หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 248
บทที่ 248
หลังเขากลับเมืองหลวง ได้รู้เรื่องราวบางอย่างของภรรยาที่จากไป
เฉียวซื่อเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่ในจวนจิ้งอันโหวแทบไม่ย่างเท้าออกนอกประตู ขณะที่คุณหนูหลีเป็นเด็กสาววัยสิบกว่าปีผู้หนึ่ง ตระกูลของนางไม่ได้อยู่แวดวงของชนชั้นสูง แล้วจะได้เจอเฉียวซื่อจากหนทางใดกันแน่
คำบอกว่า ‘อยู่ในเมืองหลวงเหมือนกัน’ พรรค์นี้ก็แค่โกหกเฉินกวง สมัยเป็นเด็กหนุ่ม เขาเคยอยากพานพบกับว่าที่ภรรยาที่หมั้นหมายกันแต่วัยเยาว์ ‘โดยบังเอิญ’ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ก็ยังทำไม่สำเร็จเลย
“เชิญคุณหนูหลีมาที่นี่เถอะ” เพราะข้อแคลงใจนี้ เซ่าหมิงยวนเกิดความคิดอยากพบเฉียวเจาขึ้นมาอีกคราจนแทบทนรอไม่ไหวทันที
เฉียวเจายังไม่รู้ว่าตนเองโดนสงสัยแล้ว นางพาปิงลวี่มาที่หอชุนเฟิงด้วยอารมณ์เบิกบานใจ
“แม่ทัพเซ่า” เด็กสาวหยักยิ้มพริ้มพรายน้อยๆ ไม่เหลือท่าทางคับข้องหมองใจเช่นเมื่อหลายวันก่อนให้เห็นสักกระผีก
เซ่าหมิงยวนพลันปวดเศียรเวียนเกล้า
คำถามต่อจากนี้เขาไม่ถามไม่ได้ แต่เขาควรจะตรงไปตรงมาหรือว่าอ้อมค้อมสักนิดกันแน่
“แม่ทัพเซ่ามีเรื่องอยากถามข้าใช่หรือไม่เจ้าคะ” แม่นางเฉียวถามอย่างเข้าอกเข้าใจผู้อื่น
เฉินกวงเป็นคนที่ซื้อใจได้ยาก เขาต้องบอกให้เซ่าหมิงยวนรู้เรื่องที่นางสั่งให้เขาทำอย่างละเอียดแล้วเป็นแน่
อืม การกระทำที่น่าตะลึงพรึงเพริดของข้าคงจะทำให้คนตรงหน้าตกใจแล้วกระมัง
เขาคงรู้สึกว่าข้าโหดเหี้ยมอำมหิตใช่หรือไม่
ยามความคิดนี้ผุดขึ้นในหัว เฉียวเจาเม้มปากเข้าหากัน
เขาจะคิดอย่างไรก็ช่าง ข้าไม่ใส่ใจหรอกนะ!
ได้ยินเฉียวเจาถามคำนี้ เซ่าหมิงยวนระบายลมหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะเผยรอยยิ้มที่ตนคิดว่าสุภาพนุ่มนวล “ข้าได้ยินเฉินกวงบอกว่าคุณหนูหลีวาดภาพไว้ภาพหนึ่ง เป็นฮูหยินที่ล่วงลับไปของข้า”
เขาไม่ได้ถามเรื่องที่นางบีบคั้นเหมาซื่อจนเป็นบ้า กลับถามถึงสิ่งนี้หรือ
เฉียวเจาอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นพยักหน้า “อื้อ”
“คุณหนูหลีรู้จักฮูหยินของข้าได้อย่างไร” ดวงตาของเซ่าหมิงยวนมองสบตากับเฉียวเจาอย่างค้นหา
“อยู่ในเมืองหลวงเหมือนกัน ย่อมเคยเจอกันสิเจ้าคะ” เฉียวเจาตอบตามสบาย
เซ่าหมิงยวนไม่ได้อยู่เมืองหลวงมานาน เขาน่าจะจับพิรุธจากเหตุผลนี้ไม่ได้
“เจอกันได้อย่างไรหรือ” เซ่าหมิงยวนถามต่อ
เฉียวเจาหรี่ตาลง ไฉนคนผู้นี้ต้องซักไซ้ไล่เลียงด้วยนะ
“คุณหนูหลีกับฮูหยินของข้าไม่ได้อยู่ในแวดวงเดียวกัน อีกอย่างพวกท่านคนหนึ่งเป็นเด็กสาว คนหนึ่งเป็นสตรีออกเรือนแล้ว ต่อให้อยู่ในแวดวงเดียวกันก็น้อยนักที่จะมีโอกาสพบปะวิสาสะกัน”
สตรีออกเรือนแล้ว!
