หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 245
บทที่ 245
เฉินกวงกลับถึงจวนสกุลหลีพร้อมกับความกระทบกระเทือนใจอย่างรุนแรงอีกคำรบหนึ่ง
เฉียวเจาเอ่ยถามเขา “ท่านแม่ทัพบอกว่ายาของคุณหนูสามใช้ได้ดีมาก ท่านแม่ทัพขอบคุณท่านมาก หากคุณหนูสามมีเรื่องอะไรล้วนไปหาท่านแม่ทัพของพวกข้าได้ทุกเมื่อ ท่านรับรองด้วยเกียรติว่าจะช่วยเหลืออย่างเต็มที่ขอรับ”
เฉียวเจาฟังแล้วขมวดคิ้วตลอด “ท่านแม่ทัพพูดเช่นนี้จริงๆ หรือ”
แค่เพราะท่านปู่หลี่ฝากฝังไว้ ก็สามารถรับรองด้วยเกียรติว่าจะช่วยเหลืออย่างเต็มที่หรือ คนผู้นี้ยังมีความหยิ่งในเกียรติของตนอยู่สักนิดหรือไม่!
เฉินกวงจับต้นชนปลายไม่ถูก เพราะอะไรดูคุณหนูสามไม่เพียงไม่ประทับใจ ซ้ำยังมีท่าทางโกรธเคืองอยู่สักหน่อย
พอเห็นเฉินกวงไม่แน่ใจ เฉียวเจาเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “ช่างเถอะ วันหน้าไม่มีเรื่องสำคัญอะไร เดิมทีก็ไม่ต้องรบกวนแม่ทัพเซ่า และยิ่งไม่จำเป็นต้องให้เขารับรองด้วยเกียรติว่าจะช่วยเหลืออย่างเต็มที่”
เฉินกวงอึ้งไป เขาหลุดปากพูดอย่างห้ามไม่อยู่ “คุณหนูสามกับท่านแม่ทัพของข้าพูดจาเหมือนกันเลยขอรับ”
เฉียวเจานิ่งขึงไปครู่เดียวก็เข้าใจความหมายของเฉินกวงอย่างรวดเร็ว
ทีแรกนางรู้สึกขุ่นเคือง…นี่เซ่าหมิงยวนติงว่านางน่ารำคาญหรือ
ต่อมาในใจนางก็เบิกบานน้อยๆ อย่างไร้เหตุผล
ดูอย่างนี้แล้วคนผู้นั้นมิใช่เห็นเป็นสตรีอ่อนเยาว์ก็ปฏิเสธไม่เป็น ยังรู้จักเลี่ยงคำครหา
เฉินกวงพลันรู้สึกได้ว่าคุณหนูสามอารมณ์ดีขึ้น
สารถีน้อยใคร่ครวญแล้วตัดสินใจว่าอย่าพูดจาส่งเดชดีกว่า
“ท่านแม่ทัพได้บอกหรือไม่ว่าวันนี้จะมีฝนตก”
“บอกขอรับๆ” เฉินกวงพยักหน้าถี่รัว ก็บอกแล้วว่าคุณหนูสามกับท่านแม่ทัพจิตใจตรงกัน!
