หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 257
บทที่ 257
พวกฉือชั่นกรูกันเข้ามา
“คุณหนูหลี ท่านรักษาโรคเป็นจริงๆ หรือ” หยางโฮ่วเฉิงถามอย่างอดใจรอไม่ไหว
เฉียวเจาพยักหน้าด้วยความรู้สึกสับสนปนเป
“เช่นนั้นถิงเฉวียนเป็นอะไรกันแน่”
“ในกายเขามีพิษไอเย็นมาโดยตลอด พอได้รับความสะเทือนใจจนเป็นเหตุให้เลือดลมตีกลับ พิษไอเย็นแทรกซึมเข้าสู่หัวใจ ฉะนั้นถึงกลายเป็นเช่นนี้เจ้าค่ะ” เฉียวเจากล่าวอธิบาย
“แล้วพิษไอเย็นขับออกได้หรือไม่” จูเยี่ยนถามขึ้นบ้าง
“ได้น่ะได้เจ้าค่ะ แต่ว่า…”
“จะมัวโยกโย้อยู่ด้วยเหตุใด ถิงเฉวียนเคยช่วยเจ้าหลายครั้งหลายหน หรือว่ายังจะตั้งข้อแม้อีก” ฉือชั่นไม่ใคร่สบอารมณ์ชอบกล
เฉียวเจามองเขาแวบหนึ่ง ค่อยกวาดตามองทุกคนรอบตัวถึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “มีเงื่อนไขข้อหนึ่งที่ข้าต้องพูดให้แจ่มแจ้งล่วงหน้า”
“เชิญคุณหนูหลีกล่าว” จูเยี่ยนตระหนักได้ว่าเรื่องมิได้ง่ายดายอย่างที่คิด เขาเอ่ยเสียงนุ่ม
“พิษไอเย็นในตัวแม่ทัพเซ่าน่าจะมีคนสองคนที่ขับออกได้ คนหนึ่งคือหมอเทวดาหลี่ อีกคนคือข้า” เฉียวเจากล่าวประโยคนี้อย่างขึงขัง ทุกคนฟังแล้วก็อึ้งงันไปตามๆ กัน
สายตาของเฉินกวงฉายแววเลื่อมใสเต็มเปี่ยม นางจะมีวิชาแพทย์จะอยู่ในชั้นใดอย่าเพิ่งไปสนใจ หากความมั่นใจในตนเองนี้ต้องไม่มีผู้ใดทาบเทียบได้
“ข้ากล่าวเช่นนี้ก็หวังให้พวกท่านกระจ่างแจ้งว่าที่ข้ามาถอนพิษไอเย็นให้แม่ทัพเซ่าเป็นทางเลือกเพียงหนึ่งเดียว ถ้ามีใครก็ตามสามารถทำแทนได้ ข้าไม่มีทางออกโรง”
ทุกคนยิ่งฟังยิ่งสับสน ไฉนฟังน้ำเสียงของคุณหนูหลีแล้วไม่อยากถอนพิษให้เซ่าหมิงยวนอย่างยิ่งเลยเล่า เซ่าหมิงยวนไม่น่าจะเคยล่วงเกินนางกระมัง
“ตอนนี้ข้าต้องการลูกมือคนหนึ่ง ส่วนคนอื่นๆ ห้ามเข้ามาใกล้ประตูห้อง…”
ไม่ทันสิ้นเสียงของเฉียวเจา มีหลายคนพูดประสานเสียงกัน “ข้าเอง”
เฉียวเจามองฉือชั่นก่อนค่อยมองหยางโฮ่วเฉิง ถึงมองไปทางเฉียวโม่อีกทีแล้วทอดถอนใจ
ฉือชั่นไม่ได้แน่นอน นิสัยคุ้มดีคุ้มร้ายอย่างนั้น ประเดี๋ยวถ้าเกิดประสาทเสียขึ้นมาจะทำฉันใด
พี่หยางก็ไม่ได้ รู้สึกไม่วายว่าเขาเก็บความลับไม่อยู่
พี่ใหญ่…
เฉียวเจาส่ายศีรษะกับตนเอง
พี่ใหญ่ก็ไม่ได้
พอนึกถึงภาพถอดเสื้อเซ่าหมิงยวนออกต่อหน้าพี่ใหญ่แล้ว นางตะขิดตะขวงใจเหลือเกินจริงๆ
“เฉินกวง เจ้าเถอะ”
ฉือชั่นทำหน้าบูดบึ้ง “เพราะอะไรข้าถึงไม่ได้”
เฉียวเจาแย้มยิ้ม “พี่ฉือรูปงามเกินไป ข้ากลัวเสียสมาธิเจ้าค่ะ”
ทุกคนถึงกับพูดอะไรไม่ออก “…”
เหตุผลนี้ดียิ่งนัก ถึงกับหาคำแย้งกลับไม่ได้
ฉือชั่นโมโหจนพูดไม่ออกอย่างเห็นได้ชัด
ทุกคนพากันถอยออกไป เหลือเพียงเฉียวเจากับเฉินกวงผู้ถูกเลือก
“คุณหนูสาม ข้าไม่เป็นอะไรสักอย่างเลยนะ จะให้ข้าทำอะไรขอรับ” เฉินกวงหวาดหวั่นใจอยู่สักหน่อย
ท่านแม่ทัพดูท่าทางอาการสาหัสมาก เขาไม่มีความรู้เรื่องรักษาโรคแม้แต่น้อยนิด เกิดทำพลาดขึ้นมา จะไม่เป็นการทำร้ายท่านแม่ทัพหรอกหรือ
“ทำตามที่ข้าบอกเท่านั้นเป็นพอ”
“ได้ๆ คุณหนูสามเชิญสั่งกำชับขอรับ” เฉินกวงกลืนน้ำลายอึกหนึ่งพลางลอบให้กำลังใจตนเอง
ต้องทำได้ เพื่อท่านแม่ทัพแล้ว ไม่ได้ก็ต้องได้!
