หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 268
บทที่ 268
ระหว่างทางขากลับ สีหน้าท่าทางของเฉียวเจาสงบนิ่งแล้ว ไม่เห็นร่องรอยว่าผ่านการร้องไห้มาโดยสิ้นเชิง
เฉินกวงแอบบอกกับปิงลวี่ “คุณหนูสามอารมณ์ไม่ค่อยดี เจ้าคอยพูดปลอบหน่อยเถอะ”
“เพราะอะไรกัน ท่านแม่ทัพของเจ้ารังแกคุณหนูข้าล่ะสิ”
“เป็นไปได้อย่างไร” เฉินกวงปฏิเสธเสียงแข็ง เขารำพึงในใจว่า คุณหนูของเจ้าไม่รังแกท่านแม่ทัพของข้าก็ไม่เลวแล้ว นางได้เห็นท่านแม่ทัพเปลื้องผ้า ท่านแม่ทัพยังไม่กล้าปริปากสักคำ
“ต้องเป็นท่านแม่ทัพของเจ้ารังแกคุณหนูแน่ๆ ฮึ คุณหนูของข้าไม่ขี้แยหรอกนะ” ปิงลวี่มองค้อนเฉินกวงวงใหญ่ก่อนจะประคองเฉียวเจาลงรถม้า
เพลานี้เรือนครัวใหญ่ของจวนตะวันตกเริ่มเตรียมทำอาหารเย็น เดินอยู่ในลานเรือนมองเห็นควันไฟและกลิ่นหอมจากการหุงหาอาหารลอยฟุ้งกระจาย บรรยากาศเต็มไปด้วยกลิ่นอายวิถีชีวิตของผู้คน
เฉียวเจายืนอยู่บนทางเดินศิลาเขียวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง
“คุณหนู ท่านหิวแล้วกระมัง” ปิงลวี่เอ่ยถาม
เฉียวเจาแย้มยิ้ม “ใช่ ข้าหิวแล้ว ไปที่เรือนนายหญิงกัน ดูว่ามีของอร่อยๆ อะไรบ้าง”
เหอซื่อเห็นบุตรสาวเข้ามาแล้วแปลกใจอยู่บ้าง แต่ในใจก็เปี่ยมล้นไปด้วยความยินดี “เจาเจามาแล้วหรือ รีบมานั่งกับแม่ตรงนี้สิ”
เฉียวเจาประหลาดใจที่พบว่าบิดาอยู่ด้วย นางแสดงคำนับต่อคนทั้งสอง
หลีกวงเหวินลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ พอสมควร “เจาเจากินข้าวแล้วหรือยัง”
นางถึงกับจนวาจาต่อคำถามนี้ ยามนี้เรือนครัวใหญ่เพิ่งเริ่มเตรียมอาหาร นางจะไปกินอาหารเย็นที่ใดเล่า
พอสายตาของเด็กสาวจับไปที่ใบหูแดงเรื่อๆ ของเขา นางกะพริบตาปริบๆ เพิ่งตระหนักได้ภายหลังว่าบิดากำลังเขินอายอยู่
หลีกวงเหวินเขินอายจริงๆ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขากับเหอซื่อห่างเหินทว่าให้เกียรติกันและกัน ครั้นโดนบุตรสาวมาพบเจอเขานั่งรอกินอาหารเย็นกับเหอซื่ออย่างไม่ทันตั้งตัว ย่อมบังเกิดความรู้สึกกระดากกระเดื่องเป็นอันมาก
“อื้อ กินแล้วเจ้าค่ะ” เมื่อประจักษ์ว่าตนเองขัดจังหวะบิดามารดาอยู่ด้วยกันสองต่อสองอย่างหาได้ยาก เฉียวเจาจึงกล่าวตอบอย่างหัวไวแล้วขอตัวออกไป
