หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 27
เซ่าหมิงยวนอยู่ในท่าคุกเข่าดังเก่า ถ้อยคำเหน็บแนมของมารดาแท้ๆ ไม่ทำให้สีหน้าชายหนุ่มเปลี่ยนไป เขาค้อมศีรษะพร้อมกล่าว ลูกไม่ดีเองขอรับ
กระนั้นเสิ่นซื่อทนเห็นเขาในลักษณาการนี้ไม่ได้มากที่สุด นางกระแทกถ้วยน้ำชาลงบนโต๊ะด้านข้างแรงๆ กล่าวเสียงกระด้าง ยังไม่รีบไปเปลี่ยนชุดแล้วค่อยมาพบข้า
ขอรับ เซ่าหมิงยวนลุกขึ้นออกไปอย่างสงบ
จิ้งอันโหวทำหน้าขรึมลง เขาไม่อยากหักหน้าเสิ่นซื่อต่อหน้าบุตรชายกับลูกสะใภ้คนโตแต่ก็สงสารบุตรชายคนรองที่ได้รับการปฏิบัติเยี่ยงนี้ เขาไอแรงๆ ทีหนึ่งก่อนเอ่ยถามหวังซื่อสะใภ้ใหญ่ อาหารตระเตรียมเรียบร้อยหมดแล้วหรือ
หวังซื่อตอบอย่างว่องไว ท่านพ่อวางใจได้ ข้าสั่งกำชับไปแต่แรกแล้ว ให้จัดตามธรรมเนียมฉลองวันตรุษเจ้าค่ะ
เสิ่นซื่อแค่นเสียงกล่าว มิใช่วันเทศกาลงานตรุษ จะจัดตามธรรมเนียมฉลองวันตรุษอะไรกัน เขาจะเก่งกาจปานใด ก็เป็นแค่คุณชายรองของจวน หรือยังจะพลิกฟ้าได้
หวังซื่อไม่พูดตอบคำนี้ ทำได้เพียงนิ่งเงียบไม่เอื้อนเอ่ยวาจา
จิ้งอันโหวปริปากอย่างทนไม่ไหวในที่สุด เสิ่นซื่อ พอได้แล้ว เจ้ารองกลับมาทั้งที จำเป็นต้องพูดจาอย่างนี้ด้วยหรือ
เสิ่นซื่อขึ้นเสียงทันที อย่างใดหรือ ท่านโหวบอกมาสิว่าข้าพูดจาเป็นอย่างใด เหตุใดรึ ตอนนี้เจ้ารองได้รับแต่งตั้งเป็นท่านโหว จวนจิ้งอันโหวนี้ไม่สมเกียรติของเขาแล้ว กระทั่งข้าจะพูดอะไรก็ไม่ได้แล้วหรือ
จิ้งอันโหวตั้งท่าจะบันดาลโทสะ แต่ไม่รู้นึกอะไรขึ้นได้ เขาสะกดความโกรธกลับลงไป ถลึงตาใส่ซื่อจื่อเซ่าจิ่งยวน ยังไม่รีบไปดูว่าน้องสามของเจ้าหายไปที่ใด เขาไม่รู้หรือว่าพี่รองของเขากลับมาแล้ว
เซ่าจิ่งยวนหลุบตาลง ข้าไปประเดี๋ยวนี้เลยขอรับ
หวังซื่อเห็นเช่นนี้ทั้งปวดใจทั้งไม่ชอบใจ
ท่านพ่อสามีเป็นเช่นนี้เสมอ ทั้งที่ท่านแม่สามีไม่ชมชอบท่านรอง แต่ท่านพ่อสามีทำอะไรนางไม่ได้ก็จะระบายอารมณ์ใส่นายท่านใหญ่แทน
ภายในห้องเงียบงันไปชั่วขณะ
ทั้งที่การกลับมาของเซ่าหมิงยวนเป็นเรื่องน่าปีติยินดีครั้งใหญ่ แต่เหล่าเจ้านายของจวนจิ้งอันโหวนี้กลับต่างคนต่างมีความในใจ บันดาลให้บรรยากาศตกอยู่ในความอึมครึม