เฉียวเจาได้ยินคำนี้แล้วหน้าร้อนผ่าวๆ อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย นางเหลือบตามองค้อนเขาวงหนึ่ง
นางเป็น ‘สตรีออกเรือน’ แต่ในนามอย่างสูญเปล่าโดยแท้ พบหน้ากับสามีครั้งแรกก็ถูกเจ้าคนเบื้องหน้าสายตาผู้นี้ยิงธนูฆ่าตายในดอกเดียว!
เซ่าหมิงยวนถูกนางมองค้อนก็ชักหายใจไม่ทั่วท้อง และกระอักกระอ่วนอยู่บ้างอย่างปราศจากสาเหตุ
“แม่ทัพเซ่าสงสัยข้าหรือ” เฉียวเจาทำหน้าตึงพลางเอ่ยถาม
“เอ่อ…” เซ่าหมิงยวนตอบไม่ออก
เขาแสดงออกชัดเจนว่าสงสัยนาง แต่เรื่องที่เห็นทนโท่เช่นนี้ ถามออกมาแล้วจะให้ตอบเช่นไรเล่า
ถ้าเขาบอกว่าสงสัย แม่นางน้อยผู้นี้จะร้องไห้ให้เขาดูอีกใช่หรือไม่
แต่ไม่ถามต่อ ใจเขาก็ปล่อยเรื่องนี้ให้ผ่านไปไม่ได้
“ข้าเห็นว่าเป็นไปไม่ได้ที่ท่านกับฮูหยินของข้าเคยเจอกัน”
“ดังนั้นแม่ทัพเซ่าเห็นว่าข้าพูดเท็จอยู่?”
เซ่าหมิงยวนตัดสินใจหุบปากอย่างเด็ดขาด
“แม้ว่าแวดวงสมาคมของข้ากับฮูหยินของแม่ทัพเซ่าไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกัน แต่อยู่ในเมืองหลวงเหมือนกันจะพบกันโดยบังเอิญก็มิใช่เรื่องน่าแปลกประหลาดกระมัง”
เซ่าหมิงยวนฝืนทนแรงกดดันที่จะเป็นต้นเหตุให้เด็กสาวร่ำไห้เป็นคำรบที่สองพูดเปิดโปงนาง “ไม่มีทางบังเอิญ ในวัยเด็กฮูหยินของข้าอยู่เมืองหลวงนับครั้งได้ หลังแต่งเข้าจวนจิ้งอันโหวก็เก็บตัวแทบไม่ออกไปที่ใด อย่างไรก็ดีต่อให้คุณหนูหลีกับฮูหยินข้าเจอกันโดยบังเอิญ สำหรับคุณหนูหลีแล้ว ฮูหยินข้ามิใช่คนพิเศษอะไร เหตุใดยังวาดภาพของนางออกมาได้เหมือนตัวจริงหลังผ่านมานานถึงเพียงนี้ได้”
ในฐานะขุนพลที่สู้รบโรมรันกับชาวต๋าจื่อมานาน คนที่เชื่อเรื่อง ‘บังเอิญ’ พรรค์นี้ส่วนใหญ่ล้วนอยู่ในสุสานที่หญ้าขึ้นสูงแล้ว
เฉียวเจาเลิกคิ้วสูง คนผู้นี้จะเฉียบแหลมถึงเพียงนี้ไปเพื่ออันใด
เดิมทีนางไม่ตั้งใจคิดเล็กคิดน้อย แต่เห็นท่าทางมั่นอกมั่นใจของอีกฝ่าย แม่นางเฉียวบังเกิดความรู้สึกต่อต้านขึ้นมา นางกล่าวด้วยรอยยิ้มละไม “ใครบอกว่าไม่ได้เจ้าคะ รบกวนแม่ทัพเซ่าให้คนหยิบพู่กันกับหมึกมาด้วย”
