หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 255
บทที่ 255
“เจ้า…” ริมฝีปากของจิ้งอันโหวสั่นระริกจนกล่าวคำใดไม่ออก
เสิ่นซื่อแสดงความก้าวร้าวมากขึ้น “ท่านพูดสิ พูดออกมาสิ พูดไม่ออกแล้วกระมัง ฮ่าๆ ท่านนึกว่าข้าเป็นคนโง่งมใช่หรือไม่ แม่ลูกมีจิตสื่อถึงกันได้ เจ้ารองถูกท่านอุ้มไปหาหมอ พออุ้มกลับมาอีกที ข้าก็รู้ว่านั่นไม่ใช่เจ้ารองของข้าแล้ว!”
พอพูดถึงตรงนี้ เสิ่นซื่อฟุบหน้าลงบนพนักเก้าอี้ร่ำไห้สุดเสียง
ยามนั้นนางกำลังอยู่ไฟ เจ้ารองของนางเพิ่งคลอดออกมาไม่กี่วันก็ถูกอุ้มไปจากข้างกายนางเพราะสุขภาพไม่ดี
ไฉนพวกเขาถึงคิดว่านางซึ่งเป็นมารดาจะจดจำบุตรชายของตนไม่ได้
ต่อให้นางเห็นเพียงแวบเดียว ต่อให้เด็กทารกแรกเกิดล้วนหน้าตาคล้ายๆ กันไปหมดในสายตาคนทุกคน ทว่าในสายตาและหัวใจนาง เจ้ารองของนางไม่เหมือนผู้ใดในโลกนี้!
เสิ่นซื่อเกาะพนักเก้าอี้ร้องไห้เสียงดังอย่างเจ็บปวด
บ่าวไพร่ในห้องถูกไล่ออกไปแต่แรก เหลือแต่เสียงสะอื้นไห้ของเสิ่นซื่อดังสะท้อนก้องไปมา
นานสองนานกว่าเซ่าจิ่งยวนจะไต่ถามขึ้น “ท่านพ่อ…ที่ท่านแม่พูดเป็นความจริงหรือขอรับ”
จิ้งอันโหวมีสีหน้าไม่ดีอย่างยิ่ง เขาไม่ปริปากพูด
เสิ่นซื่อเงยหน้าแค่นหัวร่อ “ท่านโหวพูดไม่ออกแล้วหรือ ในเมื่อวันนี้พูดกันมาถึงขั้นนี้ ข้าจะขอถามท่านโหวสักหน่อยว่าท่านเอาเจ้ารองของข้าไปไว้ที่ใดกันแน่”
“เจ้ารอง…” จิ้งอันโหวอ้าปากอย่างยากลำบาก กลับพบว่าถ้อยคำหลังช่างยากจะเอื้อนเอ่ยออกมาปานนั้น
“ท่านพูดสิ พูดมา เพราะว่าจะเตรียมที่ทางให้เจ้ามารหัวขนนั่น ท่านถึงทำให้เจ้ารองของข้าตายไปใช่หรือไม่”
“เสิ่นซื่อ ต่อหน้าลูกๆ เจ้ากล่าววาจาอะไรส่งเดช” จิ้งอันโหวมองเสิ่นซื่ออย่างเหลือเชื่อ
หรือว่าตลอดที่ผ่านมา นางคิดเช่นนี้เสมอ?
