หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 271
บทที่ 271
“ขอบคุณ” เซ่าหมิงยวนรับชามยามาดื่มรวดเดียวเกลี้ยง ใบหน้าเขาเหยเกชั่วพริบตาแล้วกลับเป็นปกติอย่างรวดเร็ว จากนั้นยื่นถ้วยยาส่งให้องครักษ์ด้านข้างด้วยสีหน้านิ่งสนิท
เฉียวเจาหยิบก้อนน้ำตาลดอกหอมหมื่นลี้ในถุงผ้าปักออกมาวางในมือเขา
เซ่าหมิงยวนนิ่งขึงไป
“กินน้ำตาลก้อนก็จะไม่ขมปากถึงเพียงนั้นแล้ว”
“อ้อ” เซ่าหมิงยวนสัมผัสได้อย่างเฉียบไวว่าเด็กสาวเบื้องหน้าอารมณ์ไม่ค่อยดี แม้จะเห็นว่าชายชาตรีกินน้ำตาลก้อนต่อหน้าผู้คนเป็นเรื่องน่าอายอยู่สักหน่อย แต่เขายังเอามันใส่ปากอย่างว่าง่าย
รสชาติหวานละมุนเจือกลิ่นดอกหอมหมื่นลี้กำจายในโพรงปาก ขับไล่กลิ่นยาขมฝาดไปได้ทันควัน
“เป็นเด็กน้อยหรือไร!” ฉือชั่นถลึงตาใส่เฉียวเจาด้วยความโมโหแทบตาย
มีหมอเช่นนี้ด้วยหรือ ถึงกับเตรียมน้ำตาลก้อนให้คนป่วย?
นางต้องคิดอะไรๆ กับเซ่าหมิงยวนเป็นแน่!
ฉือชั่นยิ่งคิดยิ่งมีน้ำโห เขาทำอะไรกับเฉียวเจาไม่ได้เลยแอบยกเท้าเตะสหายทีหนึ่ง
เซ่าหมิงยวนที่อมก้อนน้ำตาลดอกหอมหมื่นลี้ไว้ในปากงงงัน “…”
เขากลืนมันลงไปเงียบๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าแล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “อืม สายป่านนี้แล้ว…”
“ยังต้องต้มยาอีกเทียบหนึ่ง” เฉียวเจาพูดดักคอก่อนชายหนุ่มจะกล่าวประโยคต่อมา
ตอนนี้เวลายังเช้าอยู่แท้ๆ เซ่าหมิงยวนเอ่ยเช่นนี้ จริงๆ แล้วคิดจะไล่นางกลับ
ในเวลาอย่างนี้นางจะกลับไปได้เช่นไร
ความรู้สึกหวานหอมละม้ายยังอ้อยอิ่งอยู่ในปาก เซ่าหมิงยวนคิดคำนึงในใจ นี่ก็คือเข้าตำราที่ว่ากินของผู้อื่นต้องเสียงอ่อนกระมัง
“อย่างนั้นก็รบกวนคุณหนูหลีด้วย”
“ข้าจะไปจัดยา แม่ทัพเซ่ากับพี่ฉือคุยกันตามสบายนะเจ้าคะ”
หลังจากนั้นเฉียวเจาก็เฝ้าหม้อยาหน้าเตาไฟพลางเงี่ยหูฟังชายหนุ่มสองคนคุยกัน
น่าเสียดายที่เซ่าหมิงยวนไม่ได้พูดถึงคดีไฟไหม้เรือนสกุลเฉียวอย่างละเอียด แต่ไพล่ไปถามถึงจุดประสงค์ที่ฉือชั่นมาหา
ฉือชั่นกล่าวตอบ “ข้าคะเนว่าวันนี้ฮ่องเต้ต้องเรียกคุณชายเฉียวไปเข้าเฝ้า ดังนั้นจึงมาเตือนเจ้าสักคำ”
เฉียวเจากำด้ามพัดแน่นขึ้นอย่างสุดระงับ
ฮ่องเต้เรียกพี่ใหญ่เข้าเฝ้า?