“อย่างนั้นก็ดี” เฉียวเจาพยักหน้าอย่างวางใจ แต่จู่ๆ นางก็ส่งยิ้มให้เฉินกวง
เขาทำหน้าตื่นตัวระแวดระวัง เพราะอะไรเขาสังหรณ์ใจไม่ดีอีกแล้ว
“เฉินกวง คืนนี้ยังมีเรื่องต้องไหว้วานเจ้าตามเคย”
เขานิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ก่อนจะเสนอความเห็นด้วยสีหน้าทอดอาลัย “คุณหนูสาม ข้าเป็นเพียงสารถีน้อยๆ ส่วนท่านเป็นผู้ทำการใหญ่ เอาแต่ไหว้วานข้าอย่างนี้จะดีหรือ มิสู้ให้ท่านแม่ทัพของข้าออกโรงเองขอรับ”
“แต่ว่าสารถีเป็นคนของข้า ส่วนท่านแม่ทัพของเจ้าไม่เกี่ยวข้องกับข้า”
เฉินกวงน้ำตาคลอเบ้า
ไม่นะขอรับ อันที่จริงท่านแม่ทัพก็เป็นของท่านได้…
เฉียวเจาหยิบม้วนภาพวาดข้างมือส่งให้เขา
เฉินกวงรับไว้แล้วมองเฉียวเจาอย่างฉงนระคนสงสัย
นางแย้มยิ้มอ่อนโยน “เปิดออกดูสิ”
เฉินกวงอกสั่นขวัญแขวนขณะคลี่ม้วนภาพวาดออกทีละน้อย
หากที่น่าประหลาดคือบนพื้นหลังของภาพวาดที่ระบายเป็นสีดำ ชุดกระโปรงสีขาวนวลของสตรีค่อยๆ ปรากฏขึ้น
สีดำกับสีขาวตัดกันจนดูโดดเด่นสะดุดตาขึ้นหลายส่วนชอบกล
เฉินกวงสะดุ้งวาบในใจ
นี่คุณหนูวาดภาพเหมือนของตนเองใช่หรือไม่ น่าแปลกเหลือเกิน เพราะอะไรพื้นหลังต้องเป็นสีดำ
ภาพวาดถูกคลี่ออกจนสุดเผยให้เห็นดวงหน้าหมดจดเกลี้ยงเกลาของสตรี
มือของเฉินกวงสั่นกระตุกทีหนึ่ง ม้วนภาพวาดก็หล่นลงบนพื้น
เฉียวเจารีบเก็บมันขึ้นแล้วมุ่นคิ้วถาม “เป็นอะไรไป”
เฉินกวงทำสีหน้าปั้นยากอยู่บ้าง สายตาของเขาจ้องเขม็งที่เฉียวเจา กระทั่งเสียงพูดก็ไม่หนักแน่น “คุณหนูสามรู้จักคนในภาพวาดหรือขอรับ”
ฝีมือวาดภาพของนางล้ำเลิศ เพียงมองปราดเดียว เขาก็จดจำได้ว่าหญิงสาวในภาพวาดคือฮูหยินที่ล่วงลับไปแล้วของท่านแม่ทัพ
เฉียวเจาหลากใจเช่นเดียวกัน
ในบรรดาคนที่เซ่าหมิงยวนส่งมารับนางในครั้งนั้นไม่มีเฉินกวง แต่เขากลับจำหน้านางได้หรือนี่
ตามหลักแล้วโอกาสเดียวที่เฉินกวงจะได้เห็นนาง ก็คือตอนนางถูกพวกต๋าจื่อพาตัวขึ้นไปบนกำแพงเมือง
แต่ยามนั้นนางอยู่ในสภาพมอมแมมอย่างนั้น ทั้งอยู่ห่างกันไกลระยะหนึ่ง เฉินกวงกลับเห็นครั้งเดียวก็จดจำได้ตลอดเลยหรือ