เขากับนางเป็นสามีภรรยาที่ร่วมผูกผมกัน แม้ว่าตอนหนุ่มสาวจะมีเวลาอยู่ร่วมกันไม่มาก แต่ไม่เคยผิดพ้องหมองใจกัน ไฉนนางถึงคิดว่าเขาสามารถกระทำเรื่องที่เป็นการทำลายชีวิตบุตรชายของตนเองได้
“ข้าพูดจาส่งเดช? เช่นนั้นท่านบอกสิ เจ้ารองอยู่ที่ใด เจ้ารองของข้าหายไปที่ใด”
“เจ้ารองตายแล้ว” จิ้งอันโหวบอกออกมาในที่สุด
“เสิ่นซื่อ ตัวเจ้าเองไม่แจ่มแจ้งหรือ เจ้ารองคลอดออกมาก็ร่างกายไม่แข็งแรง หมอหลวงบอกแต่แรกแล้วว่าเลี้ยงไม่รอด เจ้ารองป่วยตายไปแล้ว”
“ข้าไม่เชื่อๆ ท่านทำให้เจ้ารองตายเพื่อมารหัวขนนั่น!” เสิ่นซื่อแผดเสียงตะโกนอย่างคุมสติไม่อยู่
จิ้งอันโหวเพียงรู้สึกเหนื่อยล้าสุดจะเปรียบ เขายกมือกุมหน้าผากพลางไต่ถามนาง “พวกเราเป็นสามีภรรยากันมานานหลายปีถึงเพียงนี้ เจ้าจะตราหน้าข้าว่าเป็นต้นเหตุทำให้ลูกในไส้ต้องตายให้ได้ถึงจะสบายใจใช่หรือไม่ ถ้าเป็นอย่างนี้ก็สุดแท้แต่ใจเจ้าเถอะ”
โรคภัยที่รุมเร้ามานานปีทำให้ร่างกายของจิ้งอันโหวผู้เคยกุมอำนาจการทหารในมืออ่อนแอประหนึ่งพวกบัณฑิต ใบหน้าขาวซีดอมเขียวยังฉายแววทอดอาลัยในเวลานี้ ดูไปแล้วชวนให้วาบลึกในอก
เสิ่นซื่อใจอ่อนลงหลายส่วน น้ำเสียงของนางแปรเปลี่ยนไป “เจ้ารองป่วยตายจริงๆ หรือ”
ในยามราตรีนับไม่ถ้วน นางพลิกกายกระสับกระส่ายข่มตานอนไม่หลับ คิดคำนึงว่าเป็นไปได้มากว่าบุตรที่อยู่ในอุทรสิบเดือนจนคลอดออกมาคงตายไปแต่แรก เพื่อให้มารหัวขนยึดครองศักดิ์ฐานะของเขาและได้ใช้ชีวิตสุขสบายแทนเขาแล้ว นางจึงชิงชังจนอกแทบแตก
ทว่าเมื่อความชิงชังเบาบางลง ลึกๆ ในใจนางยังมีความหวังอยู่รำไร
บางทีเจ้ารองของนางอาจยังไม่ตาย แค่ถูกบิดาใจร้ายของเขาคนนี้พาไปอยู่ที่อื่น
จิ้งอันโหวพยักหน้าช้าๆ “อื้อ เจ้ารองของพวกเราป่วยตายไปแล้ว เสิ่นซื่อ เจ้าเป็นมารดาของเจ้ารอง ส่วนข้าก็เป็นบิดาเขา หรือว่าข้าไม่อยากให้เจ้ารองมีชีวิตอยู่”
“ฮือๆๆ…” เสิ่นซื่อปิดหน้าร้องไห้อย่างชอกช้ำ
เซ่าจิ่งยวนกับเซ่าซียวนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงๆ
เซ่าซียวนยังพอทำเนา แต่เซ่าจิ่งยวนสิย่ำแย่เต็มที
ใบหน้าที่บวมปูดเป็นหัวสุกรของเขายังรอให้หมอใส่ยาให้อยู่ ตอนนี้ต้องรอไปถึงเมื่อไรกันแน่
สามคนพ่อลูกนิ่งเงียบไร้วาจา
