หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 246
บทที่ 246
เหมาซื่อที่ได้รับความตกใจแล้วแทบจะดีดตัวลุกพรวดลงจากเตียงหลัวฮั่น ก้าวขาวิ่งออกมาด้านนอก
สาวใช้อีกคนหนึ่งรีบไล่ตามไป “นายหญิง ท่านอย่าออกไป…”
เหมาซื่อไม่ฟังเสียงร้องห้าม มองไปทางนอกหน้าต่างคล้ายต้องการยืนยันอะไรบางอย่าง
ด้านนอกสายลมกระโชกแรงพัดกรูเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดอยู่ ผืนรัตติกาลปราศจากแสงเดือนแสงดาวเป็นสีดำสนิทดุจน้ำหมึก
ประจวบเหมาะกับแสงอสนีบาตสายหนึ่งฟาดลงมา พาให้ทั่วบริเวณสว่างไสวประหนึ่งยามกลางวันในพริบตา
ชุดขาวของสตรีนอกหน้าต่างพลิ้วไหว วงหน้าขาวเกลี้ยงปานหิมะ แต่พอมองไปแวบหนึ่งกลับดูแข็งทื่อไร้ชีวิต
ชุนจือสาวใช้อาวุโสเห็นสตรีชุดสีขาวนอกหน้าต่างเพียงนึกว่าเห็นผี ทว่าเหมาซื่อมองปราดเดียวก็จำได้ทันที
นี่คือเฉียวเจาที่สิ้นชีพในแดนเหนือ!
สตรีชุดสีขาวนอกหน้าต่างพลันมีโลหิตไหลออกมาทางหางตาและมุมปาก
ในสมองของเหมาซื่ออื้ออึงไปหมด “อย่าเข้ามานะๆ ข้าไม่ได้คิดจะเอาชีวิตพี่ชายเจ้า!”
ตัวนางอ่อนระทวยล้มพับลง ชิวฮวาสาวใช้อีกคนหนึ่งที่ตามหลังมาติดๆ ร้องเสียงแหลม “มีผี!”
ครั้นนางเพ่งมองไปทางนอกหน้าต่างดีๆ อีกครั้งก็ไม่เห็นแม้แต่เงา
บรรดาบ่าวไพร่รวมถึงโค่วป๋อไห่ที่นอนอยู่ในห้องหนังสือพากันตกใจตื่น เวลาไม่ถึงชั่วครู่มีแสงไฟสว่างไสวทั่วทุกที่ ทุกคนฝ่าลมฝนรุดมาที่นี่
เมื่อเห็นคนอื่นมาถึง สาวใช้ที่เข่าอ่อนทรุดลงกองกับพื้นตัวสั่นพับๆ เป็นเจ้าเข้า น้ำตาไหลอาบสองแก้มด้วยความตกใจกลัว ปากก็พูดตะโกนไม่หยุดว่า “ผี ผีสาวชุดสีขาว!” ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าดูน่าอนาถใจปานใด
โค่วป๋อไห่สาวเท้าก้าวใหญ่เข้ามา พูดด้วยสีหน้าปึ่งชา “ยังไม่พยุงนายหญิงไปที่เตียงอีก”
พวกบ่าวไพร่ช่วยกันคนละไม้คนละมือยกตัวเหมาซื่อที่สลบไสลไม่ได้สติขึ้นไปบนเตียง
เขาไต่ถามสาวใช้สองคนด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เรื่องมันเป็นอย่างไรกันแน่”
สองสาวใช้พร้อมใจกันชี้ไปที่หน้าต่างซึ่งเปิดอ้าอยู่ “นอกหน้าต่างมีผี เป็นผีสาวชุดสีขาว”
โค่วป๋อไห่ก้าวปราดๆ ไปที่ข้างหน้าต่าง
เวลานี้ฝนตกลงมาแล้ว ลมหอบละอองฝนลอยมาปะทะใบหน้า ผ้าไหมสีขาวที่ผูกไว้ตรงกรอบหน้าต่างปลิวไหวๆ ตามแรงลมสะดุดตาเป็นพิเศษ
เขาปลดผ้าสีขาวออก ชะโงกศีรษะมองออกไป แต่นอกหน้าต่างไม่มีใครสักคน
“ไปดูข้างนอกว่ามีร่องรอยคนทิ้งไว้หรือไม่” โค่วป๋อไห่ออกคำสั่ง
อันว่าวิญญูชนไม่งมงายในเรื่องผีสางเทวดา เทียบกับเชื่อว่ามีผี เขาเชื่อว่ามีคนถ่อยเล่นพิเรนทร์มากกว่า
เขาก้มหน้าลงมองผ้าไหมสีขาว บนนั้นเป็นตัวอักษรเล็กๆ สีแดงเข้มบรรทัดหนึ่ง
‘ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ เรื่องที่ท่านกระทำไว้ ข้ามองดูอยู่นะ’
คำกล่าวที่ตรงไปตรงมามากเขียนด้วยตัวอักษรสีแดงเด่นบนผ้าไหมสีขาว กลับชวนให้หนาวยะเยือกจับจิตจับใจ
โค่วป๋อไห่ลอบตะลึงพรึงเพริด
เหตุไฉนลายมือดูคุ้นตาอยู่สักหน่อย
เขากำลังตื่นตระหนกเหลือหลาย พลันได้ยินเสียงร้องบอกอย่างยินดีของบ่าวไพร่ดังลอยมา “นายหญิงฟื้นแล้วเจ้าค่ะ”
