หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 275
บทที่ 275
เซ่าหมิงยวนพบหน้ากับเจียงถังผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลินที่หอชุนเฟิง
“ท่านโหวเรียกข้ามาที่นี่เพราะเรื่องของคุณชายเฉียวหรือ” เจียงถังเอ่ยถามตรงเข้าเรื่องทันที
ชายหนุ่มรินน้ำชาถ้วยหนึ่งเองกับมือแล้วยื่นให้เขา “ท่านผู้บัญชาการใหญ่เป็นคนตรงไปตรงมา ข้าก็ไม่พูดตามมารยาทแล้ว ข้าอยากรู้ว่าพี่ชายภรรยาข้าทำให้ฮ่องเต้ทรงพิโรธด้วยเหตุใดกันแน่”
“พระทัยฮ่องเต้ยากหยั่งเดา เรื่องนี้ตามหลักแล้วไม่พึงกล่าวสุ่มสี่สุ่มห้า แต่ในเมื่อท่านโหวเอ่ยถาม เช่นนั้นข้าก็จะกล่าวส่งเดชสักหลายคำ ท่านโหวฟังไว้เท่านั้นเป็นพอ”
“ข้าจดจำไมตรีของท่านผู้บัญชาการใหญ่ไว้ในใจแล้ว เชิญท่านพูด”
เมื่อมีคำกล่าวนี้ของเซ่าหมิงยวน เจียงถังแย้มยิ้มแล้วถึงเล่าเบื้องลึกเบื้องหลังของเรื่องนี้ออกมา “เหตุผลที่คุณชายเฉียวหมิ่นพระเกียรติ เพราะว่านำสมุดบัญชีที่พิสูจน์ว่าสิงอู่หยางแม่ทัพคั่งวอ* ยักยอกเบี้ยหวัดทหารขึ้นทูลถวาย”
“สิงอู่หยาง” สำหรับเซ่าหมิงยวนแล้ว นามนี้หาได้แปลกหูไม่
เซ่าหมิงยวนกับสิงอู่หยาง คนหนึ่งรบรากับชาวต๋าจื่ออยู่ทางทิศเหนือ คนหนึ่งทำศึกกับชาววอโค่วอยู่ทางทิศใต้ ในบรรดาเหล่าแม่ทัพนายกองของต้าเหลียง ทั้งสองเปรียบดั่งเสาหินกลางน้ำเชี่ยว
สิงอู่หยางอยู่ในวัยราวสี่สิบปี หากว่ากันถึงชื่อเสียงบารมี เปรียบกับเซ่าหมิงยวนซึ่งแทบมิเคยพ่ายศึกจนสร้างชื่อแต่วัยหนุ่มแล้วยังด้อยกว่าบ้าง
เซ่าหมิงยวนคิดไม่ถึงว่าเฉียวโม่จะมีหลักฐานที่สิงอู่หยางยักยอกเบี้ยหวัดทหารอยู่ในมือ
ครั้นนึกถึงคำวิพากษ์วิจารณ์ฮ่องเต้ของฉือชั่น เขาเดาได้ไม่ยากว่าเหตุใดพระองค์ถึงกริ้วจัด
ชาววอโค่วที่อยู่เลียบชายทะเลทิศใต้พวกนั้นโหดเหี้ยมอำมหิตไม่ย่อหย่อนไปกว่าชาวต๋าจื่อแห่งเป่ยฉี กอปรกับทหารต้าเหลียงไม่เชี่ยวชาญการรบทางน้ำ เมื่อแรกที่ทำศึกกับชาววอโค่วแทบจะรับมือไม่ไหว กระนั้นนับแต่สิงอู่หยางถูกโยกย้ายไปเป็นแม่ทัพคั่งวอ มาตรว่าหลายปีมานี้ไม่อาจขับไล่ข้าศึกไปได้ แต่อย่างน้อยก็ฝืนต้านทานไว้ได้
บนโต๊ะทรงพระอักษรของฮ่องเต้หมิงคังไม่มีรายงานสถานการณ์รบจากแดนใต้ที่โดนชาววอโค่วรุกรานอย่างกำเริบเสิบสานปรากฏให้เห็นบ่อยๆ อีกต่อไป ปลดเปลื้องปัญหาการศึกที่น่าปวดเศียรเวียนเกล้า ให้พระองค์ได้ตั้งหน้าตั้งตาแสวงหาชีวิตอมตะในที่สุด ทว่าตอนนี้กลับมีคนกล้าแตะต้องสิงอู่หยาง พระองค์ไม่ทรงพิโรธโกรธกริ้วถึงเป็นเรื่องแปลก