เซ่าหมิงยวนนึกสนใจใคร่รู้ สั่งคนไปหยิบหมึก พู่กัน แท่นฝนหมึก และกระดาษมา
“หอชุนเฟิงมีคนมาก สมควรมีคนที่ข้าไม่เคยพบเจอมาก่อน แม่ทัพเซ่าเชิญมาสักคนให้ข้าได้เห็นหน้าสักหน่อยสิเจ้าคะ”
“เฉินกวง ไปเรียกมา”
ไม่นานนัก ชายหนุ่มรูปโฉมดาษดื่นที่จับโยนไปกลางกลุ่มคนก็มองไม่เห็นแล้วผู้หนึ่งวิ่งเข้ามา “คารวะท่านแม่ทัพขอรับ”
เฉียวเจากวาดตามองแวบเดียว กล่าวเสียงเอื่อยๆ “ให้เขาออกไปได้แล้วเจ้าค่ะ”
“ออกไปเถอะ” เซ่าหมิงยวนสนใจใคร่รู้ยิ่งขึ้น
เห็นเด็กสาวปูผ้ารองบนโต๊ะหินก่อนด้วยอากัปกิริยางามสง่า ค่อยวางกระดาษเซวียนจื่อ ถือพู่กันหันมามองเขา “เชิญแม่ทัพเซ่าฝนหมึกได้หรือไม่เจ้าคะ”
“อ้อ ได้สิ”
เฉียวเจาหลับตาทำสมาธิครู่หนึ่งจนจิตใจอยู่ในความสงบแล้วลืมตาขึ้น เอาพู่กันจุ่มหมึกจนชุ่มตวัดไปบนกระดาษอย่างเป็นอิสระตามใจนึก
ภาพเครื่องประดับศีรษะของชายหนุ่มปรากฏขึ้นใต้พู่กันของนางอย่างว่องไว จากนั้นเป็นโครงหน้าของคนผู้หนึ่งที่เผยออกมาเป็นรูปร่างช้าๆ ตามการเคลื่อนไหวของปลายพู่กัน
ไม่ว่าคนวาดภาพหรือผู้ชมดูอยู่ ยามจดจ่อสมาธิที่เรื่องเรื่องหนึ่ง เวลาจะล่วงผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เซ่าหมิงยวนไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว เฉียวเจาก็วางพู่กันลงเอ่ยถามอย่างยิ้มย่อง “แม่ทัพเซ่าเห็นเป็นเช่นไรเจ้าคะ”
แววตาของนางกระจ่างใสแฝงรอยคึกคะนองฮึกเหิมเฉกสาวน้อยจางๆ อย่างหาได้ยาก
นางไม่ได้ไว้ผมม้า แต่อวดหน้าผากโหนกนูนเนียนเกลี้ยง บนนั้นมีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดซึมประหนึ่งหยาดน้ำค้างยามเช้า
ชายหนุ่มรู้สึกใจสั่นวูบหนึ่งกะทันหัน เขารีบเบนสายตาออกแล้วพูดชมจากใจจริง “คล้ายอย่างที่สุด”
“ดังนั้นถ้อยคำของแม่ทัพเซ่าเมื่อครู่นี้ไม่ถูกต้องเสมอไปเจ้าค่ะ เรื่องที่คนอื่นเห็นแล้วลืมจึงทำไม่ได้ แต่ข้าทำได้”