เสิ่นซื่อร้องไห้จนสาแก่ใจแล้วเงยหน้าขวับมองไปทางสามี “ถ้าอย่างนั้นเซ่าหมิงยวนเล่า ข้าเก็บคำพูดนี้อยู่ในใจมายี่สิบเอ็ดปีแล้ว วันนี้ท่านโหวจะบอกข้าได้หรือไม่ว่าเขามาจากที่ใดกันแน่”
เซ่าจิ่งยวนกับเซ่าซียวนหันไปมองจิ้งอันโหวเป็นตาเดียวกัน
นั่นสิ ในเมื่อคนก็ตายไปแล้ว เช่นนั้นพี่น้องของพวกเขาในตอนนี้เป็นใครอีกเล่า
จิ้งอันโหวไม่เปล่งวาจา
“ท่านโหวพูดสิ”
จิ้งอันโหวเผยอปากทว่าตอบคำถามนี้ไม่ออก
เสิ่นซื่อคาดคั้นซ้ำๆ แต่จิ้งอันโหวไม่กล่าวคำใดอยู่จนแล้วจนรอด
“ข้าเข้าใจแล้ว มารหัวขนนั่นเป็นบุตรที่ท่านมีกับนางบำเรอ ถูกหรือไม่”
จิ้งอันโหวนิ่งขึงไป
“ท่านพูดสิ พูดออกมา!” เสิ่นซื่อเดือดดาลจัด นางยืดตัวตรงกล่าวว่า “พูดกันมาถึงขั้นนี้แล้ว ท่านโหวไม่ต้องปิดบังข้าอีกต่อไป วันนี้ถ้าท่านไม่พูดให้รู้เรื่อง ข้าจะเอาหัวชนกำแพงตายอยู่ตรงนี้! ท่านบอกข้ามา เขาเป็นบุตรที่ท่านมีกับนางจิ้งจอกข้างนอกใช่หรือไม่”
“ใช่” จิ้งอันโหวหลับตาลง เอ่ยตอบเสียงขรึม
เสิ่นซื่ออึ้งไป จากนั้นเริ่มไออย่างรุนแรง
“ท่านแม่…” เซ่าซียวนใจหายวาบ รีบเข้าไปประคองมารดา
เสิ่นซื่อไอไปร้องไห้ไป “ข้ารู้อยู่แล้ว! ไสหัวออกไป ข้าไม่อยากเห็นหน้าท่านอีก! ยังมีเจ้ามารหัวขนนั่นอีกคน จงรีบๆ ตายไปเสีย อย่ามากวนโทสะข้าเป็นการดีที่สุด”
“หุบปากนะ!” จิ้งอันโหวตวาดเสียงห้วน
เสิ่นซื่อเบิกตากว้างแทบถลน “ถึงเวลานี้แล้ว ท่านยังพูดได้เต็มปากเต็มคำอีกหรือ”
“เหตุใดข้าจะพูดเต็มปากเต็มคำไม่ได้ หลายปีมานี้ ในจวนโหวมีอนุหรือสาวใช้ห้องข้าง* สักคนหรือไม่ ไม่มีกระมัง ฮูหยินไปสืบถามได้เลยว่าตระกูลผู้สูงศักดิ์พวกนั้นมีเรือนใดบ้างไม่มีภรรยากับอนุเป็นโขยง ถึงเป็นพวกขุนนางฝ่ายบุ๋นมือสะอาดก็ตามที กระทั่งสกุลเฉียวที่โด่งดังทั่วหล้า พอฮูหยินของท่านผู้ตรวจการเฉียวเห็นว่าตนสูงวัยแล้วยังรับอนุให้สามีคนหนึ่งเลย ต่อให้ข้าเคยเลี้ยงนางบำเรอไว้ จะเป็นความผิดบาปชั่วช้าเกินอภัยอันใดด้วยหรือ”
จิ้งอันโหวย้อนถามกลับยาวเหยียดเป็นชุด ทำให้เสิ่นซื่อโมโหแทบลมจับ แต่เผอิญนางสุดปัญญาจะโต้กลับได้
ถูกต้อง ไยโลกนี้ช่างไม่ยุติธรรมต่อสตรีเฉกนั้น บุรุษรับอนุเป็นเรื่องถูกต้องชอบธรรม แต่เปลี่ยนเป็นสตรี ถึงมีฐานันดรสูงศักดิ์เช่นองค์หญิงใหญ่ฉางหรง ชุบเลี้ยงชายบำเรอไม่กี่คนก็โดนผู้อื่นติฉินนินทาลับหลัง