เสียงฝีเท้าดังขึ้น เซ่าหมิงยวนซึ่งผลัดอาภรณ์เป็นชุดลำลองเดินเข้ามา
ยามนี้เขาสวมเสื้อคลุมสีขาว นอกจากรัดสายคาดเอวหยกดำแล้วไร้เครื่องประดับใดๆ ขับเน้นดวงหน้าให้ดูกระด้างเย็นชายิ่งขึ้น
เสิ่นซื่อโกรธจัด ขว้างถ้วยน้ำชาไปตรงข้างเท้าเขาจนแตกละเอียด
ลูกเนรคุณ เจ้าแต่งกายเช่นนี้เป็นการแช่งให้ข้าตายเร็วๆ ใช่หรือไม่
เซ่าหมิงยวนมองดูมารดาที่โมโหกราดเกรี้ยวแล้วลอบถอนใจเฮือกหนึ่ง เขาพูดอธิบายว่า ท่านแม่คงลืมไปแล้วว่าลูกไว้ทุกข์ให้ภรรยาอยู่
คำกล่าวนี้ดังขึ้น ทั่วทั้งห้องก็เงียบงันไป
เมื่อแรกสถาปนาแคว้นต้าเหลียง แม้นมีธรรมเนียมสามีไว้ทุกข์ให้ภรรยาที่จากไปหนึ่งปี แต่เวลาผ่านมาช้านาน ธรรมเนียมข้อนี้ได้เลือนหายไปเหลือไว้แต่ชื่อมานานแล้ว บุรุษที่ไว้ทุกข์ให้ภรรยาได้จริงๆ มีอยู่แทบจะนับนิ้วได้ ในทางตรงกันข้าม วรรคทองที่ว่าเลื่อนยศ ร่ำรวย ภรรยาม้วยมรณา กลายเป็นคติประจำใจบุรุษที่รู้กันเองโดยมิต้องบอก
ทันใดนั้นเสียงฝีเท้าถี่รัวดังขึ้นระลอกหนึ่ง ต่อจากนั้นเด็กหนุ่มผู้หนึ่งก็วิ่งทะยานเข้ามาทางหน้าประตู
เด็กหนุ่มดูท่าทางมีอายุสิบสี่สิบห้า ปากแดงฟันขาว แต่สีหน้าเขายามนี้เดือดดาลอย่างหนัก พอเห็นเซ่าหมิงยวนยืนอยู่กลางโถงก็ปรี่เข้าใส่พร้อมกับเงื้อหมัดเล็งไปที่เขาทันที ปากก็ด่าทอไปด้วย บัดซบ! เจ้าสังหารพี่สะใภ้รองแล้วยังกลับมาอย่างไม่ละอายใจ…
ที่แท้เด็กหนุ่มซึ่งถลันเข้ามาคือน้องชายคนเล็กของเซ่าหมิงยวน…เซ่าซียวน
ในสายตาของเซ่าหมิงยวน การจู่โจมของเซ่าซียวนไม่ต่างกับเด็กทารกหัดเดิน ไร้พิษสงใดๆ โดยสิ้นเชิง
ชายหนุ่มยื่นมือคว้าข้อมือของอีกฝ่ายไว้ นัยน์ตาสีดำเข้มของเขาอ่านความรู้สึกไม่ออกยามกล่าวเสียงเรียบ ข้าบัดซบหรือไม่ เจ้ายังไม่มีสิทธิ์มาสั่งสอน
เขาออกแรงนิดเดียวผลักน้องชายออก เซ่าซียวนก็เซไปเกาะเสาไว้
เสิ่นซื่อทำหน้าตึงทันใด เซ่าหมิงยวน เจ้ากล้าลงไม้ลงมือกับน้องชายเชียวรึ
นางรีบลุกไปประคองเซ่าซียวน มองสำรวจขึ้นๆ ลงๆ ด้วยสายตาห่วงใยเปี่ยมล้น ไม่โดนกระแทกกระมัง
ไม่ขอรับ เซ่าซียวนยังจ้องเซ่าหมิงยวนตาเขม็งด้วยสีหน้าดื้อดึง