นางอดมองไปทางเซ่าหมิงยวนไม่ได้
“อื้อ” เขาเอียงคอรอฉือชั่นกล่าวต่อ
ยามเอ่ยถึงโอรสสวรรค์องค์ปัจจุบัน น้ำเสียงของฉือชั่นไม่ใคร่นับถือยำเกรงมากนัก กลับแฝงความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูก “ฮ่องเต้ที่เป็นเสด็จลุงของข้านั่นน่ะนะ ถิงเฉวียนเจ้าไม่ได้อยู่เมืองหลวงมานานคงไม่รู้หรอก…จะพูดเช่นไรดีนะ เอ่อ…ไม่ค่อยเหมือนคนทั่วไป เขาไม่ชมชอบของอะไรก็ตามที่ไม่สวยงาม ฉะนั้นถ้าคุณชายเฉียวต้องไปที่วังหลวงเข้าเฝ้าจริงๆ ทางที่ดีปกปิดใบหน้าซีกที่เสียโฉมสักหน่อยจะดีกว่า”
“เข้าใจแล้ว” เซ่าหมิงยวนคิดๆ แล้วเอ่ยสั่งองครักษ์ “ไปหยิบหน้ากากเงินอันนั้นมาที”
องครักษ์รับคำสั่งออกไป ไม่นานนักก็กุลีกุจอถือหน้ากากอันหนึ่งด้วยสองมือมามอบให้เซ่าหมิงยวนอย่างเคารพนบนอบ
เฉียวเจามองไปอย่างห้ามใจไม่อยู่ มันเป็นหน้ากากทำจากเงินขาวบางเฉียบดุจปีกจักจั่น ฝีมือทำประณีตบรรจงล้ำเลิศยิ่ง
เซ่าหมิงยวนยื่นมือรับมาถือไว้ในมือแล้วลูบไล้ไปมา จากนั้นออกคำสั่ง “ไปเชิญคุณชายเฉียวมาที่นี่”
ไม่นานนักเฉียวโม่ก็ก้าวเข้ามาด้วยท่าทางสงบเยือกเย็นดังเดิม
“พี่เฉียวโม่ วันนี้ทางวังหลวงอาจจะเรียกตัวท่านเข้าไป”
“อื้อ” สีหน้าของเฉียวโม่เรียบเฉย เขายกมือสัมผัสรอยแผลเป็นขรุขระ กล่าวด้วยรอยยิ้มฝืดเฝื่อน “สารรูปนี้ของข้าต้องไม่เจริญตาเจริญใจกระมัง นั่นจะเป็นการหมิ่นพระเกียรติฮ่องเต้อย่างมาก”
เฉียวเจาฟังแล้วเหมือนโดนผึ้งต่อยทีหนึ่ง นางรีบหลุบตาลงเก็บงำแววตาปวดใจเอาไว้
“พี่เฉียวโม่ลองสวมนี่ดู” เซ่าหมิงยวนยื่นหน้ากากเงินไปให้
เฉียวโม่อึ้งงันไปเล็กน้อย ก่อนจะรับมาสวมบนใบหน้าโดยไม่อิดออด
เส้นสายโครงหน้าของเขานุ่มนวล ขณะที่รูปหน้าของเซ่าหมิงยวนคมเข้มเป็นสันเหลี่ยมชัดกว่าบ้าง
เซ่าหมิงยวนมองดูเฉียวโม่ที่สวมหน้ากากไว้อย่างพินิจครู่หนึ่ง ถึงยกมือไปปลดมันออก
เขาบีบมือออกแรง เพียงได้ยินเสียงเบาๆ ดังขึ้น หน้ากากก็ถูกฉีกแบ่งออกเป็นสองส่วนเท่าๆ กัน จากนั้นเขาใช้นิ้วมือดัดรูปทรงสองสามจุดแล้วยื่นกลับไปให้เฉียวโม่
“พี่เฉียวโม่ลองสวมดูอีกที”
หน้ากากครึ่งเสี้ยวแนบติดบนใบหน้าซีกซ้ายของเฉียวโม่อย่างเหมาะเจาะปิดรอยแผลน่ากลัวไว้พอดี
ครึ่งหนึ่งเป็นหน้ากากเงิน ครึ่งหนึ่งเป็นใบหน้าซีกขวาที่ปกติดีทุกอย่าง กลับกลายเป็นความงามแปลกตาน่าอัศจรรย์
เซ่าหมิงยวนอมยิ้มพยักหน้า “เช่นนั้นน่าจะได้แล้ว หน้ากากทำจากวัสดุพิเศษ แนบติดผิวกายคนแล้วจะไม่ร่วงหล่น”
องครักษ์ด้านข้างทำปากเบะอยู่ตลอดด้วยความเสียดาย
ก็ต้องพิเศษอยู่แล้ว วัสดุของหน้ากากนี้ล้ำค่าราคาแพง ท่านแม่ทัพมักสวมบ่อยๆ ตั้งแต่ตอนอายุสิบกว่าปี
“ไม่เลวจริงๆ” ฉือชั่นที่จู้จี้จุกจิกเป็นนิจยกสองมือกอดอกและพยักหน้าอย่างจำใจ
เฉียวเจามองอยู่เงียบๆ ไม่เอื้อนเอ่ยวาจาสักคำ
ฝ่ายเฉียวโม่คล้ายว่าไม่สังเกตเห็นเฉียวเจา สายตาของเขาไม่เคยทอดมองไปทางที่นางอยู่
ยามนี้เองมีองครักษ์วิ่งมารายงาน “ท่านแม่ทัพ วังหลวงส่งคนมาถ่ายทอดราชโองการขอรับ”
เซ่าหมิงยวนกับฉือชั่นสบตากัน จากนั้นเบนหน้าไปมองเฉียวโม่ “พี่เฉียวโม่ พวกเราออกไปกันเถอะ”
เฉียวโม่พยักหน้าตอบรับ
พวกเขาเดินเคียงไหล่กันออกไป เฉียวเจายืนอยู่ที่เดิมมองตามอย่างไม่ละสายตา ฉือชั่นจึงกระแอมกระไอให้คอโล่ง “มองอะไร ลูกตาจะถลนออกมาแล้ว”
เขาไม่อยากยอมรับหรอกว่าชั่วอึดใจที่เฉียวโม่สวมหน้ากากครึ่งเสี้ยว ทำให้เขารู้สึกไม่ปลอดภัยอย่างมาก
ไม่ถูกสิ เขาไม่ได้รู้สึกไม่ปลอดภัยสักหน่อย บุรุษมีรูปโฉมงดงามใช่ว่าจะกินแทนข้าวได้!
“ไยพี่ฉือไม่ตามไปด้วยเจ้าคะ” เฉียวเจาถามเสียงเบา
นางจะทำหน้าหนาขอตามไปด้วยก็ย่อมได้ แต่หากทำเช่นนั้น พี่ใหญ่ต้องไม่ชอบหน้านางมากขึ้นแน่
ใจเร็วด่วนได้พาพลาดพลั้ง ก่อนหน้านี้นางร้อนใจอยากแสดงตัวกับพี่ใหญ่เกินไปถึงตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นในตอนนี้
“ตามไปจะมีอะไรน่าดูกัน ก็แค่ขันทีขานบอกเสียงแหลมแล้วพาเฉียวโม่ไปเท่านั้นเอง เหตุการณ์เช่นนี้ข้าเคยเห็นมาตั้งกี่ครั้งกี่หนก็ไม่รู้”
“โอรสสวรรค์…” เฉียวเจาอยากถามว่าฮ่องเต้ที่หมกมุ่นใฝ่ฝันอยากเป็นอมตะพระองค์นั้นจะพึ่งพาไม่ได้เช่นที่ท่านย่าเคยบอกกับนางจริงๆ หรือไม่ แต่เรื่องนี้จะพูดตามตรงก็ไม่เหมาะสม นางได้แต่เกริ่นนำขึ้น หวังว่าฉือชั่นจะเข้าใจความหมาย
ชายหนุ่มเข้าใจว่าเฉียวเจาจะถามอะไรดังคาด เขาบอกอย่างตรงไปตรงมา “อารมณ์แปรปรวน ประเดี๋ยวดีประเดี๋ยวร้าย”
เฉียวเจาพูดไม่ออก “…”
โชคดีที่นางมิใช่หญิงสาวที่ต้องการคนปลอบขวัญพรรค์นั้น หาไม่แล้วความขวานผ่าซากเฉกนี้ของฉือชั่นคงทำให้คนตกใจตายไปแต่แรก
อันว่าพะวักพะวนจนเสียกระบวนเอง ถึงแม้เฉียวเจานับว่าควบคุมอารมณ์ได้ดี แต่ได้ยินคำกล่าวของฉือชั่นแล้ว ในใจนางยังคงถูกปกคลุมด้วยเงามืดชั้นหนึ่ง
ราวสองเค่อให้หลัง เซ่าหมิงยวนย้อนกลับมา
“ไปแล้วหรือ”
“อื้อ”
ฉือชั่นยื่นมือไปตบไหล่สหายรัก “อย่าเอาแต่ทำหน้าเคร่งอยู่เลย ข้าเห็นเฉียวโม่สวมหน้ากากแล้วพอดูได้ เสด็จลุงของข้าคงไม่ขุ่นเคืองพระทัย เหตุไฟไหม้เรือนสกุลเฉียวรู้ผลลัพธ์แล้ว อาจารย์เฉียวผู้ล่วงลับก็เป็นจอมปราชญ์นามกระเดื่องทั่วหล้า วันนี้ที่เรียกตัวเขาเข้าวังเดิมทีก็มีนัยอยากปลอบใจแฝงอยู่ ฮ่องเต้ไม่น่าจะทรงสร้างความลำบากใจให้เขา”
ถึงกระนั้นเอ่ยถึงพฤติกรรมของเสด็จลุงฮ่องเต้แล้วล่ะก็ เขาจาระไนไม่หมดจริงๆ เรื่องที่เล่นงานคนเพราะแค่ขัดนัยน์ตาเคยกระทำไว้มิใช่น้อยๆ
แน่นอนว่าถ้อยคำพรรค์นี้เขาไม่จำเป็นต้องพูดออกมาให้เสียอารมณ์ ในวังกับนอกวังเป็นคนละโลกกัน เรื่องในวังหลวงใครก็ยื่นมือเข้าไปไม่ได้ พูดไปก็ป่วยการเปล่า
“เข้าไปรอข้างในเถอะ” เซ่าหมิงยวนพูดจบแล้วมองไปทางเฉียวเจา “คุณหนูหลี ข้ามิสู้จัดคน…”
“อืม ประเดี๋ยวต้มยาเสร็จก็สมควรแก่เวลากินอาหารแล้วเจ้าค่ะ”
เซ่าหมิงยวนอ้าปากแล้วหุบปาก
เอาเถอะ ยังต้องเลี้ยงอาหารด้วย
อาหารกลางวันยังนับว่าพร้อมพรั่ง น่าเสียดายที่กินไปได้กลางคันก็มีองครักษ์เข้ามารายงานอย่างร้อนรน
“ท่านแม่ทัพ คุณชายเฉียวถูกจับเข้าคุกหลวงแล้วขอรับ”