“ในเมื่อเปิดอกพูดกันแล้ว ข้าจะบอกกับฮูหยินอย่างชัดแจ้งว่าแม้หมิงยวนไม่ได้คลอดออกมาจากท้องเจ้า แต่ก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของข้า ตามขนบธรรมเนียม เขาเรียกขานเจ้าว่าท่านแม่จึงถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ฉะนั้นข้าไม่อยากได้ยินเรื่องความใจจืดใจดำพวกนั้นของเจ้าอีก แล้วก็…”
จิ้งอันโหวตวัดสายตามองบุตรชายสองคนปราดหนึ่งก่อนดึงสายตากลับมามองภรรยา “ข่าวลือเกี่ยวกับหมิงยวนที่แพร่ออกไปก่อนหน้านี้ก็แล้วกันไปเถอะ ข้าไม่เอาเรื่องกับความผิดที่ผ่านไปแล้ว ทว่าหลังจากนี้หากเรื่องที่หมิงยวนเป็นบุตรของนางบำเรอแพร่งพรายออกไป เช่นนั้นฮูหยินอย่าโทษว่าข้าไม่เห็นแก่ความเป็นสามีภรรยากันมาเนิ่นนาน กลับสกุลเดิมไปเสีย!”
“ท่านพ่อ!” เซ่าจิ่งยวนกับเซ่าซียวนตกใจยกใหญ่
จิ้งอันโหวกล่าวเน้นเสียงหนักทีละคำด้วยสีหน้าขุ่นมัว “พวกเจ้าสองคนจงจำไว้ด้วยว่าขอแค่มีข่าวเรื่องศักดิ์ฐานะของเจ้ารองกระเซ็นกระสายออกไป ข้าจะส่งมารดาของพวกเจ้ากลับสกุลเดิม”
เขากล่าวจบแล้วหมุนกายสาวเท้าก้าวยาวๆ ออกไป
เซ่าซียวนอดถามขึ้นไม่ได้ “ท่านพ่อ ท่านจะไปที่ใดขอรับ”
“ไปดูพี่รองของเจ้า!”
จิ้งอันโหวสะบัดแขนเสื้อออกไปแล้ว ฝ่ายเสิ่นซื่อโมโหระคนคับแค้นใจสุดจะกล่าว ลมหายใจติดขัดจนเป็นลมล้มพับไป
จวนจิ้งอันโหวชุลมุนวุ่นวายขึ้นกว่าเดิมในทันที
ด้านจวนกวนจวินโหวตกอยู่ในบรรยากาศตึงเครียดเช่นเดียวกัน
หยางโฮ่วเฉิงร้อนใจจะไปเชิญหมอหลวง แต่ฉือชั่นทัดทานไว้ “ไปเชิญหมอหลวงไม่ได้”
ตำแหน่งฐานะของเซ่าหมิงยวนนั้นสร้างแรงกระเพื่อมไหวได้ง่ายเกินไป ทันทีที่มีข่าวว่าเขากระอักเลือดหมดสติแพร่ออกไป เกรงว่าจะทำให้ขั้วอำนาจต่างๆ เกิดความคิดที่ไม่พึงมี
แม้แต่ทางฮ่องเต้ก็ยังเปลี่ยนท่าทีได้
“ไม่เชิญหมอหลวง? แล้วถิงเฉวียนจะทำอย่างไร”
* สาวใช้ห้องข้าง เป็นคำเรียกเมียบ่าวซึ่งไม่ได้รับการยกย่อง โดยมากรับไว้ก่อนรับอนุภรรยาหรือแต่งภรรยาเอก พักอยู่ในห้องด้านข้างที่ทะลุกับห้องนอนหลักของเจ้านาย เพื่อสะดวกในการปรนนิบัติตอนกลางคืน จึงเป็นที่มาของชื่อดังกล่าว