หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 263
บทที่ 263
เซ่าหมิงยวนเปิดสารออกด้วยมือที่แทบสั่นเทา
‘ถิงเฉวียน ข้าจับพู่กันเขียนสารนี้มาแทนตัว ได้ยินว่าท่านควบขี่อาชาขาวถึงชายแดนแล้ว…ท่านมิจำเป็นต้องพะวงถึงข้า บัดนี้เมฆฝนเปื้อนคาวโลหิตห่มคลุมผืนดิน ฝูงสุนัขป่าเกลื่อนเต็มเมือง มีสักกี่เหย้ากี่เรือนได้สมหวังดังปรารถนา สิ่งที่ท่านกระทำอยู่สร้างสุขแก่ไพร่ฟ้าทั่วหล้า…ขอให้ท่านระวังรักษาตน พิชิตชัยหวนคืนมาในเร็ววัน’
เซ่าหมิงยวนอ่านไปทีละตัวอักษรจนจบแล้วยกสองมือขึ้นปิดหน้า
ที่แท้ภรรยาเคยเขียนสารถึงเขา มิหนำซ้ำยังเป็นเวลาก่อนที่เขาเขียนสารฉบับแรกเสียอีก
นางให้เขาไม่ต้องพะวักพะวนถึงนาง นางเข้าใจในอุดมการณ์ของเขา และหวังว่าเขาจะยกทัพกลับมาพร้อมชัยชนะ
แต่ตอนท้ายพอนางได้พบกับเขาในที่สุด สิ่งที่รอนางอยู่กลับเป็นลูกธนูคมกริบเสียบทะลุหัวใจดอกหนึ่ง
เขาถึงขั้นไม่ได้พูดจากับนางแม้สักคำเดียว
หัวใจของเซ่าหมิงยวนคล้ายถูกบีบรัด เป็นเหตุให้เขายืนตัวตรงไม่ไหว ได้แต่ย่อตัวลงช้าๆ
ความปวดร้าวระคนรู้สึกผิดที่บอกไม่ถูกอย่างนั้นแทบบดขยี้สติสัมปชัญญะจนพังทลาย ทำให้เขาคลุ้มคลั่ง
ท่านแม่รู้จักเขาดีถึงปานนั้น ใช้สารฉบับเดียวก็ทำให้เขารู้สึกว่านับแต่นี้อยู่ไปก็ไร้ความหมาย ตายไปไม่น่าเสียดายได้แล้ว
รสหวานปนกลิ่นคาวพุ่งขึ้นมา โลหิตอุ่นร้อนพุ่งทะลักออกจากปากอย่างควบคุมไม่อยู่คำหนึ่ง ตามมาด้วยคำที่สอง คำที่สาม
องครักษ์ที่ได้ยินเสียงผิดปกติพากันตะลึงงัน จากนั้นฉุกคิดถึงคำกำชับของเฉินกวงขึ้นได้ก็ก้าวขาออกวิ่งไปทันที
เฉียวเจาได้รับข่าวเรื่องเซ่าหมิงยวนแล้วตกอกตกใจอย่างยิ่ง “ไฉนกระอักเลือดอีกแล้ว”
เฉินกวงร่ำไห้อย่างน่าเวทนายิ่งกว่าเด็กน้อย “เห็นบอกว่าท่านแม่ทัพเห็นสารที่ฮูหยินเขียนถึงท่านก็กระอักเลือดยกใหญ่ คุณหนูสาม ท่านรีบไปช่วยท่านแม่ทัพของพวกข้าเถอะขอรับ”
เฉียวเจาจึงรุดไปถึงจวนกวนจวินโหวอย่างเร่งร้อน ทว่ากลับถูกปิดประตูใส่หน้า
“แม่ทัพเซ่าบอกว่าไม่พบข้าหรือ”
องครักษ์ลุกลนพูดอธิบาย “มิใช่ไม่พบท่านขอรับ ท่านแม่ทัพบอกว่าอยากอยู่เงียบๆ คนเดียว ไม่อยากพบใครทั้งนั้น”
เขาอาจพูดอย่างนี้ แต่ทำสีหน้าวิงวอนอย่างหวาดหวั่นสุดใจว่าเฉียวเจาจะกลับไปเช่นนี้
นางฟังแล้วเลิกคิ้วสูง เพิ่งฝังเข็มก็กระอักเลือด ซ้ำยังจะดื้อแพ่งกับนาง?