เซ่าหมิงยวนเอ่ยกับจิ้งอันโหวโดยไม่มองน้องชาย ท่านพ่อ วันนี้ตอนเข้าเฝ้า ข้ากราบทูลขอพักราชการหนึ่งปีแล้วขอรับ
พักราชการหนึ่งปี? จิ้งอันโหวแปลกใจอย่างยิ่ง
เซ่าจิ่งยวนซื่อจื่อของจิ้งอันโหวก็มองเขาอย่างเหลือเชื่อ
ผู้ใดบ้างไม่รู้ว่ายามนี้น้องรองกำลังรุ่งโรจน์ สบช่องที่ใครๆ โจษจันถึงการชนะศึกครั้งใหญ่เสนอหน้าต่อเบื้องพระพักตร์บ่อยๆ จะต้องก้าวหน้าไปอีกขั้นเป็นแน่แท้
แต่เขากลับขอพักราชการนานถึงหนึ่งปีเพื่อไว้ทุกข์ให้ภรรยา
เซ่าจิ่งยวนมองเซ่าหมิงยวน เพียงรู้สึกว่ายากจะเข้าใจน้องชายมากขึ้น
เป็นเช่นนี้ก็ดี จิ้งอันโหวกลับยอมรับเรื่องนี้ได้อย่างรวดเร็ว
หีบศพของ… เซ่าหมิงยวนเอ่ยปากขึ้น สีหน้านิ่งเฉยแปรเปลี่ยนไปเป็นคราแรก หีบศพของเฉียวซื่อจะมาพร้อมกับของเหล่าทหารพลีชีพกลางสมรภูมิ อีกไม่กี่วันก็จะเข้าสู่เมืองหลวง พรุ่งนี้ข้าจะออกจากเมืองไปรับนาง…พอทำพิธีแห่ศพนางไปฝังแล้ว ข้าอยากไปจยาเฟิงสักคราเพื่อขอขมาต่อท่านพ่อตาแม่ยายขอรับ
คนตายไปแล้ว ขอขมายังจะมีประโยชน์อันใด พวกเขาจะกล้าสังหารท่านหรือไร เซ่าซียวนกล่าววาจาถากถางโต้กลับอย่างไม่ยอมจำนน ทว่าน้ำเสียงค่อยๆ อ่อนลง
พี่สะใภ้รองเป็นคนดีถึงเพียงนั้น พี่รองกลับสังหารนางได้ลงคอ อภัยให้ไม่ได้จริงๆ!
ใช่ จะหวั่นไหวไม่ได้ ต้องยืนกรานไม่ยกโทษให้แน่นอน!
เซ่าหมิงยวนมองน้องชายด้วยสายตาเรียบเฉยหากน้ำเสียงเคร่งขรึม หากพวกเขาต้องการ ข้าไม่เสียดายชีวิตเป็นอันขาด
เขากล่าวจบแล้วขอตัวกับจิ้งอันโหวและเสิ่นซื่อ ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าอยากกลับไปพักผ่อนสักครู่ขอรับ
พอเซ่าหมิงยวนก้าวออกจากประตู องครักษ์ประจำตัวสองคนซึ่งรออยู่ด้านนอกก็เดินมาหา ท่านแม่ทัพ…
เซ่าจือ พรุ่งนี้เจ้าไปถามดูว่าจวนกวนจวินโหวจะเข้าพำนักได้เมื่อไร เขาบอกกับคนหนึ่งในนั้น
เซ่าจืออึ้งงันไปครู่เดียวแล้วเอ่ยตอบทันที ขอรับ
เซ่าเหลียง รีบไปสืบเรื่องเจ้าคนทรยศนั่นให้กระจ่างแล้วกลับมารายงานโดยเร็วที่สุด
เซ่าเหลียงทำสีหน้าขึงขัง น้อมรับคำสั่งขอรับ