เหอซื่อรั้งตัวบุตรสาวไว้ พูดดุนางว่า “กินที่ใดมาหรือ แม่เห็นพุงเจ้าแบนราบเลย ต้องยังไม่ได้กินมาจากข้างนอกแน่ เด็กดีนั่งลงนะ เย็นนี้กินข้าวพร้อมกับท่านพ่อท่านแม่”
เฉียวเจาอุ่นผ่าวๆ ในอก นางคล้องแขนกับเหอซื่อพลางบอก “ท่านแม่ ข้าอยากกินหัวสิงโตราดน้ำแดงเจ้าค่ะ”
แท้จริงแล้วนางไม่มีวันจะเป็นเฉียวเจาเท่านั้นตั้งแต่แรก แค่ว่าไม่อยากยอมรับเรื่อยมา
“ได้สิ เช่นนั้นพวกเราก็กินหัวสิงโตราดน้ำแดงกัน” เหอซื่อหยิกแก้มอีกฝ่ายอย่างสนิทสนมแล้วตะโกนบอก “ฟางมามา ไปทำหัวสิงโตราดน้ำแดงมาจานหนึ่ง คุณหนูสามอยากกิน”
“หัวสิงโตราดน้ำแดงต้องเตรียมเครื่องปรุงนานมาก จะทำไม่ทันอาหารเย็นนะ” หลีกวงเหวินเอ่ยเตือนขึ้นอย่างไม่รู้กาลเทศะ
ภรรยากับบุตรสาวหันมามองเขาเป็นตาเดียวกัน
หลีกวงเหวินเกาท้ายทอยอย่างงุนงงไม่เข้าใจ
มองข้าด้วยเหตุใด ข้าไม่ได้พูดผิดสักหน่อย
เหอซื่อขึงตาใส่เขา “นายท่านก็ช่างกระไรจริงๆ บุตรสาวอยากกินหัวสิงโตราดน้ำแดง วันนี้ก็ต้องได้กิน อย่างมากเป็นมื้อดึกก็ได้เจ้าค่ะ”
“แต่หัวสิงโตราดน้ำแดงมันย่องเกินไป ย่อยยาก เป็นของกินมื้อดึกไม่ดีต่อกระเพาะอาหาร…”
“…” นี่ต้องไม่ใช่สามีที่ข้าชมชอบมาสิบกว่าปีเป็นแน่!
“…” ท่านแม่รักท่านพ่อที่เป็นเช่นนี้มาโดยตลอดได้หรือนี่
ไม่รู้เพราะเหตุใด เห็นท่าทางที่หลีกวงเหวินกับเหอซื่อจ้องตากันอย่างไม่มีใครยอมใครแล้ว อารมณ์ขุ่นข้องหมองใจของเฉียวเจาก็พลันจางหายไปหลายส่วน
“ไม่เช่นนั้นข้าไปซื้อดีกว่า หัวสิงโตราดน้ำแดงของร้านไป่เว่ยมีรสชาติไม่เลวเลยนะ” หลีกวงเหวินก้าวขาจะออกเดินไป
เฉียวเจารั้งเขาไว้ทันที “ท่านพ่อ ความจริงกินอะไรก็เหมือนกันเจ้าค่ะ ได้กินอาหารพร้อมกับท่านพ่อท่านแม่ ข้าก็รู้สึกดีใจมากแล้ว”
“ดูสิ เจาเจารู้จักพูดนัก” เหอซื่อรีบดึงตัวหลีกวงเหวินนั่งลง
อืม อันที่จริงนานทีปีหนจะได้อยู่กับท่านพี่ ท่านพี่จะออกนอกเรือน ข้ายังหักใจไม่ลงอยู่สักหน่อย ยังคงเป็นเจาเจาที่เข้าอกเข้าใจข้า
หลีกวงเหวินลุกลนสะบัดมือภรรยาออก เขาตวัดสายตามองบุตรสาวอย่างฉับไวแวบหนึ่งก่อนพูดเอ็ด “ยื้อยุดฉุดดึงอะไรไม่เข้าท่า!”