สารฉบับนั้นเขียนอะไรไว้บ้างกันแน่ ข้าเองยังเกือบจำไม่ได้ เขาถึงกับต้อง…
หญิงสาวคิดถึงตรงนี้แล้วบอกไม่ถูกว่าความรู้สึกในใจเป็นอย่างไร นางทำหน้าตึงเอ่ยขึ้น “หลีกทาง”
“ท่านแม่ทัพจะตำหนิโทษได้…” องครักษ์ยังพูดไม่จบก็หลบฉากไปด้านข้าง
“…” มีผู้ใต้บังคับบัญชาเช่นนี้ช่างดีจริงๆ
จากนั้นนางก็เปิดประตูเข้าไป
ในห้องเงียบเชียบมาก เซ่าหมิงยวนหลับตาเอนกายนอนอยู่ เขาได้ยินความเคลื่อนไหวก็พูดเสียงต่ำ “ออกไป”
“ข้าเอง” เฉียวเจาเปล่งเสียงพูด ย่างเท้าเดินเข้าไปอย่างไม่รู้สึกรู้สากับบรรยากาศน่าอึดอัดในห้อง
ชายหนุ่มลืมตาขึ้น น้ำเสียงเขาราบเรียบ “คุณหนูหลี”
เฉียวเจานั่งลงด้านข้าง “ยื่นมือออกมาเจ้าค่ะ”
เซ่าหมิงยวนไม่ขยับตัว
นางมองเขา “ข้าได้ยินว่าแม่ทัพเซ่าอ่านสารถึงทำให้อาการกำเริบซ้ำอีก ในเมื่อท่านไม่ให้ความร่วมมือ เช่นนั้นข้าจะริบสารพวกนั้นไปเสีย”
เอ่อ…ไม่ใช่เพราะนางอยากรู้อยากเห็นเป็นอันขาด นางทำไปเพราะคำนึงถึงสุขภาพของเซ่าหมิงยวนแต่เพียงประการเดียว
เขายื่นมือออกมาอย่างว่านอนสอนง่าย
เฉียวเจาวางมือบนข้อมือเขาจับชีพจรพลางไต่ถาม “ยาขับไอเย็นที่ให้ท่านไว้คราวก่อนยังมีอีกหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่มีแล้ว”
“กินหมดแล้วหรือเจ้าคะ” เฉียวเจาหรี่ตาลง
ชายหนุ่มสังเกตเห็นเฉียวเจามีสีหน้าไม่พึงใจ เขาพยักหน้า “อื้อ”
นางชายตามองเขาแวบหนึ่งแล้วเปิดโปงทันที “แม่ทัพเซ่ามอบให้จิ้งอันโหวกระมัง”
“คุณหนูหลีรู้ได้อย่างไร” เซ่าหมิงยวนกระอักกระอ่วนใจ แต่สนใจใคร่รู้มากกว่า
“วันนี้เห็นจิ้งอันโหวแล้วพบว่าเขาก็มีพิษไอเย็นในกาย แต่ไม่รุนแรงเท่าท่าน”
เซ่าหมิงยวนตาเป็นประกาย “คุณหนูหลีรักษาให้บิดาข้าได้หรือไม่”
“ได้เจ้าค่ะ” เฉียวเจาตอบรับทันควัน
“ถ้าอย่างนั้นข้าจะส่งคนไปบอกกล่าวบิดาข้าประเดี๋ยวนี้เลย”
แม่นางเฉียวพยักหน้าอย่างเยือกเย็น “อื้อ แม่ทัพเซ่าเชิญตามสบาย แต่อย่าลืมเอ่ยเตือนบิดาท่านสักคำด้วยว่าพอถึงเวลาจะใช้วิธีการเดียวกับที่รักษาให้แม่ทัพเซ่า หวังว่าท่านจะคุ้นเคยกับมันได้”
