปมาแล้วกล่าวขึ้น “ท่านแม่ทัพ ข้ารู้สึกว่าคุณหนูสามห่วงใยท่านมาก ท่านว่าหรือไม่”
เซ่าหมิงยวนมองเฉินกวงปราดหนึ่ง นัยน์ตาสีดำทอแววลึกล้ำจนผู้อื่นหยั่งความรู้สึกไม่ออก “กลับไปก่อนฝนจะตกเถอะ”
เฉินกวงทำหน้าอิดออดไม่เต็มใจ
ให้กลับไปเช่นนี้หรือ ดีชั่วท่านแม่ทัพก็พูดอะไรสักนิด!
เซ่าหมิงยวนเหล่ตามองผู้ใต้บังคับบัญชา “ขอบคุณคุณหนูหลีแทนข้าด้วย ยาใช้ได้ดีมาก”
“ขอรับ ข้าจะบอกต่อคุณหนูหลีแน่นอน” ใบหน้าของเฉินกวงเผยรอยยิ้มกว้างขวาง
พูดขอบคุณก็ยังดี คุณหนูสามได้ยินแล้วต้องดีใจแน่
“อีกอย่างวันหน้าไม่มีเรื่องสำคัญอะไรก็ไม่ต้องมาแล้ว”
* เตียงหลัวฮั่น เป็นเครื่องเรือนสมัยโบราณของจีน ใช้สำหรับนั่งรับแขกหรือนอนเล่น ลักษณะคล้ายตั่งขนาดใหญ่ แต่ไม่ใช้เป็นเตียงนอนในห้องนอน
* เรื่องเดียวกันไม่เกิดซ้ำสามหน หมายถึงคนเราย่อมต้องพบเจอเรื่องดีร้ายสลับกันไป