“เฉินกวง เจ้ารู้จักคนในภาพวาดหรือ” เฉียวย้อนถามคำเดียวกัน
“รู้จักแน่นอนสิขอรับ นี่คือฮูหยินที่ล่วงลับไปแล้วของท่านแม่ทัพ ข้าเคยเห็นในห้องหนังสือของท่าน…” เฉินกวงชะงักปากกะทันหัน
สมควรตาย เขาพูดออกมาได้อย่างไร ให้คุณหนูสามรู้ว่าท่านแม่ทัพแขวนภาพวาดของฮูหยินไว้ในห้องหนังสือ หากวันหน้านางไม่ไยดีท่านแม่ทัพแล้วจะทำฉันใด
เฉียวเจาใจกระตุกวูบหนึ่ง
เซ่าหมิงยวนวาดภาพเหมือนของข้าหรือ
เขายังวาดภาพได้ด้วยหรือนี่
ดูไม่ออกจริงๆ บุรุษท่าทางเยือกเย็นเฉยเมยอย่างเขาจะเก็บภาพวาดของสตรีไว้ในห้องหนังสือ
เฉียวเจาบังเกิดความรู้สึกสับสนปนเปที่ตัวนางเองก็พูดไม่ออกบอกไม่ถูก
มาตรว่าการตายของนางมิใช่ว่าคนผู้นั้นวาดภาพสักกี่ภาพก็สามารถแก้ไขคืนมาได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรความรู้สึกเป็นที่จดจำกับคล้อยหลังก็ถูกลืมเลือนจนหมดสิ้นนั้นยังคงไม่เหมือนกันกระมัง
มุมปากของเฉียวเจาปรากฏรอยยิ้มจางๆ อย่างห้ามไม่อยู่
“คุณหนูสาม ท่านเคยพบกับฮูหยินของท่านแม่ทัพตั้งแต่เมื่อไรขอรับ” เฉินกวงคันหัวใจยิบๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“นี่มีอันใดน่าแปลกกัน เมื่อก่อนฮูหยินของท่านแม่ทัพของพวกเจ้าก็อยู่ในเมืองหลวงมิใช่หรือ”
“ที่แท้เป็นอย่างนี้ เมื่อครู่ข้าตกใจหมดเลย เช่นนั้นท่านวาดภาพนี้ด้วยเหตุใดขอรับ”
“เฉินกวง คราวก่อนให้เจ้าปลอมเป็นเสือไปหลอกคนให้ตกใจ คงสร้างความลำบากให้เจ้ากระมัง จะอย่างไรลักลอบเข้าไปในจวนผู้อื่นยามวิกาลเป็นเรื่องยุ่งยากอยู่มาก”
“แค่นี้จะยุ่งยากอะไรขอรับ สำหรับข้าแล้วไม่ต่างจากเดินบนพื้นราบ คุณหนูสาม ท่านไม่รู้หรอกว่าเมื่อครั้งอยู่ที่แดนเหนือ…”
เฉินกวงเล่าด้วยสีหน้าภาคภูมิลำพองใจ ด้านเฉียวเจาก็ฟังอย่างมีน้ำอดน้ำทน
รอจนเขาพูดจบ เฉียวเจาก็คลี่ยิ้ม “ในเมื่อเป็นเช่นนั้นขอไหว้วานเจ้าไปอีกรอบหนึ่งเถอะ ใช้ภาพวาดนี้หลอกให้คนตกใจ”
“…” กรรไกรอยู่ที่ใด ข้าจะตัดลิ้นน่าชังนี้ทิ้งไปเสีย!