โค่วป๋อไห่เดินลิ่วๆ เข้าไป
ใบหน้าของเหมาซื่อเผือดขาวละม้ายผ้าไหมสีขาวในมือเขา นางเห็นเขาเข้ามา นัยน์ตาเลื่อนลอยกลอกไปมา ริมฝีปากเผยอออก “ท่านพี่…”
“ฮูหยิน ไม่เป็นไรกระมัง” โค่วป๋อไห่ตบแขนเหมาซื่อเบาๆ
เหมาซื่อเหมือนเด็กน้อยได้รับความตกใจ เอาแต่ซุกตัวเข้าไปในอ้อมแขนของเขา “ท่านพี่ มีผี มีผีเจ้าค่ะ”
“ฮูหยินไม่ต้องกลัว เจ้าตาฝาดไป…”
เหมาซื่อกระตุกผ้าไหมสีขาวในมือโค่วป๋อไห่แย่งเอาไป “นี่คืออะไร”
พอกางออก ตัวอักษรเลือดบนนั้นเป็นดั่งสายฟ้าฟาดใส่เหมาซื่อ
นางนิ่งงันไปก่อนจะแผดเสียงร้องโหยหวน “ไปให้พ้น! อย่าตามหลอกหลอนข้าๆ”
เหมาซื่อยกมือกุมศีรษะจะวิ่งไปข้างนอก แต่โค่วป๋อไห่ช่วยยึดตัวนางไว้ “ฮูหยิน เจ้าไม่ต้องวิ่งหนี ไม่มีผีจริงๆ…”
ไม่ทันสิ้นเสียงเขา เหมาซื่อก็ตัวอ่อนล้มพับลง
“รีบเชิญท่านหมอมา”
ทั่วทั้งจวนเสนาบดีจุดไฟสว่างตลอดราตรี โคมไฟสีแดงที่แขวนใต้ชายคาถูกลมฝนพัดกวัดแกว่งไปมาไม่หยุด เปล่งแสงวับๆ แวมๆ ดุจดั่งความรู้สึกหวาดหวั่นว้าวุ่นใจของทุกคนในจวน
เหมาซื่อฟื้นขึ้นมาอีกครั้งก็สติฟั่นเฟือนไปแล้ว
ต่อหน้าเหล่าเจ้านายในจวนเสนาบดีและท่านหมอ เหมาซื่อพึมพำประโยคหนึ่งซ้ำๆ ไม่หยุด “ข้าไม่ได้จะเอาชีวิตเฉียวโม่ ข้าแค่อยากให้ร่างกายเขาไม่ดีถึงได้วางยาพิษ ขอร้องล่ะเจ้าอย่ามาตามหลอกหลอนข้า อย่ามาตามหลอกหลอนข้า…”
ถ้อยคำนี้ทำให้ทุกคนตะลึงงันกันหมด เสนาบดีโค่วมอบเงินค่าตรวจรักษาก้อนโตให้ท่านหมอเป็นการปิดปากด้วยความฉับไวเด็ดขาด จากนั้นมอบหมายให้คนย้ายตัวเหมาซื่อไปยังเรือนหลังที่เปลี่ยวไกลที่สุดในจวนทันที และอ้างเหตุผลน่าฟังกับคนภายนอกว่าเพื่อพักฟื้นอย่างสงบ
“เรื่องผีสาวชุดสีขาวที่เหมาซื่อกับพวกสาวใช้พูดถึงเมื่อคืน สืบได้เบาะแสอะไรแล้วหรือไม่” เสนาบดีโค่วเอ่ยถามโค่วป๋อไห่
เขาส่ายหน้า “ยังขอรับ ทั้งที่มีฝนตก แต่ด้านนอกกลับไม่เห็นแม้แต่รอยเท้าทิ้งไว้”
ทุกคนนิ่งเงียบไม่กล่าววาจา
โค่วป๋อไห่อดกล่าวขึ้นไม่ได้ “ท่านพ่อ จะมีผีจริงๆ หรือไม่…”
“เหลวไหล เจ้าก็เชื่อเรื่องพรรค์นี้ด้วยรึ”
โค่วป๋อไห่หยิบผ้าไหมสีขาวออกมา “ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านดูสิขอรับ นี่เป็นสิ่งที่ข้าพบตรงหน้าต่างตอนผีสาวปรากฏขึ้นเมื่อคืน เพราะข้าเห็นมันจึงไม่อาจคิดเป็นอื่น”
เสนาบดีโค่วยื่นมือรับตัวอักษรเลือดแถวหนึ่งบนนั้นมาดู สายตาเขานิ่งขึงไป
ฮูหยินผู้เฒ่าเซวียที่ใจคอหนักแน่นมั่นคงกวาดตามองแวบหนึ่งแล้วหน้าถอดสีด้วยความตกใจยกใหญ่ “นี่…นี่มัน…”
คำกล่าวนี้ดังขึ้น รอบห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ
หากบอกว่าผีสาวชุดสีขาวที่พวกเหมาซื่อเห็นอาจจะเป็นคนปลอมตัวได้ ทว่าลายมือที่เหมือนกับหลานสาวนอกตระกูลที่ตายไปแล้วนี้ทำขึ้นได้อย่างไร
ยิ่งขบคิดให้ลึกลงไป ในใจทุกคนก็ยิ่งหนาวสะท้าน
ฮูหยินผู้เฒ่าเซวียหลุบตาลงกล่าวเสียงเครือ “หลานสาวที่น่าสงสารของข้า! ไม่ว่าพูดอย่างไร เหมาซื่อกระทำเรื่องที่ไร้มโนสำนึกก็เป็นความจริง จิตใจนางทำด้วยอะไร ไฉนถึงทำร้ายโม่เอ๋อร์เช่นนี้ได้นะ!”