“วิธีเดียวกัน?” แม่ทัพหนุ่มนิ่งอึ้งไป สีหน้าขรึมลงเล็กน้อย “คุณหนูหลีบอกว่าวิธีเดียวกัน หมายถึง…”
“อื้อ ต้องถอดเสื้อออกเจ้าค่ะ” เฉียวเจาบอกด้วยสีหน้านิ่งเฉย
เซ่าหมิงยวนไอออกมากะทันหัน
นางรีบรินน้ำถ้วยหนึ่งส่งให้
เขาดื่มน้ำหลายคำเรียกขวัญก่อนพูดกับเฉียวเจาด้วยน้ำเสียงแฝงรอยจนตรอกอยู่หลายส่วน “ไม่รู้ว่าคุณหนูหลียังมียาขับไอเย็นอีกหรือไม่ ข้าอยากจะขอปันให้บิดาข้าบ้าง”
“ไม่ต้องการให้ข้ารักษาบิดาท่านแล้วหรือ”
“ไม่ต้องแล้ว รอหมอเทวดาหลี่กลับมาจะดีกว่า”
เฉียวเจาลอบขบขัน พิษไอเย็นของจิ้งอันโหวต่างจากของเซ่าหมิงยวน เดิมก็ไม่นับว่ารุนแรงอยู่แล้ว หากกินยาขับไอเย็นต่อเนื่องก็สามารถขับออกได้ช้าๆ ไหนเลยจำเป็นต้องเปลือยกายถอนพิษด้วยเล่า
เอ่อ…ความจริงนางเห็นว่าเจ้าคนผู้นี้อาการปางตายอยู่ยังนึกถึงคนอื่นอีกเลยไม่ใคร่สบอารมณ์เท่านั้นเอง คนป่วยจำพวกนี้รู้จักแต่สร้างปัญหามากขึ้นต่างหาก
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ช่างเถิด” แม่นางเฉียวทำหน้าเสียดาย
“…” ในสายตาคุณหนูหลี คนป่วยไม่แบ่งชายหญิงจริงๆ ก่อนหน้านี้ข้าถึงกับนึกไปว่าคุณหนูหลีปฏิบัติต่อข้าต่างออกไปอยู่สักหน่อย ช่างน่าละอายโดยแท้
“เช่นนั้นแม่ทัพเซ่าถอดเสื้อเถอะ”
ชายหนุ่มจับสาบเสื้อโดยไม่รู้ตัว “ข้า…”
สีหน้าของเฉียวเจาขรึมลง “หรือแม่ทัพเซ่ารู้สึกว่าข้าเห็นร่างกายของท่านเป็นการเอาเปรียบท่านอยู่ใช่หรือไม่”
“ไม่ใช่ ข้า…คร่ำครึเกินไป…” เซ่าหมิงยวนคิดๆ แล้วหาคำอธิบายที่เหมาะสมกว่านี้ไม่ออก
นางมองเขาอย่างพินิจ
เขาอึดอัดกับสายตาของนางมากพอดู
เฉียวเจาถอนใจเฮือก “แม่ทัพเซ่า ท่านปฏิเสธการรักษาใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“ข้าเปล่านะ” เขาแค่ไม่อาจเปลื้องผ้าต่อหน้าสตรีอ่อนเยาว์นางหนึ่งได้ ต่อให้เด็กสาวผู้นี้กล่าวย้ำไม่หยุดว่าตนเองเป็นหมอ
“ท่านปฏิเสธ ในดวงตาท่าน ข้ามองไม่เห็นแรงใจอยากมีชีวิตอยู่” นางเปิดเผยความในใจเขาด้วยถ้อยคำสั้นๆ