เฉียวเจาเม้มปากยิ้มแล้ว
ถึงเวลากินอาหาร สุดท้ายหัวสิงโตราดน้ำแดงก็ทำเสร็จไม่ทันยกออกมาตั้งโต๊ะ ทว่าพ่อแม่ลูกสามคนหาได้ถือสาไม่ ต่างกินข้าวด้วยกันอย่างสุขสันต์สำราญใจยิ่ง
เหอซื่อมิได้บ่มเพาะนิสัยยามกินไม่สนทนา ยามนอนไม่พูดคุย นางคีบกับข้าวให้หลีกวงเหวินและเฉียวเจาพร้อมกับชวนคุยสัพเพเหระอยู่ตลอด
หลีกวงเหวินพูดขึ้นอย่างอดรนทนไม่ไหว “เจ้าทำอย่างนี้จะ…”
เหอซื่อตัดบทเขาทันควัน “ข้ารู้ว่าไม่ดีกับการย่อยอาหารเจ้าค่ะ แต่นานๆ ทีจะได้กินอาหารกับบุตรสาว แค่ย่อยอาหารไม่ดีจะต้องกลัวด้วยหรือ”
หลีกวงเหวินเห็นบุตรสาวตัวน้อยตั้งหน้าตั้งตากินอาหารก็ยกมือขึ้นลูบจมูก คำกล่าวของภรรยากลับมีเหตุผลดีจริงๆ
อารมณ์ของคนเรามักปรับเปลี่ยนไปตามบรรยากาศ หลีกวงเหวินจึงร่วมวงสนทนาอย่างอดใจไม่อยู่ “จริงสิ ท่านลุงใหญ่ทางจวนตะวันออกของเจ้ากลับมาแล้วนะ”
ลูกชิ้นกุ้งที่เฉียวเจาคีบด้วยตะเกียบหล่นกลับลงในทันใด
“ก็บอกแล้วว่าอย่าพูดคุยเวลากินข้าว” หลีกวงเหวินกล่าวอย่างขุ่นเคือง
เฉียวเจาคีบลูกชิ้นกุ้งอีกครั้งมาใส่ในชาม นางคลี่ยิ้มด้วยสีหน้าปกติ “ลูกชิ้นกุ้งลื่นไปเจ้าค่ะ ท่านพ่อบอกว่าท่านลุงใหญ่ทางจวนตะวันออกกลับมาแล้ว? ท่านไปทางทิศใต้ไม่ใช่หรือเจ้าคะ”
ท่านลุงใหญ่ทางจวนตะวันออกมีตำแหน่งเป็นรองเสนาบดีกรมอาญาได้รับแต่งตั้งเป็นผู้แทนพระองค์เดินทางไปจยาเฟิงสืบคดีเพลิงไหม้สกุลเฉียว เขากลับมาในวันนี้แล้วจริงๆ หรือ ถ้าอย่างนั้นผลการสืบคดีเป็นเช่นไรเล่า
เหตุเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ในเรือนนางเป็นภัยธรรมชาติหรือฝีมือคนกันแน่
ระยะนี้หลีกวงเหวินถูกบุตรสาวคนเล็กดึงพรสวรรค์ของคนเล่าเรื่องออกมา พอเขาได้ยินคำนี้แล้วก็เอ่ยขึ้นทันที “เพิ่งกลับมา ยังไม่เข้าเรือนก็ตรงดิ่งไปที่ว่าการสะสางหนังสือบันทึกคดีแล้ว”
เฉียวเจาผิดหวังพอดู เช่นนี้ท่านพ่อก็ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของเรื่องนี้เป็นอย่างไรเหมือนกัน