เซ่าหมิงยวนพลันนึกขันอยู่สักหน่อย
เมื่อก่อนเขาถึงกับมองไม่ออกว่าคุณหนูหลีเป็นคนที่ชอบเอาชนะคะคานเช่นนี้ เผอิญว่ายังทำให้ผู้อื่นอับจนวาจาด้วย
“อื้อ ข้าผิดเอง ข้ามองข้ามไปว่าในแผ่นดินนี้ยังมีคนส่วนน้อยที่ได้รับความเมตตาจากสวรรค์โดยเฉพาะ”
คนบางคนเกิดมามีพรสวรรค์ที่คนธรรมดาพยายามอย่างไรก็ไล่ตามไม่ทัน ในสายตาคนใต้หล้าเขาอาจจะจัดอยู่ในประเภทนี้เหมือนกัน
กระนั้นวิธีของคุณหนูหลีกลับทำให้เขามั่นใจยิ่งขึ้นว่าตนเองคิดไม่ผิด แต่ขืนไล่เลียงคาดคั้นอีกในเวลานี้ เกรงว่านางจะโกรธเคืองแล้วจริงๆ
เซ่าหมิงยวนมิได้ถามต่ออย่างหัวไว เขากล่าวยิ้มๆ “คุณหนูหลีจะไปเยี่ยมคุณชายเฉียวมิใช่หรือ ไปกันเถอะ”
ทั้งสองมุ่งหน้าไปจวนกวนจวินโหวพร้อมกัน
จวนหลังนี้ใหญ่โตมาก แต่แทบไม่เห็นวี่แววของบ่าวไพร่ กลับมีคนที่แต่งกายแบบองครักษ์ผ่านไปผ่านมาเป็นครั้งคราว พอเห็นเขากับนางก็จะแสดงคำนับอย่างสุภาพเรียบร้อย
เฉียวเจารับรู้ได้ว่าสายตาขององครักษ์พวกนั้นหยุดนิ่งอยู่ที่ตนเองนานกว่าบ้างอย่างไร้สาเหตุ นางแสร้งทำไม่รู้ไม่ชี้เดินตามเซ่าหมิงยวนไปทางด้านในพลางถามไถ่ “พี่เฉียวเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
“เวลาส่วนใหญ่ยังนอนไม่ได้สติ” เซ่าหมิงยวนเพ่งสายตามองนางครู่หนึ่ง “คุณหนูหลีรู้วิชาแพทย์กระมัง”
ตอนแรกเขาขบไม่แตกว่าเด็กสาวอายุน้อยเท่านี้ใช้เข็มเงินไม่กี่เล่มก็รักษาบุตรชายคนเล็กของฉางชุนป๋อให้หายจากอาการปัญญาอ่อนได้เช่นไร แต่พอเห็นความสามารถผ่านตาไม่ลืมของนางในวันนี้ ถึงไม่อาจไม่ยอมรับว่าบางครั้งตนไม่กล้าคิด มิได้หมายความว่าคนอื่นทำไม่ได้
“รู้เพียงเล็กน้อยเท่านั้นเจ้าค่ะ ก่อนท่านหมอเทวดาหลี่ไปจากเมืองหลวง ได้มอบตำราแพทย์ที่ท่านเก็บรวบรวมมาตลอดชีวิตให้ข้าไว้”
“วันนี้คุณหนูหลีมาเพื่อรักษาพี่ชายของภรรยาข้ากระมัง”
เหมาซื่อฟั่นเฟือนไปแล้ว พี่ใหญ่ก็ควรหายดีเสียที
เฉียวเจาสบตากับเขาแล้วอดเม้มปากไม่ได้
บุรุษที่ฉลาดเกินไป ไม่น่ารักแม้สักนิดจริงๆ!