หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 274
บทที่ 274
บุรุษที่มารุมตอมพวกนี้ เฉียวเจาไม่ต้องการทั้งนั้น ตอนนี้นางอยากรู้ที่สุดคือเซ่าหมิงยวนสืบถามสถานการณ์ของพี่ใหญ่ได้หรือไม่
ฉือชั่นเห็นสีหน้าของเฉียวเจานิ่งเรียบแล้วว้าวุ่นใจชอบกล ส่งผลให้เขาบีบมือแรงขึ้นโดยไม่รู้ตัว
เฉียวเจาดึงความคิดคืนมาแล้วสบตากับฉือชั่น ในดวงตาเขานางเห็นแวววาดหวังและหวาดหวั่น
เฉียวเจาเพิ่งแจ่มแจ้งในบัดดลว่าที่แท้ตลอดเวลาที่ผ่านมาฉือชั่นพูดประชดประชันจับผิดเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกชมชอบนี้นั่นเอง
ท่านปู่เคยบอกว่าพวกเราไม่รับรักจากคนผู้หนึ่งได้ แต่ต้องรู้จักให้เกียรติความรักของเขา เพราะความรู้สึกที่ไม่ว่าใครก็ตามทุ่มเทให้ล้วนเป็นสิ่งดีงาม ไม่แบ่งแยกสูงศักดิ์ต่ำต้อย
“พี่ฉือ ข้าไม่คิดจะออกเรือนเจ้าค่ะ” เฉียวเจาพูดจากใจจริง
“ไม่ออกเรือน?” ฉือชั่นคิดไม่ถึงว่าที่รอเขาอยู่คือคำตอบเช่นนี้
เฉียวเจาผงกศีรษะ “ใช่ ฉะนั้นพี่ฉืออย่าสิ้นเปลืองเวลากับข้าเลยเจ้าค่ะ”
หยางโฮ่วเฉิงที่ฟังอยู่ด้านข้างอ้าปากหวอ
คุณหนูหลีไม่คิดออกเรือน?
นางเพิ่งอายุเท่าไรกัน ถึงกับพูดว่าชาตินี้จะไม่ออกเรือน
สือซีเอ๋ย ถึงแม้วันนี้เจ้าทำไม่ถูก แต่ในฐานะสหายรักยังคงหวังว่าเจ้าจะไม่ถูกหลอกลวงนะ พวกพี่สาวน้องสาวของข้าก็ชอบพูดบ่อยๆ ว่าจะอยู่ข้างกายท่านพ่อท่านแม่ไม่ออกเรือนตลอดชาติ ผลปรากฏว่าพออายุชักมากขึ้นล้วนรู้สึกว่าโดนถ่วงรั้งไว้เสียแล้ว
หยางโฮ่วเฉิงส่งสายตาให้ฉือชั่นอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่เขาไม่สังเกตเห็น เพียงเอาแต่ทำท่าทางครุ่นคิดอย่างจริงจัง
ฉือชั่นตรึกตรองครู่หนึ่งแล้วคลายมือออก “ไม่ออกเรือนก็อยู่ด้วยกันได้”
เฉียวเจาอึ้งงัน “…” ไม่ค่อยเข้าใจ ความหมายของเขาคืออยากให้ข้าเป็นนางบำเรอใช่หรือไม่
ท่านปู่มิได้บอกนางว่าความรักเช่นนี้ยังจำเป็นต้องให้เกียรติหรือไม่กันแน่ จริงๆ แล้วนางเริ่มบังเกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากตบหน้าเจ้าคนผู้นี้สักฉาด
หยางโฮ่วเฉิงตกใจจนชาชินไปแล้ว เขาตะกายตัวลุกขึ้นในที่สุด “ไม่ใช่นะ สือซี วันนี้เจ้ายังตื่นไม่เต็มตาใช่หรือไม่”
อย่าว่าแต่คุณหนูหลียังเป็นบุตรสาวของอาลักษณ์ในสำนักราชบัณฑิต ต่อให้เป็นหญิงสาวชาวบ้านทั่วไป เอ่ยปากบอกให้นางเป็นนางบำเรออย่างนั้นก็ต้องโดนถ่มน้ำลายรดหน้าเช่นกัน
“เจ้าพูดจาส่งเดชอะไรของเจ้า” ฉือชั่นตวัดสายตามองหยางโฮ่วเฉิงอย่างปึ่งชา
ช่วงเวลาที่สำคัญอย่างนี้ของชีวิตเขา ไฉนมักมีคนทำให้เรื่องยุ่งยากขึ้นอยู่ร่ำไป
“เป็นเจ้าที่พูดจาส่งเดชมากกว่า เจ้าอยากให้คุณหนูหลีเป็นนางบำเรอหรือ”
“นางบำเรอ? พูดอะไรบ้าบอไร้สาระ” ฉือชั่นขมวดคิ้ว
หยางโฮ่วเฉิงชี้ฉือชั่นแล้วค่อยชี้ไปที่เฉียวเจา “ไม่แต่งงานแต่อยู่ด้วยกัน นี่มิใช่นางบำเรอแล้วคืออะไร”
ฉือชั่นเพิ่งตระหนักได้ภายหลังว่าคำกล่าวเมื่อครู่นี้ทำให้คนตีความผิดได้ง่ายจริงๆ แต่เขาไม่ได้หมายความเช่นนี้แท้ๆ เขาแค่เห็นว่าถ้าหลีซานจะไม่ออกเรือนแน่ๆ เช่นนั้นเขาก็ไม่ตบแต่งภรรยา ขอเพียงเขากับนางได้อยู่ด้วยกันก็พอแล้ว
อันที่จริงก่อนจะพบกับหลีซาน เขาก็ไม่สนใจอยากแต่งงานแต่แรกอยู่แล้ว
ฉือชั่นพิศดูสีหน้าของเฉียวเจาพลางคิดในใจ ดูเหมือนนางจะโกรธแล้ว
“หลีซาน ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น ความจริงข้าเป็น…” ข้าเป็นนายบำเรอของเจ้าก็ได้นะ ขอแค่ได้อยู่ด้วยกัน
น่าเสียดายที่ถ้อยคำของชายหนุ่มถูกเฉียวเจาตัดบท “พี่ฉือ เป็นข้าที่ไม่พูดให้กระจ่างเอง ข้าอยากอยู่คนเดียว ไม่คิดจะอยู่กับใครทั้งนั้น”
เหตุไฟไหม้ในครอบครัวนางมีเงื่อนงำซับซ้อน พี่ชายยังโดนจับเข้าคุกหลวงจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรมิอาจคาดเดา อีกทั้งเบื้องหลังเรื่องนี้ซ่อนเร้นความจริงใดไว้กันแน่ และจะมีอันตรายอะไรบ้างก็ล้วนยังไม่ล่วงรู้ นางจะมีแก่จิตแก่ใจไปใคร่ครวญเรื่องอื่นได้เช่นไร
ยังไม่เอ่ยถึงว่านางมีความรู้สึกฉันสหายกับฉือชั่นเท่านั้น ถึงจะเป็นความรักฉันชายหญิง นางก็ไม่มีทางฉุดเขาลงมาในบ่อโคลนเช่นนี้
“ใครทั้งนั้นหรือ”
“ใช่ ไม่ว่าใครทั้งนั้น” ยามเฉียวเจากล่าวคำนี้ เงาร่างคนผู้หนึ่งวาบผ่านเข้ามาในห้วงความคิด ใบหน้าของคนผู้นั้นซีดขาวจนเกินกว่าเหตุ แต่กลับไม่ลดทอนรัศมีความห้าวหาญผ่าเผย เรือนกายก็ยังสวยงามสมส่วนยิ่ง…
เอ่อ…ข้าคิดไปถึงที่ใดกันล่ะนี่
เฉียวเจาดึงความคิดที่เตลิดเพริดไปอย่างควบคุมไม่อยู่กลับมา
ไม่ว่าใครก็ตามอย่างแน่นอน นางเคยเป็นภรรยาของเซ่าหมิงยวนมาแล้วครั้งหนึ่ง น่าเบื่อเหลือแสน
ฉือชั่นเปล่งเสียงหัวร่อเบาๆ
เฉียวเจามองเขาอย่างสงบนิ่ง
“หลีซาน” ฉือชั่นเรียกคำหนึ่ง
ชะรอยว่าสารภาพความในใจไปแล้ว ความรู้สึกอันลึกซึ้งที่ถั่งโถมใส่อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนพวกนั้นทำให้ยามเขาเอื้อนเอ่ยคำเรียกขานว่า ‘หลีซาน’ ออกจากปากฟังดูอ่อนโยนกว่าปกติอย่างบอกไม่ถูก