นางหมดความอยากอาหารไปในพริบตา แต่ว่าอยู่ต่อหน้าบิดามารดายังข่มใจไว้ได้ นางกินอาหารมื้อนี้จนเสร็จด้วยสีหน้าเป็นปกติ แต่พอกลับถึงห้องก็พะอืดพะอมระลอกหนึ่งจนอาเจียนออกมาหมด
ปิงลวี่แตกตื่น “คุณหนูเป็นอะไรไปเจ้าคะ”
“ไม่เป็นไร” เฉียวเจารับน้ำผสมน้ำผึ้งที่อาจูยื่นส่งให้เงียบๆ มาบ้วนปากถึงรู้สึกสบายท้องขึ้น “พวกเจ้าออกไปเถอะ ข้าจะพักผ่อนแล้ว”
คืนนั้นเฉียวเจานอนไม่หลับตลอดราตรี
นางลุกจากเตียงแต่เช้า แต่งกายพร้อมสรรพแล้วอดทนรอจนเป็นเวลาพอสมควรถึงเร่งรุดไปที่จวนกวนจวินโหว
อยากรู้ข่าวคราวที่ท่านลุงใหญ่ของจวนตะวันออกนำกลับมา เซ่าหมิงยวนต้องได้ข่าวฉับไวกว่าคนทั่วไปแน่นอน ยิ่งกว่านั้นพี่ใหญ่ก็พักอยู่ในจวนกวนจวินโหว ตามการคาดคะเนของนาง ไม่ว่าผลลัพธ์ของเหตุไฟไหม้จะออกมาในรูปใด เป็นไปได้มากว่าวันนี้ทางราชสำนักจะเรียกตัวพี่ใหญ่เข้าไป
“อรุณสวัสดิ์ คุณหนูหลี” สายตาของชายหนุ่มหยุดอยู่ที่รอยคล้ำใต้ขอบตาของเด็กสาว
เมื่อคืนคุณหนูหลีนอนหลับไม่สนิทหรือ
เขายังนึกว่าเมื่อวานนางเสียใจอย่างนั้น วันนี้ต้องไม่มาแล้ว
“อรุณสวัสดิ์เจ้าค่ะ แม่ทัพเซ่า”
หลังการทักทายนี้ บรรยากาศก็เริ่มอึดอัด
เซ่าหมิงยวนกระแอมกระไอเบาๆ คราหนึ่งแล้วถามขึ้น “เริ่มฝังเข็มเลยหรือไม่”
เฉินกวงซึ่งยืนอยู่มุมผนังลอบระบายลมหายใจเฮือก
ท่านแม่ทัพก้าวหน้าขึ้นแล้ว รู้จักเป็นฝ่ายถอดเสื้อก่อน!
“เมื่อวานฝังเข็มไปสองรอบ วันนี้ไม่ต้องเจ้าค่ะ”
เซ่าหมิงยวนเลิกคิ้วขึ้น
ถ้าอย่างนั้นวันนี้คุณหนูหลีมาเพื่ออะไร คงมิใช่…มาร้องไห้ต่อกระมัง
พอนึกถึงความเป็นไปได้ข้อนี้ แม่ทัพหนุ่มก็ชักตื่นตระหนกทันใด
ยามเด็กสาวร้องไห้ขึ้นมาเป็นเรื่องที่ชวนให้ทำอะไรไม่ถูกเหลือเกินจริงๆ
“แม่ทัพเซ่าสีหน้าไม่สู้ดี ได้กินยาตามที่ข้าสั่งให้หรือไม่”
แม่ทัพหนุ่มหวาดหวั่นสุดใจว่าจะทำให้สาวน้อยตรงหน้าร้องไห้ เขาจึงรีบพยักหน้าเอ่ย “กินแล้ว”
คิ้วเรียวงามของเด็กสาวมุ่นเข้าหากัน “เช่นนั้นก็คือต้มยาไม่ดี วันนี้ข้ามาต้มยาให้แม่ทัพเซ่าเอง”