เมื่ออยู่กับผู้ใต้บังคับบัญชาที่ร่วมเป็นร่วมตายกันมา สีหน้าของเซ่าหมิงยวนอ่อนละมุนลงมาก เขาผงกศีรษะน้อยๆ กล่าวว่า พวกเจ้าแยกไปดื่มสุราเถอะ ไม่ต้องคอยตามข้า
เขาหมุนกายสาวเท้าก้าวใหญ่จากไป
เซ่าจือกับเซ่าเหลียงจับจ้องมองตามเซ่าหมิงยวนไปตลอด จนเขาลับร่างไปกลางสุมทุมพุ่มไม้ถึงเดินออกไปด้วยกัน
พวกเขาสองคนเติบโตมากับเซ่าหมิงยวนตั้งแต่วัยเยาว์ หลังรบทัพจับศึกมานานหลายปี ล้วนเป็นขุนพลขั้นห้า เวลาเดินอยู่ข้างนอกก็มีคนเรียกขานว่าแม่ทัพแล้ว
ทั้งคู่เดินออกมาได้ระยะหนึ่ง เซ่าเหลียงพูดขึ้นอย่างอดใจไม่อยู่ เจ้าว่าเหตุใดฮูหยินไม่ชอบหน้าท่านแม่ทัพของเราถึงเพียงนี้ ข้าจำได้ว่าตอนเด็กทั้งที่เป็นซื่อจื่อที่ซุกซนทำความผิด แต่ฮูหยินกลับเฆี่ยนท่านแม่ทัพจนหลังลาย ยังเป็นท่านแม่ข้าช่วยทายาให้
ใครจะรู้เล่า เซ่าจือส่ายหน้า กล่าวอย่างทอดถอนใจ นิ้วมือทั้งสิบกางออกยังยาวไม่เท่ากัน บิดามารดาจะลำเอียงก็เป็นเรื่องสามัญ แต่ท่านโหวดีต่อท่านแม่ทัพมากที่สุดมิใช่หรือ
จะอย่างไรข้าก็ขบไม่แตก ไม่ว่าด้านใดท่านแม่ทัพของเราล้วนโดดเด่นเหนือใครที่สุด ฮูหยินทำกับท่านถึงเพียงนั้น กลับไม่เคยปริปากบ่นสักคำ
เซ่าเหลียงเบาเสียงลงกะทันหัน เอ่อ…ฮูหยินคงจะมิได้ตาบอดกระมัง
เซ่าจือชกเขาหมัดหนึ่ง พูดจาส่งเดชอะไร ใครได้ยินเข้าจะทำให้ท่านแม่ทัพวางตัวยาก
นั่นสินะ แต่ก็ยังดีที่ว่ารอเมื่อจวนกวนจวินโหวซ่อมแซมเสร็จ พวกเราก็ย้ายไปได้แล้ว ท่านแม่ทัพไม่จำเป็นต้องทนคับข้องหมองใจเช่นนี้แล้ว
พวกเขาเดินเคียงกันห่างไปไกล
เซ่าหมิงยวนกลับถึงที่พำนักของตน เขาผลักประตูเข้าไปยืนอยู่กลางลานเรือนเหลียวมองรอบๆ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแปลกตามาก
แต่ก่อนชายหนุ่มอยู่ที่เรือนหน้า ต่อมาเขาไปออกรบเป็นเวลานาน แม้แต่จวนแห่งนี้ก็กลับมาน้อยครั้งมาก ทว่าเพราะเขาแต่งงานถึงได้จัดเรือนหลังนี้ให้ นับดูแล้วนี่เป็นครั้งที่สองที่เขาเหยียบย่างเข้ามา
ภายในเรือนสะอาดสะอ้านดุจเดิม เห็นชัดว่ามีคนดูแลอยู่ตลอด แค่ว่าเจ้าของเรือนไม่อยู่ก็เลยไม่มีชีวิตชีวาสักนิด
เซ่าหมิงยวนก้าวขาเดินไปมุมกำแพง มองเห็นต้นป้อเหอ* ใบเขียวเป็นมันกอหนึ่ง
* ป้อเหอ หมายถึงสะระแหน่