“ถอดเสื้อของแม่ทัพเซ่าออกเดี๋ยวนี้เลย”
“อะไรนะ” เฉินกวงแทบล้มทั้งยืน เขาต้องฟังผิดไปแล้วเป็นแน่กระมัง
“ถอดเสื้อของแม่ทัพเซ่าออก!”
“คุณหนูสาม นะ…นี่ไม่ดีกระมัง ท่านแม่ทัพของข้ายังป่วยอยู่นะขอรับ”
เฉียวเจาแทบจะทั้งฉิวทั้งขัน “หรือไม่เปลี่ยนให้คุณชายฉือเข้ามา”
“ข้าเองๆ” เฉินกวงลุกลนสืบเท้าขึ้นหน้าหนึ่งก้าว ถอดเสื้อให้เซ่าหมิงยวนจนมือเป็นระวิง
เฉินกวงเทิดทูนบูชาเซ่าหมิงยวนประหนึ่งเทพสงครามเสมอมา เวลานี้ต้องเปลื้องอาภรณ์เขา ในใจจึงบังเกิดแรงตึงเครียดมหาศาล พอถอดเสื้อตัวบนท่านแม่ทัพออกแล้วก็ลืมคำสั่งของเฉียวเจาด้วยความตื่นเต้น ยื่นมือไปจะปลดสายคาดเอว
“หยุดมือ!” แม่นางเฉียวผู้เยือกเย็นเป็นนิจแทบโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงเลยทีเดียว
สารถีผู้นี้โง่งมใช่หรือไม่ เขาจะถอดกางเกงของเซ่าหมิงยวนด้วยเหตุใด
เฉียวเจาหน้าแดงระเรื่อ นางหยิบเข็มเงินแผงหนึ่งในถุงผ้าปักออกมาแล้วเข้าไปใกล้เซ่าหมิงยวน
บนตัวบุรุษซึ่งนอนอย่างสงบบนเตียงมีริ้วรอยบาดแผลเป็นลายพร้อย ส่งผลให้มือของนางชะงักไป
ราษฎรชาวต้าเหลียงมักพูดว่ารอยแผลคือเกียรติภูมิอันยิ่งใหญ่ที่สุดของบุรุษที่เข้าสู่สมรภูมิรบ ดังนั้นคนคนนี้ถึงได้รับการยกย่องเชิดชูจากอาณาประชาราษฎร์ถึงเพียงนี้ใช่หรือไม่
แต่แม่ทัพหนุ่มซึ่งเป็นที่ยกย่องเชิดชูของชาวประชาผู้หนึ่งเช่นนี้ มารดากลับไม่รักเขา
เฉียวเจาถือเข็มไว้พร้อมกับสั่งการเฉินกวง “หลังฝังเข็มเล่มนี้ เป็นไปได้มากว่าแม่ทัพเซ่าจะฟื้นสติ เจ้าต้องตรึงตัวเขาเอาไว้ไม่ให้ขยับยุกยิกเป็นอันดับแรก”
“ขอรับ” เฉินกวงผงกศีรษะถี่รัว
เฉียวเจาตั้งสมาธิแล้วฝังเข็มเงินตรงจุดชีพจรใต้หน้าอกของชายหนุ่ม
นางเพิ่งยกมือออก เซ่าหมิงยวนก็ลืมตาแล้ว
นัยน์ตาเขาเป็นสีดำสนิท แววงุนงงในนั้นจางหายไปเร็วกว่าปกติ สัญชาตญาณอันเฉียบไวทำให้กล้ามเนื้อแข็งเกร็งในพริบตา เขาลุกขึ้นนั่ง
“ท่านแม่ทัพยังขยับไม่ได้นะขอรับ!” เฉินกวงกดบ่าของเซ่าหมิงยวนพลางตะโกนเสียงดัง
“อย่าขยับ” เฉียวเจาเตือนเสียงเบาๆ
ทั้งที่เสียงขององครักษ์ดังกว่าจนกลบเสียงพูดแผ่วเบานั่นไว้ แต่ราวกับเซ่าหมิงยวนได้ยินเพียงคำว่า ‘อย่าขยับ’
เขาไม่ขยับ จากนั้นเพิ่งรู้ตัวภายหลังว่าตนเองไม่ได้สวมเสื้อ!