เสียงร้องอุทานดังมาจากด้านนอกกะทันหัน “พี่จื่อโม่ๆ พี่เป็นอะไรไป”
โค่วชิงหลันวิ่งน้ำตานองหน้าเข้ามา “พี่จื่อโม่หมดสติไปแล้วเจ้าค่ะ”
เพราะเหมาซื่อพูดจาพร่ำเพ้ออย่างเสียสติออกมาต่อหน้าทุกคน พวกนางย่อมได้ยินเป็นธรรมดา
ขณะพวกผู้อาวุโสหารือเรื่องของมารดากันในเรือน พวกผู้เยาว์ทั้งสามจะอยู่ฟังก็ไม่เหมาะ ได้แต่รออยู่ข้างนอกเงียบๆ อย่างทุรนทุรายใจเหมือนโดนลงทัณฑ์อยู่ก็ไม่ปาน
แต่ต่อให้ไม่ได้ยินคำสนทนาของผู้อาวุโส ทั้งสามคนต่างรู้ว่าถึงรักษามารดาให้หายจากอาการวิกลจริตได้ ชีวิตของนางก็จบสิ้นแล้ว
สาวใช้ที่รู้วิธีรักษาโรครีบกดจุดเหรินจงของโค่วจื่อโม่ หลังชุลมุนกันพักหนึ่ง นางค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา กล่าวปนสะอื้นว่า “จื่อโม่อกตัญญู ทำให้ท่านปู่ ท่านย่า และท่านพ่อต้องเป็นห่วง”
ฮูหยินผู้เฒ่าเซวียบอกให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปแล้วถอนใจเฮือกหนึ่ง จากนั้นพูดเตือนใจด้วยความปรารถนาดี “จื่อโม่ ชิงหลัน ตอนนั้นหลังจากท่านแม่พวกเจ้าให้กำเนิดเทียนอวี่ ร่างกายไม่ใคร่แข็งแรงมาโดยตลอด พวกเจ้านั้นนับได้ว่าเป็นข้าเลี้ยงดูอบรมมาจนเติบใหญ่ พวกเจ้าลืมคำที่ท่านย่าเคยสอนสั่งไปหมดแล้วหรือ เส้นทางชีวิตของคนเรามิได้ราบเรียบไปตลอด มันจะมีหลุมบ่อมากมายคอยขัดขวางให้พวกเจ้าสะดุดหกล้มจนลุกไม่ขึ้นอีก ดังนั้นเมื่อพวกเจ้าประสบปัญหา สิ่งแรกที่ต้องทำคือควบคุมสติของตนเองไว้ให้ได้ ท่านแม่ของพวกเจ้าทำผิดไปแล้ว บัดนี้ถือว่าได้รับกรรมตามสนอง แต่กระนั้นพวกเจ้าจะไม่ก้าวต่อไปตามเส้นทางชีวิตของตนเพราะเหตุนี้ไม่ได้ พวกเจ้าเห็นว่าใช่หรือไม่”
“ใช่เจ้าค่ะ”/ “ใช่ขอรับ”
พวกผู้เยาว์ก้มหน้าลงพร้อมกัน
“เอาล่ะ ในเมื่อกระจ่างแจ้งแล้ว พวกเจ้าออกไปให้หมดเถอะ”
เมื่อบอกให้ผู้เยาว์ออกไปแล้ว เสนาบดีโค่วเพ่งมองผ้าไหมสีขาวผืนนั้นพลางกล่าวเสียงขรึม “ไปสืบว่ายาพิษที่เหมาซื่อใช้ทำร้ายโม่เอ๋อร์มีที่มาอย่างไร!”