หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 279
บทที่ 279
ยังต้มยาไม่เสร็จ เซ่าหมิงยวนก็มาเรียกพวกเฉียวเจาให้ไปได้แล้ว
เฉินกวงยื่นอาภรณ์บุรุษชุดหนึ่งในมือส่งให้ปิงลวี่ “ท่านแม่ทัพบอกให้คุณหนูสามเปลี่ยนใส่ชุดนี้”
“นี่เป็นของท่านแม่ทัพของเจ้าหรือ”
“ไม่ใช่ ของใหม่”
“อย่างนี้ค่อยยังชั่ว แล้วของข้าล่ะ” ปิงลวี่รับอาภรณ์ไว้
“เตรียมแค่ชุดหนึ่ง เจ้าน่าจะไม่ต้องไปกระมัง” เฉินกวงพูดอย่างไม่มั่นใจ
“เรื่องอะไรข้าถึงไม่ไป ข้าต้องปรนนิบัติคุณหนู” ปิงลวี่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด วิ่งตึงๆ ไปต่อว่าเซ่าหมิงยวน
“แม่ทัพเซ่า ท่านให้เฉินกวงเตรียมอาภรณ์บุรุษชุดเดียว ไม่มีของข้าหรือเจ้าคะ”
สีหน้าของเซ่าหมิงยวนสงบนิ่ง “มีแต่คุณหนูหลีที่ไป”
“เช่นนั้นจะได้อย่างไร คุณหนูของข้าไปยังสถานที่เช่นนี้ ถ้าเกิดประสบอันตรายจะทำฉันใดเจ้าคะ” ปิงลวี่ฟังแล้วร้อนใจยิ่ง
“อันตราย?” รอบกายชายหนุ่มแผ่รัศมีอำมหิตทันใด เขาชายตามองปิงลวี่ กล่าวเสียงเรียบ “ไม่มีทาง”
ปิงลวี่ไม่เคยเห็นเซ่าหมิงยวนมีสีหน้าเฉกนี้ นางอ้าปากแล้วหุบปากอย่างยำเกรงชอบกล ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี สุดท้ายกอดอาภรณ์ในอ้อมแขนแน่นขึ้นหันหลังกลับไป
เฉียวเจาผลัดชุดเป็นอาภรณ์บุรุษอย่างว่องไว ยามเดินออกมาก็คือหนุ่มน้อยรูปงามเกลี้ยงเกลาผู้หนึ่ง
“พี่ชายทั้งสอง ไปกันได้แล้วหรือยัง”
“อัปลักษณ์” ฉือชั่นขมวดคิ้ว
เซ่าหมิงยวนแย้มยิ้ม “ก็ดีนี่”
ทั้งสามออกจากจวนกวนจวินโหวเข้าไปในคุกหลวงตามที่เจียงถังผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลินจัดแจงไว้ให้
คุกหลวงตั้งอยู่ใต้ดิน ขณะที่ย่ำบันไดลงไปทีละขั้นๆ ทั้งที่เป็นกลางฤดูร้อน กลับมีกลิ่นอายเย็นยะเยือกลอยมาปะทะใบหน้าระลอกหนึ่ง เมื่อไปถึงด้านล่างยิ่งมีกระไอความชื้นมากขึ้นทำให้รู้สึกไม่สบายตัวเป็นพิเศษ
สภาพโดยรอบอย่างนี้ต่อให้เป็นชายหนุ่มร่างกายแข็งแรง นานวันเข้าสุขภาพก็ต้องทรุดโทรมลง เฉียวเจานึกถึงว่าพี่ชายอยู่ที่นี่มาราตรีหนึ่งแล้วก็สงสารจับใจ
ผู้คุมที่นำทางหยุดฝีเท้า ท่าทางพินอบพิเทา “ท่านโหว คุณชายเฉียวอยู่ในนี้ขอรับ”
เบื้องหน้าของคนทั้งสามเป็นห้องขังที่กั้นไว้ด้วยซี่กรงเหล็ก มาตรว่าบุรุษข้างในจะสวมชุดนักโทษ แต่แผ่นหลังเหยียดตรงดังเคย
เขาได้ยินเสียงสนทนาก็หมุนกายมาเอ่ยด้วยน้ำเสียงหลากใจน้อยๆ “ท่านโหว?”