เจ้าคนโง่งมผู้นี้ เขาอาจจะไม่มีความคิดจบชีวิตตนเอง แต่ก็ไร้ความปรารถนาอยากมีชีวิตอยู่ น่าจะเป็นการอยู่ไปวันๆ ตามยถากรรม เขาเป็นนักบวชหรือไร
ถึงจะเป็นนักบวช ก็ไม่มีคนใดหวังจะได้ไปสู่สุคติโดยไวจริงๆ
เซ่าหมิงยวนนิ่งเงียบไปฉับพลัน
เฉียวเจาก็นิ่งเงียบไปด้วย
ผ่านไปนานเท่าใดก็สุดรู้ นางเอ่ยปากขึ้นก่อน “เพราะสารพวกนั้นหรือเจ้าคะ”
อันที่จริงนางเข้าใจความเจ็บปวดของเขาได้ เสิ่นซื่อฮูหยินของจิ้งอันโหวนั้นจะพูดว่า ‘ใจอำมหิตเฉกอสรพิษ’ ก็ไม่เกินเลยแต่อย่างใด
อย่าว่าแต่เซ่าหมิงยวน แม้แต่นางเองหลังรู้เรื่องในวันนี้ สารกล่องนั้นก็กลายเป็นภูเขาลูกเล็กๆ ที่กดทับอยู่กลางอก ทั้งยังดูเหมือนว่าคนตรงหน้าผู้นี้จะมิใช่บุรุษซึ่งได้ชื่อว่าเป็นสามีที่นางนึกถึงก็จะทั้งขุ่นเคืองทั้งคับแค้นใจอีกต่อไป
เขาเคยเขียนสารส่งข่าวถึงคนในครอบครัวมาให้นางฉบับแล้วฉบับเล่า หากนางได้รับคงเก็บสะสมไว้จนเต็มหีบแต่แรกเหมือนกัน
มีสารตอบกลับจากนาง บางทีเขาอาจจะเขียนมากขึ้น
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เมื่อปล่อยความคิดล่องลอยมาไกลถึงตรงนี้ เฉียวเจาก็พลันขมขื่นใจ
ถ้าตอนนั้นนางตายดับไปเช่นนั้นแล้วจะทำประการใดเล่า
เพราะว่าได้รู้แล้ว ดังนั้นถึงรู้ว่าถ้าไม่รู้เรื่องพวกนี้ไปตลอดกาลจะน่าเสียดายสักปานใด
เฉียวเจายกมือขึ้นกดหางตาเบาๆ
“คุณหนูหลี…” เซ่าหมิงยวนเรียกขานเสียงแผ่วเบา
“แม่ทัพเซ่าคุ้นชินกับความเป็นความตาย น่าจะกระจ่างแจ้งยิ่งกว่าข้าว่าตราบเท่าที่มีชีวิตอยู่จึงจะมีโอกาสอย่างไร้ที่สิ้นสุด คนตายไปแล้วก็ไม่เหลืออะไรทั้งนั้น”
เดิมทีนางไม่จำเป็นต้องพูดถึงสัจธรรมข้อนี้ แต่ใครใช้ให้เจ้าคนโง่งมผู้นี้ดูเหมือนจะจมอยู่กับเรื่องที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้เองล่ะ
เซ่าหมิงยวนยิ้มอย่างเศร้าสร้อย “คุณหนูหลีกล่าวได้ถูกต้อง คนตายไปแล้วก็ไม่เหลือโอกาสใดๆ อยู่อีก”
ภรรยาของเขาจบชีวิตไปแล้ว เขาไม่มีโอกาสได้ดูแลนาง ปกป้อง รวมถึง…รักนาง