ท้องฟ้าขมุกขมัวตลอดวัน ไม่มีลมเลยสักนิด ทั่วทั้งเมืองหลวงร้อนอบอ้าวราวกับอยู่ในลังถึง จวนเสนาบดีโค่วก็มิใช่ข้อยกเว้นเป็นธรรมดา
สาวใช้ที่ดูแลปรนนิบัติเหมาซื่อสองคนเหงื่อไหลโซมกายเหมือนพลัดตกน้ำมา พวกนางได้แต่ลอบขยับไปรับลมริมหน้าต่างที่เปิดอ้าไว้
อากาศอย่างนี้ช่างทารุณคนได้ดีแท้ เผอิญว่านายหญิงป่วยอยู่ ไม่อาจวางอ่างน้ำแข็งในห้องได้ ซ้ำร้ายยังมีกลิ่นยาตลบอบอวล แม้แต่พวกนางเลยต้องทนทรมานไปด้วย
“ชุนจือ พยุงข้าลงไปเดินๆ สักหน่อย” เหมาซื่อร้องบอกเสียงแหบแห้ง
สองสาวใช้กุลีกุจอพยุงนางลงจากเตียง พลางคิดคำนึงในใจว่าเชิญพวกนักพรตของอารามเสวียนชิงมาประกอบพิธีกรรมครั้งหนึ่งได้ผลดีเอาการ วันนี้นายหญิงที่แต่เดิมนอนซมเป็นส่วนใหญ่ก็แจ่มใสขึ้นไม่น้อย
หากนายหญิงหายดีโดยไว พวกนางถึงจะได้สบายขึ้น
เหมาซื่อนอนอยู่บนเตียงมาติดๆ กันหลายวัน ส่งผลให้แข้งขาอ่อนแรงอยู่บ้าง นางเคลื่อนกายไปนั่งข้างหน้าต่าง หยุดพักหายใจเฮือกหนึ่งก่อนเอ่ยขึ้น “ดูท่าวันนี้จะฝนตกหนักแล้ว”
“ฝนตกหนักก็ดีเจ้าค่ะ จวนของเราเพิ่งทำพิธีไป ยังมีฝนตกลงมาห่าใหญ่ ชะล้างสิ่งอัปมงคลทิ้งไปให้เกลี้ยง นายหญิงก็จะได้หายป่วย”
เหมาซื่อคลายยิ้มแลมองเมฆสีดำทะมึนลอยต่ำทางนอกหน้าต่าง
อารามเสวียนชิงเป็นอารามสำนักเต๋ามีชื่อ พวกนักพรตล้วนมีความสามารถสูงส่ง เชิญพวกเขามาประกอบพิธีกรรม ไม่ว่าภูตผีวิญญาณใดๆ ล้วนถูกขับไล่ไปไม่เหลือหลอ แล้วเจ้าผีอายุสั้นตนนั้นจะนับว่ามีอะไร
เมื่อคิดไปเช่นนี้ เหมาซื่อรู้สึกเนื้อตัวผ่อนคลายขึ้นอีกไม่น้อยโดยพลัน
สายลมเย็นๆ บางเบาโชยเข้ามาทางหน้าต่าง
เหมาซื่อถอนหายใจเฮือกหนึ่งอย่างสบายกาย
“นายหญิง ฝนน่าจะใกล้ตกแล้ว ท่านเพิ่งดีขึ้นบ้าง อย่าตากลมจะดีกว่า ข้าประคองท่านกลับไปนอนนะเจ้าคะ”
หลังจากล้มป่วยคราหนึ่งทำให้เหมาซื่อทะนุถนอมร่างกายมากขึ้น พอได้ยินสาวใช้บอกเช่นนี้ก็พยักหน้าให้พวกนางประคองเดินกลับไปและเอ่ยสั่ง “หน้าต่างยังไม่ต้องปิด ในห้องร้อนอบอ้าวเหมือนอยู่ในลังถึง รอฝนมาแล้วค่อยว่ากันอีกที”
ฝนราตรีในฤดูร้อนมาเยือนอย่างเร็วรี่ เหมาซื่อกล่าวคำนี้ไม่นานนัก นอกเรือนก็เกิดลมพัดกระหน่ำรุนแรงจนหน้าต่างกระทบกันดังกุกกักๆ ชุนจือจึงรีบไปปิดหน้าต่าง
พอนางเดินมาถึงริมหน้าต่างก็มองออกไปข้างนอกตามความเคยชิน
สตรีสวมเสื้อสีขาวกระโปรงสีขาวยืนอยู่ด้านนอก เรือนผมยาวเฟื้อยแผ่สยายดูน่าขนพองสยองเกล้า
“กรี๊ด…” ชุนจือหวีดร้องเสียงหนึ่งแล้ววิ่งล้มลุกคลุกคลานกลับไป “นายหญิง! มีผี มีผีเจ้าค่ะ”