หยางโฮ่วเฉิงสะดุ้งเฮือก น่าอึดอัดใจนัก เพราะอะไรในเวลานี้เซ่าหมิงยวนกับจูเยี่ยนล้วนไม่อยู่ด้วยนะ ในสภาพการณ์เช่นนี้เขาควรทำอย่างไรกันแน่
จะห้ามดีหรือไม่ห้ามดี
ในใจคุณชายหยางเอ้อร์ขัดแย้งกันชั่วครู่แล้วเลือกที่จะมองดูเงียบๆ
ฉือชั่นยื่นมือไปคิดจะลูบเส้นผมสีดำขลับของเฉียวเจา แต่สุดท้ายก็หดคืนไปแล้วพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ “เจ้าจงจำไว้ว่าข้าไม่ใช่ใครทั้งนั้น ข้าคือฉือชั่น”
กล่าวจบฉือชั่นไม่รอดูท่าทีของเฉียวเจา เขาย่างเท้าเดินออกไปข้างนอกทันที
ในห้องเหลือเพียงเฉียวเจากับหยางโฮ่วเฉิง
เขาเกาท้ายทอยพลางเอ่ย “คุณหนูหลี ข้าอยู่หรือไม่จริงๆ แล้วไม่สำคัญสักนิด ท่านถือเสียว่าวันนี้ไม่มีข้าอยู่ก็แล้วกัน”
หยางโฮ่วเฉิงกล่าวคำนี้ทิ้งไว้แล้วก้าวขาวิ่งไปเลย
ถ้อยคำนั้นยังวนเวียนอยู่ในห้วงความคิดของหญิงสาว เจ้าจงจำไว้ว่าข้าไม่ใช่ใครทั้งนั้น ข้าคือฉือชั่น
นางกดๆ หว่างคิ้วอย่างละเหี่ยใจ
ดังนั้นสิ่งที่นางพูดพวกนั้นล้วนเปลืองน้ำลายแล้วใช่หรือไม่
หยางโฮ่วเฉิงก้าวออกมาก็เห็นสหายรักยืนทอดสายตามองไปยังที่ไกลอยู่เงียบๆ ตรงระเบียงทางเดิน
เขาเดินไปหาฉือชั่นแล้วยืนเคียงข้างกัน “สือซี วันนี้เจ้าโดนผีเข้าแล้วกระมัง”
ฉือชั่นแทบโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ เขาสารภาพรักอย่างจริงจังเช่นนี้ คนเป็นสหายไม่ประทับใจก็ช่างเถิด ยังบอกว่าเขาโดนผีเข้าอีก
เพราอะไรเขาถึงคบหาแต่สหายแย่ๆ หรือไร
“ข้าพูดจริงๆ นะสือซี คุณหนูหลียังอายุไม่ถึงสิบสี่…”
ฉือชั่นปรายตามองหยางโฮ่วเฉิงอย่างเย็นชา “ข้าผ่านเวลาที่ยังไม่ย่างสิบสี่มาเหมือนกัน ตอนนี้ก็เติบใหญ่แล้วไม่ใช่หรือ นางยังอายุไม่ถึงสิบสี่แล้วอย่างไร ข้ารอได้”
สิบสี่ปี สิบห้าปี สิบหกปี…
“ตราบเท่าที่นางไม่ออกเรือน ข้าสามารถรอไปได้เรื่อยๆ”
“แล้วถ้านางออกเรือนล่ะ” ได้ยินคำนี้ของสหายรัก จิตใจของหยางโฮ่วเฉิงชักหนักอึ้งชอบกล
เมื่อครู่เขามองอยู่ด้านข้าง ดูไม่ออกว่าคุณหนูหลีมีจิตปฏิพัทธ์ต่อสือซีแม้แต่เศษเสี้ยว
หัวใจของฉือชั่นคล้ายถูกบีบรัดคราหนึ่ง แต่เขายังพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เช่นนั้นคนที่แต่งงานกับนางต้องเป็นข้าแน่นอน”
หยางโฮ่วเฉิงยกนิ้วโป้งขึ้น อย่าเพิ่งสนใจว่าจะกลายเป็นความจริงได้หรือไม่ เขานับถือความมั่นใจในตนเองของสหายรัก
เฉียวเจาซึ่งยืนอยู่หน้าประตูได้ยินคำกล่าวของฉือชั่นเต็มสองหู นางหมุนกายเดินกลับไปเงียบๆ
สองคนยืนอยู่นอกเรือน หนึ่งคนนั่งอยู่ในเรือน เวลาล่วงผ่านไปอย่างเชื่องช้าท่ามกลางความร้อนรุ่มใจ