ชั่วพริบตานั้นหัวสมองของชายหนุ่มอึงอลว่างเปล่า อาการตอบสนองของเขาแทบจะเป็นไปตามสัญชาตญาณ เขาดึงผ้าห่มแพรมาปกปิดร่างกาย พูดเสียงเรียบว่า “ออกไป”
“ท่านแม่ทัพ คุณหนูสามจะขับพิษไอเย็นให้ท่าน…”
เซ่าหมิงยวนตัดบทเฉินกวงทันที “เฉินกวง พาคุณหนูหลีออกไป”
ครั้นเห็นผู้ใต้บังคับบัญชายังลังเลใจ สุ้มเสียงของเขาปึ่งชาขึ้น “เหตุใดรึ ข้าสั่งเจ้าไม่ได้แล้วหรือ”
เฉินกวงสะดุ้งเฮือก เขารีบพูดขึ้น “ข้าน้อยน้อมรับคำสั่ง”
“คุณหนูสาม พวกเราออกไปเถอะขอรับ”
เฉียวเจาทำหน้าขรึมลง “ไม่ออกไป”
เจ้าคนบ้าแสดงท่าทางเช่นนี้หมายความว่าอะไร อย่างกับว่านางจะลวนลามเขากระนั้น
ไหนบอกว่าเก่งฉกาจปราดเปรื่องถึงพร้อมทั้งปัญญาและความกล้าหาญมิใช่หรือ ไฉนยังถือคติที่คร่ำครึอยู่อีก
เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าชายหนุ่มคิดไม่ถึงว่าเฉียวเจาจะปฏิเสธทันทีทันใดเช่นนี้ เขาข่มความเก้อกระดากไว้กล่าวขึ้น “ข้าย่อมรู้ดีว่าสภาพร่างกายของตนเองเป็นอย่างไร เชิญคุณหนูหลีออกไปก่อนเถอะ”
เฉียวเจาหยิบเข็มเงินเล่มที่สองขึ้น พูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ตอนนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับแม่ทัพเซ่า ท่านเป็นคนป่วย ส่วนข้าเป็นหมอ คำขอที่ดื้อแพ่งไร้เหตุผลของคนป่วย หมอไม่ต้องให้ความสนใจใดๆ ทั้งสิ้น”
เซ่าหมิงยวนอึ้งงันไป
มีชีวิตมายี่สิบเอ็ดปี เป็นครั้งแรกที่มีคนพูดว่าเขา ‘ดื้อแพ่งไร้เหตุผล’
เฉินกวงอ้าปากค้าง
สวรรค์ ข้าว่าแล้วเชียว ความห้าวหาญของคุณหนูสามหาใช่คนธรรมดาจะเทียบเคียงได้!
“เฉินกวง เอาผ้าห่มบนตัวแม่ทัพเซ่าออก”
“ท่านแม่ทัพ…” เฉินกวงรวบรวมความกล้ายื่นมือไป
เซ่าหมิงยวนมองมือเฉินกวงด้วยแววตาดุดัน เขาพูดเสียงเย็นๆ “เอามือเจ้าออกไป”
เฉินกวงรีบเอามือไพล่หลังแล้ววิ่งไปนั่งยองๆ ตรงหน้าประตู เพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาไม่อยู่ในนี้เสียเลย
เขาเจียนจะโดนท่านแม่ทัพกับคุณหนูสามร่วมมือกันบีบคั้นจนตายอยู่แล้ว สุดปัญญาจะเป็นลูกมือได้จริงๆ แต่ยังพอจะช่วยเฝ้าประตูไว้อย่างแน่นหนาให้คนทั้งสองได้
สภาพการณ์ในเวลานี้ไม่ว่าอย่างไรก็ปล่อยให้คนอื่นเห็นไม่ได้
เฉียวเจายื่นมือไปดึงผ้าห่มแพรบนตัวเซ่าหมิงยวน พูดอย่างเยือกเย็น “ปล่อยมือ”
เซ่าหมิงยวนไม่รู้ว่าควรจะรับมือเช่นไรดีโดยสิ้นเชิง
เพราะอะไรถึงมีเด็กสาวเช่นคุณหนูหลี
เขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะพูดว่า ‘ไม่ปล่อย’ เหมือนเด็กๆ แต่ให้เขาปล่อยมือก็ต้องเปลือยกายต่อหน้าเด็กสาวผู้นี้ นั่นก็น่ากระอักกระอ่วนเกินไปจริงๆ
แม่ทัพหนุ่มจับผ้าห่มไว้ไม่เอื้อนเอ่ยวาจา
แม่นางเฉียวแทบจะทั้งฉิวทั้งขันเลยทีเดียว
คนผู้นี้กระทำตัวเป็นเด็กน้อยหรือไม่ นึกว่าไม่พูดก็ไม่ปล่อยมือได้แล้วหรือ
“แม่ทัพเซ่าจะไม่ปล่อยมือจริงๆ หรือเจ้าคะ”