หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 253
บทที่ 253
“สารอะไร” เซ่าหมิงยวนลุกขึ้นยืน
สายตาของฉือชั่นหยุดอยู่ที่ซองสารแล้วพลันประจักษ์ถึงอะไรบางอย่างได้ เขาปิดกล่องไม้แดงกะทันหัน พูดด้วยรอยยิ้มฝืดๆ “ไม่มีอะไร มีแต่ของไม่น่าสนใจ มาๆ พวกเราดื่มสุราต่อ”
เซ่าหมิงยวนมุ่นคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์
เจ้าคนผู้นี้พูดอะไรกัน
เขาเดินไปยื่นมือจะหยิบกล่องไม้แดงมา
ฉือชั่นถือกล่องไม้แดงในมือหนึ่งถอยหลังหลบ ทว่าเขารู้แก่ใจดีว่าคงหลบไม่พ้น จึงชูมือขึ้นขว้างกล่องออกไป “หยางเอ้อร์ รับไว้!”
หยางโฮ่วเฉิงยื่นมือออกไปตามสัญชาตญาณ
เซ่าหมิงยวนกระโจนกายขึ้นคว้ามันไว้ในมือชั่วพริบตา
หยางโฮ่วเฉิงผายสองมือออกด้านข้าง “สือซี เจ้ารู้อยู่ว่าให้ข้าประลองยุทธ์กับถิงเฉวียนก็เหมือนกับให้ข้าดวลหมากกับจื่อเจ๋อ และประชันความหล่อเหลากับเจ้า ช่างทำให้ข้าลำบากใจโดยแท้”
ฉือชั่นไม่ต่อปากต่อคำกับเขาอย่างผิดปกติ เพียงมองเซ่าหมิงยวนด้วยสีหน้านิ่งเรียบดุจผิวน้ำ
ทุกคนต่างสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากล สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่ตัวแม่ทัพหนุ่ม พาให้บรรยากาศเริ่มตึงเครียดขึ้นชอบกล
เขาก้มหน้าลงเปิดกล่องไม้แดง
ฉือชั่นทำท่าอ้ำๆ อึ้งๆ แล้วถอนใจยาวเหยียดเฮือกหนึ่ง
สายตาของเซ่าหมิงยวนปะทะกับสารเต็มกล่อง เรียงซ้อนกันซองแล้วซองเล่า บางซองเป็นสีเหลืองซีด บางซองโดนมอดกิน เผยให้เห็นกระดาษสารเนื้อหยาบกับตัวอักษรเลือนรางข้างใน
แดนเหนือมีสภาพทุรกันดาร และตกอยู่ท่ามกลางไฟสงครามเป็นเวลายาวนาน ส่งผลให้ขาดแคลนข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ต่อให้ร่ำรวยมีเงินทอง แต่สิ่งของที่ใช้กันเป็นปกติในตระกูลเศรษฐีของเมืองหลวงมากมายหลายอย่างล้วนซื้อหาไม่ได้
เป็นต้นว่าซองสารราคาแพงลิบพวกนั้น
เซ่าหมิงยวนหยิบสารฉบับหนึ่งขึ้นมาลูบไล้กระดาษเนื้อหยาบอย่างห้ามใจไม่อยู่
นี่เป็นสารที่เขาเขียน
เป็นสารที่เขาเขียนถึงเฉียวซื่อภรรยาของตนด้วยความรู้สึกผิดและวาดหวังรอคอยตลอดสองปีหลังจากแต่งงานกัน
แต่ขณะนี้สารพวกนี้ถูกเก็บกักไว้ในกล่องไม้แดงเล็กๆ ใบนี้ทั้งหมด และมารดาส่งมาให้ในวันที่เขาย้ายเรือน
ถึงตอนนี้แล้วยังมีอะไรที่เขาไม่เข้าใจอีก
ที่แท้สารที่เขาเขียนกับมือทุกๆ ตัวอักษรที่แดนเหนือในช่วงศึกสงครามเหล่านี้ เฉียวซื่อภรรยาของเขาไม่เคยได้รับเลย
เขานึกว่านางตัดพ้อเขามาโดยตลอด ตัดพ้อที่เขาไม่ได้ทำหน้าที่ของสามี ไม่เคยอยู่เคียงข้างนาง ฉะนั้นถึงไม่เขียนสารตอบสักคำ
จวบจนวันนี้เขาเพิ่งรู้ว่านางไม่เคยได้รับสารของเขา
เช่นนั้นตอนพบเขาครั้งแรก นางถูกชาวต๋าจื่อผลักออกไปยืนบนกำแพงเมืองเยี่ยน ในใจคิดอะไรอยู่
ใช่หรือไม่ว่า…โกรธแค้นเขาเหลือเกิน
ใบหน้าของเซ่าหมิงยวนเผือดลงเรื่อยๆ จนซีดขาวราวหิมะ
“ถิงเฉวียน พวกนี้คืออะไรหรือ” บรรยากาศชวนให้อึดอัดยิ่ง เงียบงันจนแทบได้ยินเสียงเข็มตก หยางโฮ่วเฉิงทนไม่ไหวแล้วจริงๆ เขาอ้าปากถามขึ้นท่ามกลางแรงกดดันแปลกๆ รอบด้าน
เซ่าหมิงยวนอ้าปาก กลับพบว่าลำคอฝืดเคืองจนเปล่งเสียงพูดไม่ออก
มีอะไรน่าเสียใจนักหนา ท่านแม่ปฏิบัติต่อเขาเช่นไร น่าจะเห็นได้ชัดแจ้งมานานแล้ว
“คือ…” เซ่าหมิงยวนฝืนอ้าปากออก เลือดลมพลันปั่นป่วนระลอกหนึ่ง พารสหวานปนคาวพุ่งขึ้นจากลำคอ
“ข้าออกไปครู่หนึ่ง” เขากล่าวคำนี้ทิ้งท้ายไว้ห้วนๆ แล้วปิดปากแน่น สาวเท้าก้าวยาวๆ ออกไปข้างนอก
“ถิงเฉวียน…” หยางโฮ่วเฉิงกับคนอื่นไล่ตามไปอย่างไม่วางใจ
เพิ่งออกนอกประตูห้อง อากาศร้อนอบอ้าวพุ่งมาปะทะใบหน้า คนเด็ดเดี่ยวเข้มแข็งเฉกเซ่าหมิงยวนยังคงอ้าปากกระอักเลือดอุ่นจัดออกมาคำหนึ่งอย่างกลั้นไม่อยู่
โลหิตสีแดงฉานที่ไหลเปรอะบันไดศิลาเขียวสะดุดตาเป็นพิเศษ
“ท่านแม่ทัพ!” สีหน้าขององครักษ์ที่ตั้งวงดื่มสุรากันอยู่ในลานเรือนแปรเปลี่ยนไปกะทันหัน พวกเขาลุกพรึบวิ่งกรูกันเข้าไป
เซ่าหมิงยวนยกมือห้าม “ดื่มสุราของพวกเจ้าไป!”
กวนจวินโหวผู้สุภาพนุ่มนวลดุจคุณชายสูงศักดิ์ในสายตาคนทั่วหล้า ยามอยู่เบื้องหน้าบรรดานักรบกลับตรงไปตรงมาและแข็งกระด้าง
ชีวิตดุจเลียโลหิตบนคมดาบที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมานานหลายปีในแดนเหนือบ่มเพาะนิสัยแกร่งกร้าวห้าวหาญให้แก่บุรุษเหล่านี้
สำหรับพวกเขา คำพูดของท่านแม่ทัพคือประกาศิต ทุกคนกลับไปนั่งดื่มสุราเงียบๆ ดังเดิม แต่ชั่วเสี้ยวเวลานี้ชายหนุ่มที่หลั่งเลือดไม่หลั่งน้ำตาเหล่านี้กลับปล่อยน้ำตาร่วงหล่นใส่จอกสุราอย่างปราศจากสุ้มเสียง
สุราร้อนแรงกับน้ำตารสปร่าผสมปนเปกันไหลล่วงผ่านลำคอ ทำให้ทุกคนล้วนอยากหยิบดาบขึ้นฟาดฟันใส่เรื่องที่ทำให้พวกตนเป็นเดือดเป็นแค้นพวกนั้นให้แหลกลาญเป็นเถ้าธุลี
“ถิงเฉวียน เจ้า…” พวกหยางโฮ่วเฉิงที่ไล่ตามออกมาพากันหน้าเปลี่ยนสีไปถนัดตา
“น้องรอง เจ้าเป็นอะไรไป”
ฉือชั่นหันขวับไปมองเซ่าจิ่งยวน
เขารู้สึกแปลกๆ ชอบกลอยู่บ้าง “เหตุใดคุณชายฉือมองข้าเช่นนี้”
“มอง?” ฉือชั่นเลิกคิ้วขึ้น สองแก้มของเขาแดงระเรื่อเพราะดื่มสุรา งามชวนพิศเสียจนทำให้คนลืมเลือนความเป็นชายหญิงได้
เซ่าจิ่งยวนนิ่งงันไปอึดใจหนึ่ง
ฉือชั่นเหวี่ยงกำปั้นใส่เขาสุดแรงพร้อมกับพูดลอดไรฟัน “ข้ายังจะชกเจ้าด้วย”
ขณะหมัดกระแทกเข้าที่สันจมูกของเซ่าจิ่งยวน เลือดก็พุ่งกระเซ็นสี่ทิศทันที
แต่ฉือชั่นยังไม่คลายโทสะ เงื้อหมัดปรี่เข้าใส่อีก
“คุณชายฉือ นี่ท่านจะทำอะไร!” เซ่าจิ่งยวนตื่นตกใจแกมขุ่นเคือง เขาอดถอยกรูดๆ ไม่ได้ ทว่าสุดท้ายก็ต่อยตีกันอุตลุด
ตั้งแต่เกิดมาเซ่าจิ่งยวนก็คือซื่อจื่อของจิ้งอันโหว ในวัยเยาว์เสิ่นซื่อฮูหยินของจิ้งอันโหวโกรธเกลียดที่สามีไปออกรบเป็นนิจ ทำให้ต้องแยกจากกันมากกว่าได้อยู่พร้อมหน้ากัน นางไม่ปรารถนาให้บุตรชายเจริญรอยตามเส้นทางนี้ จึงจ้างอาจารย์หลายคนมาสอนสี่ตำราห้าคัมภีร์* ให้เขา
กล่าวได้ว่าเซ่าจิ่งยวนได้รับการอบรมบ่มเพาะตามแบบฉบับของคุณชายตระกูลดังในเมืองหลวง มีทักษะดีดพิณ เดินหมาก คัดอักษร และวาดภาพดีพอสมควร ด้านโคลงฉันท์กาพย์กลอนยิ่งมิต้องเอ่ยถึง กระนั้นถ้าว่ากันถึงฝีมือเชิงยุทธ์ อย่าว่าแต่หยางโฮ่วเฉิงเลย กระทั่งฉือชั่นยังเทียบไม่ติด
ในเวลาที่ทั้งสองต่อสู้กันอยู่นี้ เซ่าจิ่งยวนแทบจะโดนฉือชั่นบดขยี้หมดทุกทาง
“พวกเจ้าเลิกตีกันได้แล้ว มีอะไรก็พูดกันดีๆ พูดกันดีเถอะ” หยางโฮ่วเฉิงพุ่งเข้าไปห้าม เขายึดมือของเซ่าจิ่งยวนไว้แน่น
เซ่าจิ่งยวนโมโหเจียนตาย เขาใกล้จะโดนเจ้าบัดซบแซ่ฉือตีตายรอมร่อ ยังมีพวกทำทีห้ามทัพแต่กลับขัดแข้งขัดขาเขาไว้อีกคน!
“น้องสาม…” ซื่อจื่อของจิ้งอันโหวที่หน้าบวมตาปูดร้องเรียกเสียงอ่อนระโหยโรยแรง
เซ่าซียวนเพิ่งได้สติเหมือนตื่นจากฝันในตอนนี้ เขาก้าวเท้าวิ่งตะบึงไปตรงหน้าเซ่าหมิงยวน “พี่รอง เพราะอะไรท่านถึงกระอักเลือด”
เซ่าจิ่งยวนงงงัน “…”
ปกติน้องสามมักขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความเกลียดชังเจ้ารองมิใช่หรือ เรื่องกระอักเลือดประเดี๋ยวค่อยถามได้หรือไม่ ขืนไม่ช่วยข้าอีก ข้าต้องโดนตีตายแล้วจริงๆ
มีพรรคพวกอย่างหยางโฮ่วเฉิงช่วยยึดตัวฝ่ายตรงข้ามไว้ คุณชายฉือยิ่งสู้ยิ่งฮึกเหิม
จูเยี่ยนเห็นว่าต่อยตีกันพอสมควรแล้ว เขาจึงตะเบ็งเสียงกล่าว “หยุดวิวาทได้แล้ว! ดูถิงเฉวียนก่อนว่าเป็นอย่างไรจะดีกว่า”
หยุดแต่พอสมควร ตีคนตายไปก็จะไม่ดี
“ใช่ๆ เลิกตีกันได้แล้ว ถิงเฉวียนสำคัญกว่า” หยางโฮ่วเฉิงเพิ่งห้ามฉือชั่นในตอนนี้
ฉือชั่นหยุดมืออย่างฮึดฮัด เขาถ่มน้ำลายลงพื้นคำหนึ่งก่อนจะพูดเสียงดุดัน “เซ่าจิ่งยวน จวนโหวของพวกเจ้าเป็นที่สกปรกโสมมเช่นใด ถิงเฉวียนไม่ยอมพูดมาก แต่อย่านึกว่าพวกข้าไม่แจ่มแจ้งนะ ข้าขอเตือนเจ้าไว้ วันหน้าถ้ายังกระทำเรื่องไร้คุณธรรมพรรค์นี้อีก ข้าเจอเจ้าเมื่อไรจะอัดเจ้าเมื่อนั้น”
ใบหน้าที่ยังนับว่าหล่อเหลาหมดจดของเซ่าจิ่งยวนบวมช้ำเป็นหัวสุกร เขาพูดเสียงอู้อี้ “คุณชายฉือ นี่ท่านหมายความว่าอะไร…จู่ๆ ข้าไปล่วงเกินท่านตรงใดกัน…”
“จู่ๆ?” ฉือชั่นแค่นหัวเราะเสียงหนึ่ง “เซ่าจิ่งยวน เจ้ากล้าสบถสาบานหรือไม่ว่าในใจเจ้าไม่รู้ว่าของขวัญที่มารดาหนังเหนียวน่าชังคนนั้นของเจ้ามอบให้ถิงเฉวียนไม่ได้ประสงค์ดีเลยสักน้อยนิด ส่วนเจ้าฉวยจังหวะรอหัวเราะเยาะในตอนที่ถิงเฉวียนกำลังเบิกบานใจอย่างหาได้ยาก ยังจะแสร้งทำรักใคร่ผูกพันตามประสาพี่น้องอะไรกัน”
เซ่าจิ่งยวนโดนฉือชั่นด่าทอจนนิ่งบื้อเป็นใบ้
เพลานี้เองมีเสียงร้องอุทานด้วยความตกใจของเซ่าซียวนดังขึ้น “พี่รอง! ท่านเป็นอะไรไป”
* สี่ตำราห้าคัมภีร์ เป็นตำรามาตรฐานและปรัชญานิพนธ์ของลัทธิขงจื่อ (ขงจื๊อ) นักปราชญ์ผู้เสนอแนวคิดในการปฏิบัติตนให้อยู่ในจารีตประเพณีและคุณธรรมอันดีงาม ตำราทั้งสี่ได้แก่ หลุนอวี่ ต้าเสวีย จงยง และเมิ่งจื่อ ใช้กำหนดเนื้อหาของการสอบเข้ารับราชการของจีนโบราณ คัมภีร์ทั้งห้า ได้แก่ ซือจิง ซั่งซู อี้จิง หลี่จี้ และชุนชิว