เฉียวเจาเอามือจับซี่กรงไว้อย่างสุดระงับ
พี่ใหญ่…
นางอ้าปากทว่ามิได้เปล่งเสียง เพียงแอบเรียกขานอยู่ในใจ
“จะเปิดทางสะดวกให้พวกข้าเข้าไปพูดคุยกันได้หรือไม่” เซ่าหมิงยวนถามผู้คุม
“เรื่องนี้…” ผู้คุมทำหน้าลำบากใจ มองไปทางองครักษ์จินหลินที่มาเป็นเพื่อนพวกเซ่าหมิงยวน
องครักษ์จินหลินปริปาก “ไม่ได้ยินที่ท่านโหวกล่าวรึ”
“ได้ขอรับ” ผู้คุมรีบพยักหน้า ก่อนจะล้วงกุญแจออกมาเปิดประตูห้องขัง
“ขอบคุณมาก” เซ่าหมิงยวนกล่าวขอบคุณอย่างสุภาพก่อนก้มตัวเดินเข้าไป
เฉียวเจากับฉือชั่นตามหลังเข้าไปติดๆ
“พี่เฉียวโม่ เป็นอย่างไรบ้าง ร่างกายไม่สบายตรงใดหรือไม่” เซ่าหมิงยวนย่อกายลง
เฉียวโม่หยักยิ้ม “พอไหว เรื่องกินไม่นับว่าแย่ เรื่องอยู่ก็เป็นห้องขังเดี่ยว ดีที่ได้ท่านโหวคอยดูแล”
“พี่เฉียวโม่พูดคำนี้เห็นเป็นคนอื่นคนไกลแล้ว”
เฉียวโม่หลุบตาลงยิ้มขื่นๆ “ท่านโหวไม่ตำหนิโทษข้าที่มีเรื่องปิดบังก็ดีแล้ว”
“ข้ารู้ว่าพี่เฉียวโม่ต้องมีความจำเป็นบังคับแน่นอน”
เฉียวโม่เหลือบตาขึ้นมองเฉียวเจากะทันหัน
นางตกประหม่าอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย จนกำมือเป็นหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว
“ขอบคุณคุณหนูหลีกับคุณชายฉือที่มาเยี่ยมข้า” เฉียวโม่ยิ้มอย่างเย็นชา
“พี่เฉียวไม่เป็นไร ข้า…พวกข้าก็วางใจแล้ว พี่เฉียวทำใจให้สบายๆ พวกข้าจะช่วยท่านออกไปเอง”
เฉียวโม่กล่าวขอบคุณด้วยรอยยิ้มบางๆ ดึงสายตากลับแล้วเอ่ยกับเซ่าหมิงยวน “ท่านโหว ข้ามีบางอย่างอยากพูดกับท่านตามลำพัง”
เซ่าหมิงยวนมองไปทางฉือชั่นกับเฉียวเจา
“ข้าพานางออกไปรอเจ้า” ฉือชั่นยื่นมือไปสะกิดเฉียวเจาทีหนึ่ง “ไปเถอะ”
ในใจหญิงสาวขมขื่น แต่ไม่กล้าแสดงออกทางสีหน้าแม้สักเศษเสี้ยว นางหยิบถุงผ้าปักเล็กๆ ใบหนึ่งออกจากแขนเสื้อยื่นส่งให้ “พี่เฉียวเจ้าคะ ในถุงผ้าปักมียาลูกกลอนบำรุงร่างกายอยู่ ท่านกินวันละหนึ่งเม็ดจะได้ไม่เกิดโรคเรื้อรังในภายหลังจากสถานที่แห่งนี้”
นางถือถุงผ้าปักอยู่ในมือ เฉียวโม่รีรอไม่รับไว้เสียที
เฉียวเจาเม้มปากแน่น ยื่นมือไปอย่างดึงดัน
สุดท้ายเขาจึงยื่นมือมารับพร้อมพูดเอื่อยๆ “ขอบคุณคุณหนูหลีมาก”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” เด็กสาวเผยรอยยิ้มด้วยความดีใจอย่างห้ามใจไม่อยู่
นางมีรูปโฉมอ่อนหวานละมุนละไม ในสภาพอับชื้นมืดสลัวเยี่ยงนี้ รอยยิ้มที่แย้มออกฉับพลันละม้ายบุปผางามละลานตาที่สุดดอกหนึ่ง นำพาบรรยากาศฤดูใบไม้ผลิอันสดใสเจิดจ้าเข้ามาในนี้
เฉียวโม่นิ่งขึงไป
ฉือชั่นกลับโมโหจนเกือบกระทืบเท้า
แม่นางน้อยน่าชัง ถึงกับส่งยิ้มให้เฉียวโม่หน้าชื่นตาบานเช่นนี้ น่าโมโหนัก โชคดีที่เขาตามมาด้วย หาไม่แล้วนางยังจะมอบอ้อมกอดอบอุ่นให้เฉียวโม่ด้วยใช่หรือไม่
“พี่เฉียวรักษาตัวด้วยนะเจ้าคะ” เฉียวเจาหลุบตาลงเดินตามฉือชั่นออกไปเงียบๆ
ในห้องขังเหลือแค่เซ่าหมิงยวนกับเฉียวโม่สองคน
“คุณหนูหลีมาได้อย่างไร”
“นางห่วงใยพี่เฉียวโม่มาก” เซ่าหมิงยวนพูดอธิบาย