“เช่นนั้นท่านผู้บัญชาการใหญ่จะช่วยเปิดทางสะดวกให้ข้าได้พบพี่ชายของภรรยาสักครั้งได้หรือไม่”
“เรื่องนี้…” เจียงถังลังเลใจ แม้ว่าเขาจะแสดงไมตรีกับกวนจวินโหวลับหลัง แต่ความจงรักภักดีต่อฮ่องเต้ของเขาก็ไม่เปิดช่องให้ใครท้วงติงได้ ฮ่องเต้เพิ่งส่งคนเข้าคุกหลวง เขาก็ปล่อยคนเข้าไปเยี่ยม มันจะไม่เหมาะไม่ควร
“วันนี้ไม่ใคร่สะดวก เอาอย่างนี้เถอะ พรุ่งนี้ข้าจะจัดการให้แม่ทัพเซ่าเข้าไปเยี่ยมเอง”
“ขอบคุณท่านผู้บัญชาการใหญ่ หวังว่าท่านจะช่วยสอดส่องดูแลพี่ชายของภรรยาข้าสักหน่อย ร่างกายเขาไม่ค่อยแข็งแรง”
“เรื่องนี้ท่านโหววางใจได้เต็มที่” พวกเขาองครักษ์จินหลินปฏิบัติงานตามพระราชประสงค์ ฮ่องเต้มิได้เผยท่าทีอยากทรมานเฉียวโม่ให้สาสม พวกเขาย่อมไม่กระทำการใดส่งเดชแน่นอน
เซ่าหมิงยวนวางถ้วยน้ำชาลงแล้วประสานมือ “ถ้าอย่างนั้นขอบคุณท่านผู้บัญชาการใหญ่ขอรับ บุญคุณที่ท่านยื่นมือช่วยในวันนี้ ข้าจะจดจำไว้ในใจไม่ลืมเลือน”
“ท่านโหวเกรงใจไปแล้ว เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น” เจียงถังหยักยิ้มอย่างพึงพอใจ
ผู้ที่ก้าวขึ้นมาถึงตำแหน่งยศศักดิ์เฉกพวกเขา แก้วแหวนเงินทองอันใดก็เทียบไม่ได้กับวาจาที่มีน้ำหนักคำหนึ่งเยี่ยงนี้
เซ่าหมิงยวนกล่าวเช่นนี้ได้ อย่างน้อยวันหน้าถ้าเขาตกที่นั่งลำบาก อีกฝ่ายจะไม่นิ่งเฉยดูดายแน่
ทั้งคู่มีศักดิ์ฐานะที่ส่งผลต่อดุลอำนาจได้ง่าย จึงไม่เหมาะสมที่จะพบปะกันนานๆ เจียงถังจึงกล่าวอำลาอย่างรวดเร็ว ส่วนเซ่าหมิงยวนกลับไปที่จวนกวนจวินโหว
พอได้ยินเสียงพวกฉือชั่นเรียกขานเซ่าหมิงยวน เฉียวเจาก็รีบวิ่งออกไป
ทั้งสามหันหน้ามาพร้อมกัน
หญิงสาวสงบอกสงบใจครู่หนึ่งถึงยกชายกระโปรงเดินเข้าไปถามอย่างเปิดเผย “แม่ทัพเซ่า สอบถามได้ความแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ ตกลงว่าเพราะอะไรพี่เฉียวถึงทำให้ฮ่องเต้กริ้วกันแน่ แล้วตอนนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง”
สีหน้าของฉือชั่นขรึมลงเล็กน้อย เขาอยากอุดปากแม่นางน้อยผู้นี้ไว้เหลือเกิน จะได้ไม่ต้องได้ยินนางพูดแสดงความห่วงใยบุรุษอื่นอีก
“เข้าเรือนแล้วค่อยคุยกันเถอะ”
ทั้งสี่คนเดินเข้าไปในเรือนด้วยกันแล้วต่างคนต่างนั่งลง
จากนั้นมีองครักษ์ยกน้ำชามาวางให้แล้วถอยออกไปอย่างเงียบๆ
ในเวลานี้เองเซ่าหมิงยวนถึงอ้าปากกล่าว “ได้เรื่องแล้ว พี่เฉียวโม่ทำให้ฮ่องเต้กริ้วเพราะฟ้องร้องสิงอู่หยางยักยอกเบี้ยหวัดทหาร”
“สิงอู่หยาง…” เฉียวเจาพึมพำทวนสามคำนี้ “สิงอู่หยางที่เป็นแม่ทัพคั่งวอผู้นั้นหรือเจ้าคะ”
เซ่าหมิงยวนหันไปมองนางแล้วพยักหน้า “อื้อ เป็นเขา”
ว่าไปแล้วเหตุใดคุณหนูหลียังไม่กลับไปอีก แต่เขาไม่กล้าพูด
ฉือชั่นยกมือนวดหว่างคิ้ว กล่าวเสียงทอดถอนใจ “ทีนี้ยุ่งยากเสียแล้ว”
“ไฉนถึงยุ่งยาก” หยางโฮ่วเฉิงถามขึ้น
“รู้หรือไม่ว่าเสด็จลุงของข้าทรงกลัวอะไรที่สุด”
“ก่อนหน้านี้เจ้าเคยบอกแล้วว่าทรงกลัวราชสำนักไม่มั่นคงที่สุด” หยางโฮ่วเฉิงตอบ
“ใช่น่ะสิ พระองค์ทรงกลัวความวุ่นวายที่สุด พวกขุนนางฝ่ายบุ๋นล้วนมิใช่ปัญหา อย่างมากก็แบ่งพรรคแบ่งพวก ขับเคี่ยวกันด้วยเล่ห์เหลี่ยมในที่ลับ จะวุ่นวายก็วุ่นวายไปได้ไม่ถึงที่ใด แต่ว่าแม่ทัพต่างออกไป ถ้าเป็นคนอื่นก็แล้วกันไปเถอะ แต่นี่คนหนึ่งคือสิงอู่หยาง คนหนึ่งคือถิงเฉวียน พวกเขาสองคนพิทักษ์รักษาดินแดนเหนือใต้ แผ่นดินถึงสงบมั่นคงอย่างทุกวันนี้ พูดได้ว่าตราบใดที่พวกเขาสองคนไม่กระทำความผิดร้ายแรงอย่างเช่นก่อกบฏ เสด็จลุงของข้าจะไม่ถือสาหาความเลย”
ฉือชั่นพูดพลางกวาดตามองผ่านทุกคนไปหยุดที่ใบหน้าของเฉียวเจาเป็นคนสุดท้าย เขาแค่นเสียงฮึในใจอย่างสุดระงับ แม่นางน้อยน่าชัง เมื่อครู่ตอนข้าสารภาพรักทำใจลอย ตอนนี้เอ่ยถึงเรื่องบุรุษอื่นกลับฟังอย่างตั้งใจเช่นนี้
สายตาของเขาจับไปที่ใบหน้าของเด็กสาวอยู่นานจนลืมพูดต่อไปในชั่วขณะ คนเฉียบไวเฉกเซ่าหมิงยวนย่อมสังเกตเห็นได้อย่างว่องไว
เหตุใดสือซีมองคุณหนูหลีอย่างนี้ ระหว่างที่เขาออกไปเกิดเรื่องอะไรขึ้น เขาอดมองไปทางหยางโฮ่วเฉิงไม่ได้
หยางโฮ่วเฉิงขยิบตาบอกว่าประเดี๋ยวค่อยคุยกัน
เซ่าหมิงยวนพยักหน้าเบาๆ เป็นเชิงว่าเข้าใจ
“เหตุใดพี่ฉือไม่พูดต่อเจ้าคะ” เฉียวเจาถาม
ฉือชั่นถึงหลุดจากภวังค์ แต่กลับไม่รู้สึกกระดากใจอันใด เขากระแอมกระไอให้คอโล่งก่อนพูด “ดังนั้นคุณชายเฉียวหมายจะฟ้องร้องสิงอู่หยางยักยอกเบี้ยหวัดทหารก็ต้องโดนรังเกียจเดียดฉันท์เป็นแน่”
“พี่ฉือจะบอกว่าฮ่องเต้ไม่ใส่พระทัยที่ขุนนางฉ้อโกง?”
ฉือชั่นหัวเราะขลุกขลัก “พวกเจ้านึกว่าขุนนางใหญ่เหล่านั้นยักเงินเข้าพกเข้าห่อบ้าง ฮ่องเต้ไม่ทรงทราบหรือ ความจริงเสด็จลุงของข้ารู้แจ้งแก่ใจทั้งนั้น”
คนทั่วหล้าต่างคิดว่าฮ่องเต้หมิงคังฝักใฝ่ชีวิตอมตะ เป็นหนอนเลอะเลือนที่โดนพวกขุนนางทุจริตปิดหูปิดตา แท้จริงแล้วตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง
ฮ่องเต้หมิงคังอ่านสถานการณ์ได้แจ่มชัดเหลือเกินต่างหาก ถึงอย่างไรขุนนางส่วนใหญ่ล้วนต้องคดโกง ไยต้องไล่สะสางเรื่องแล้วเรื่องเล่าเหมือนถอนวัชพืชที่ไม่มีวันหมด
อันว่าทำเรื่องไม่ชำนาญมิสู้ทำงานถนัด ขอแค่พวกขุนนางทำหน้าที่ของตนให้ดี ไม่ถ่วงเวลาเขาแสวงหาความเป็นอมตะก็พอ
ฉือชั่นพินิจพิเคราะห์ความคิดอ่านของฮ่องเต้หมิงคังได้ปรุโปร่งมานานแล้ว แต่อีกสามคนได้ยินถ้อยคำนี้แล้วต่างหนาวเหน็บใจไปตามๆ กัน
เฉียวเจาคิดคำนึงอย่างเยาะหยัน
นี่หรือผู้ครองแผ่นดินต้าเหลียง มิน่าท่านปู่ถึงละทิ้งตำแหน่งไม่เป็นขุนนางแต่แรก ขอหันหน้าเข้าสู่ป่าเขาธรรมชาติยังจะดีกว่า
ปิดแผลไว้ไม่สะกิดเปิดออก มันจะไม่มีวันกลัดหนองจริงหรือ ทำเช่นนี้แล้วบ้านเมืองมั่นคงสันติได้?
มาบัดนี้แน่ใจได้แล้วว่าเหตุเพลิงไหม้ในเรือนต้องเกี่ยวข้องกับสมุดบัญชีในมือพี่ใหญ่เล่มนั้นเป็นแน่แท้
ไฉนครอบครัวข้าไม่ได้รับความเป็นธรรมถึงเพียงนั้น สิ่งที่พี่ใหญ่เสี่ยงตายรักษาไว้และต้องแลกด้วยชีวิตของคนทั้งครอบครัว เมื่อมีโอกาสนำขึ้นถวายถึงโต๊ะทรงพระอักษร กลับต้องลงเอยด้วยการถูกตีตรวนจำคุก มันช่างน่าขันปานใด
ข้าต้องช่วยพี่ชายออกมาให้ได้
หลังนิ่งเงียบไป เซ่าหมิงยวนเอ่ยปากขึ้น “เจียงถังรับปากว่าพรุ่งนี้จะจัดการให้ข้าไปพบพี่เฉียวโม่”
“ข้าไปด้วยเจ้าค่ะ”
อีกสามคนหันไปมองนางพร้อมกัน
เฉียวเจามองแต่เซ่าหมิงยวน “แม่ทัพเซ่า พรุ่งนี้พาข้าไปด้วยเถอะ ร่างกายของพี่เฉียวไม่ค่อยดีมาโดยตลอด ข้ากลัวเข้าอยู่ในที่เช่นนั้นจะทนไม่ไหว”
พอเห็นเซ่าหมิงยวนไม่พูดไม่จา ในดวงตานางฉายรอยวิงวอนมากขึ้นหลายส่วน “แม่ทัพเซ่า พาข้าไป”
ใต้ตาเด็กสาวมีรอยคล้ำชัดเจน แววตาอ้อนวอนของนางละม้ายผิวน้ำกระเพื่อมไหวในวสันตฤดู สั่นสะเทือนไปถึงกลางใจผู้อื่นได้
เซ่าหมิงยวนพลันประจักษ์ว่าการปฏิเสธคำขอร้องนี้มิใช่เรื่องง่าย
อันที่จริงก็ไม่มีอะไรไม่ได้ แค่พานางไปที่คุกหลวงครั้งหนึ่ง ในเมื่อนางอยากไปและไม่เหลือบ่ากว่าแรงของเขา เช่นนั้นก็ย่อมได้
“ตกลง” เซ่าหมิงยวนพยักหน้าเบาๆ
เฉียวเจาเผยรอยยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
เพลานี้เสียงเย็นๆ เสียงหนึ่งดังขึ้น “ข้าไปด้วย”
* คั่งวอ หมายถึงต้านทานชาววอโค่ว