ไม่รู้เพราะเหตุใด พอคิดถึงท่าทางของเด็กสาวที่ออกไปอย่างเงียบหงอย เซ่าหมิงยวนรู้สึกทนดูไม่ได้อยู่บ้าง
เฉียวโม่ถอนใจเบาๆ ช่างเถิด เขาประหลาดใจว่าเหตุใดกวนจวินโหวถึงตอบตกลงพาคุณหนูหลีมาสถานที่เช่นนี้ต่างหาก ไม่ใช่ถามหาเหตุผลที่นางมา
ทว่ายามนี้เรื่องพวกนี้ล้วนไม่สำคัญแล้ว
“ท่านโหว ข้าขอเล่าอย่างรวบรัดตัดความ ก่อนเกิดไฟไหม้ครั้งนั้นไม่นาน ท่านพ่อผู้ล่วงลับได้รับสมุดบัญชีเล่มหนึ่งที่บันทึกการเบียดบังเบี้ยหวัดทหารของแม่ทัพคั่งวอสิงอู่หยางไว้ ท่านสั่งให้ข้ายกข้ออ้างออกทุกข์ไปเยี่ยมเยือนสหายเพื่อนำมันไปมอบให้สหายเก่าแก่ท่านหนึ่งในบรรดานั้น ผ่านไปไม่เท่าไรในเรือนก็เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่…”
เฉียวโม่พูดถึงตรงนี้แล้วยิ้มเยาะตนเอง “ตอนนี้ข้านำสมุดบัญชีถวายแก่โอรสสวรรค์ พระองค์เป็นผู้ปกครองแผ่นดินนี้ จะสะสางเช่นไรย่อมไม่เปิดช่องให้ผู้อื่นท้วงติงได้ แต่มีเรื่องหนึ่งที่ข้าต้องบอกท่านโหวว่า มันเป็นไปไม่ค่อยได้ที่เพลิงไหม้ครั้งนั้นจะเป็นอุบัติเหตุ ตอนข้าเข้าไปช่วยน้องสาวคนเล็ก นางวิ่งร้องไห้อยู่ในสวนดอกไม้ด้านหลัง ทั้งที่เรือนทั้งหลังมีไฟลุกไหม้โหมแรง แต่กลับไม่ได้ยินเสียงอื่นใดเลยสักนิด ข้าคิดว่า…”
เขาเล่าต่อไปไม่ไหว ต้องสงบอารมณ์อึดใจหนึ่งถึงกล่าวขึ้น “ข้าคิดว่า เป็นไปได้มากที่บิดามารดาและคนในครอบครัวข้าจะจากไปก่อนเกิดไฟไหม้ ไม่เช่นนั้นไม่มีทางที่จะไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เลย…”
“หากเป็นเช่นนี้จริงๆ หว่านวานพ้นเคราะห์มาได้อย่างไร” เซ่าหมิงยวนถามขึ้น
เฉียวโม่ยิ้มฝืดๆ “ข้าเคยถามนางในภายหลัง วันนั้นนางโดนท่านพ่อดุสั่งสอนเพราะซุกซน ด้วยเหตุนี้เลยซ่อนตัวอยู่ในโพรงของสวนหินในสวนดอกไม้ด้านหลังอย่างงอนโกรธ ต่อมานางหลับไปจนกระทั่งสำลักควันตื่นขึ้นถึงพบว่าทุกแห่งล้วนเป็นเปลวเพลิง”
พอเอ่ยถึงเรื่องพวกนี้ ยากนักที่เฉียวโม่จะรักษาความเยือกเย็นไว้ได้อีก สีหน้าแววตาของเขาเผยรอยทุกข์ทน “สมุดบัญชีเล่มนั้นกับเหตุไฟไหม้จะเกี่ยวข้องโดยตรงหรือไม่กันแน่ ข้าได้แต่อาศัยการคาดเดา บัดนี้ตัวข้าถูกจองจำไว้จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะไปพิสูจน์แล้ว ข้าจึงมีเรื่องไหว้วานท่านโหวสองเรื่อง”
“พี่เฉียวโม่เชิญกล่าว”
“หากท่านโหวไม่ขัดข้อง โปรดสืบหาความจริงของเหตุไฟไหม้เรือนสกุลเฉียวด้วยเถอะ ถ้าการคาดเดาของข้าถูกต้อง มีคนร้ายตัวจริงอยู่เบื้องหลังจริงๆ ถึงแม้ไม่อาจนำตัวฆาตกรมารับอาญาบ้านเมือง อย่างน้อยก็ไม่ทำให้ชาวสกุลเฉียวต้องตายอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่ เรื่องที่สองคือหวังว่าท่านโหวจะเลี้ยงดูหว่านวานจนเติบใหญ่”
“สองเรื่องที่พี่เฉียวโม่กล่าวมา ข้าล้วนต้องทำอย่างสุดความสามารถ แต่ท่านโปรดอย่าได้กังวลใจ ข้าจะช่วยท่านออกไปให้ได้”
เฉียวโม่เผยรอยยิ้มอย่างวางใจ “ขอบคุณท่านโหวมาก”
“ไยพี่เฉียวโม่ต้องเกรงใจข้าด้วย พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน”