หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 291
บทที่ 291
นอกประตูที่ว่าการกององครักษ์จินหลิน
“คุณหนูสาม กลับจวนสกุลหลีหรือกลับจวนท่านแม่ทัพของเราขอรับ” เฉินกวงกุมสายบังเหียนพลางถาม
เฉียวเจากดๆ จุดตรงหว่างคิ้ว
‘จวนท่านแม่ทัพของเรา’ คืออะไรกัน ช่างเถิด ข้าไม่ถือสาหาความกับสารถีน้อยผู้หนึ่ง
“ไปจวนท่านแม่ทัพ” เฉียวเจาปล่อยม่านประตูรถม้าลง เอนหลังพิงผนังตัวรถม้าอย่างว้าวุ่นใจ
เวลานี้พี่ใหญ่น่าจะกลับถึงจวนกวนจวินโหวแล้วกระมัง เขาคิดถึงนางหรือไม่
ด้านนอกอากาศร้อนอบอ้าว พาให้เฉียวเจาในรถม้างุ่นง่านร้อนรุ่มใจไปด้วย ไม่หลงเหลือความสงบนิ่งใจเย็นเช่นตอนเผชิญหน้ากับคนใหญ่โตซึ่งเป็นที่ยำเกรงของขุนนางทั้งบุ๋นบู๊ในที่ว่าการกององครักษ์จินหลินให้เห็นโดยสิ้นเชิง
เฉียวเจาคิดคำนึงว่านางไม่กลัวการบุกน้ำลุยไฟ เพียงรู้สึกหวาดหวั่นกังวลดังคำกล่าวที่ว่ายิ่งใกล้บ้านเกิดยิ่งพรั่นใจ
ท่ามกลางอารมณ์ที่ขัดแย้งสับสนเช่นนี้ รถม้าหยุดจอด เฉินกวงตะโกนบอกจากข้างนอก “คุณหนูสาม ถึงแล้วขอรับ”
ในรถม้าไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ไปชั่วขณะ
เฉินกวงชักฉงนใจ แต่จะเลิกม่านประตูขึ้นดูก็ไม่เหมาะสม ได้แต่ตะโกนบอกซ้ำอีกครั้ง “คุณหนูสาม ถึงจวนท่านแม่ทัพแล้วขอรับ”
สุ้มเสียงราบเรียบถึงดังลอดออกมาจากข้างใน “รู้แล้ว”
เพราะวันนี้ไปที่ที่ว่าการกององครักษ์จินหลินก่อนจึงไม่พาปิงลวี่มาด้วยเช่นเคย เฉียวเจาแหวกม่านประตูออกก้มตัวลงจากรถม้า นางหยุดยืนหน้าประตูจวนกวนจวินโหวครู่หนึ่ง
องครักษ์วิ่งลิ่วๆ เข้ามาพร้อมรอยยิ้มเต็มหน้า “คุณหนูหลีมาแล้ว รีบเข้าไปข้างในเถอะขอรับ ท่านแม่ทัพของข้ารอท่านอยู่ตลอด”
เฉียวเจาลอบสูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่งก่อนจะผงกศีรษะ นางตีหน้านิ่งสนิทก้าวเท้าเข้าไป เพิ่งเดินไปถึงเรือนใหญ่ก็เห็นเซ่าหมิงยวนยืนเอามือประสานไว้ข้างหน้าอยู่ใต้ต้นฉำฉาแล้วอดชะงักฝีเท้าไม่ได้
เซ่าหมิงยวนได้ยินเสียงก็หมุนกายมา เขาเดินเข้าไปหาพร้อมกับพูดยิ้มๆ “คุณหนูหลีมาแล้วหรือ”
“แม่ทัพเซ่า” เฉียวเจากล่าวทักทาย นางคิดจะถามไถ่ว่าเฉียวโม่อยู่ที่ใด ทว่าคำพูดมารอที่ปลายลิ้นแล้วกลับมิได้ถามออกจากปาก
นางไม่รู้ว่าหลังเจอหน้ากับพี่ชาย สิ่งที่รอนางอยู่คืออะไร
นับแต่ฟื้นคืนชีพ นางเดิมพันกับใจคนนับครั้งไม่ถ้วน มาตรว่าทุกครั้งล้วนไม่อาจไม่เดิมพัน แต่มีเพียงครั้งนี้ที่นางกลัวความพ่ายแพ้เหลือเกิน
“คุณหนูหลี พี่เฉียวโม่กลับมาแล้ว”
“อื้อ” เฉียวเจาพยักหน้าด้วยท่าทางแข็งทื่อ มือกำเป็นหมัดโดยไม่รู้ตัว
เซ่าหมิงยวนตวัดสายตามองอย่างฉับไวแล้วนึกกังขาอย่างสุดระงับ คุณหนูหลีกำลังตื่นเต้นอะไรอยู่
“พี่เฉียวโม่รอพบท่านอยู่ ข้าจะส่งคนไปเรียกเขามา”
“อย่า…” เฉียวเจาหลุดปากออกมา พอปะทะเข้ากับสายตาแฝงความประหลาดใจของชายหนุ่ม นางยิ้มฝืดๆ “ข้าฝังเข็มให้ท่านแม่ทัพก่อน”
ใช่ ควรจะฝังเข็มให้เซ่าหมิงยวนก่อน ไม่อย่างนั้นประเดี๋ยวพบกับพี่ใหญ่แล้ว ไม่ว่าผลลัพธ์เป็นเช่นไร เกรงว่านางคงสงบอกสงบใจไม่ได้
“เรื่องฝังเข็มไม่รีบ คุณหนูหลีพบกับพี่เฉียวโม่ก่อนเถอะ เขารอท่านอยู่”
เฉียวเจาทำหน้าขรึม “การฝังเข็มจะรีรอไม่ได้ แม่ทัพเซ่าต้องทำตามที่หมอบอกเจ้าค่ะ”
“อ้อ ก็ได้”
จากนั้นทั้งสองจึงเข้าไปในเรือน
ไม่รอให้เด็กสาวสั่ง เซ่าหมิงยวนก็ถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกแล้วเอนกายลงนอนนิ่งๆ อย่างรู้หน้าที่มาก “คุณหนูหลี เริ่มต้นได้”
เฉียวเจาจ้องมองลำตัวท่อนบนของชายหนุ่มนานครู่หนึ่งโดยไม่เปล่งเสียงพูด
เซ่าหมิงยวนไอเสียงเบาๆ ทีหนึ่ง ชี้แถบผ้าที่พันอยู่ตรงเอวพลางกล่าวอธิบาย “ตอนฝึกยุทธ์ไม่ทันระวังเลยบาดเจ็บ…”
มุมปากของเฉียวเจากระตุกริก
ฝึกวิชาอะไรถึงบาดเจ็บตรงหน้าท้องได้ ซ้ำยังพันผ้ารอบเอวปิดไว้ทั้งหมดอีก คนผู้นี้เบาปัญญา หรือว่าเห็นข้าโง่งม
“อย่างนั้นหรือ” เฉียวเจายื่นมือไป เขายกมือขึ้นบังหน้าท้องไว้โดยไม่รู้ตัว
แม่นางเฉียวปรายตามองเขาอย่างปึ่งชา นางแทงเข็มเงินในมือฝังลงรอบอกของเขาด้วยสีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ใด
ข้าเคยลูบแล้ว นูนๆ แข็งๆ ไม่น่าจับสักนิด นึกว่าข้าพิศวาสนักหรือ
เมื่อฝังเข็มเสร็จ เฉียวเจาไม่มองเขาสักแวบเดียว รินน้ำชาร้อนถ้วยหนึ่งกุมไว้ด้วยสองมือ นั่งหันข้างมองนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอย
เซ่าหมิงยวนอดพิศดูสาวน้อยที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมไม่ได้ เขาแน่ใจว่าวันนี้นางไม่ค่อยปกติ เทียบกับท่าทางเยือกเย็นมั่นใจในตนเองก่อนหน้านี้แล้วราวกับเป็นคนละคนกัน
เพราะข้อแลกเปลี่ยนกับเจียงถังหรือ
ความคิดนี้ผุดขึ้นไม่ทันไร เซ่าหมิงยวนปัดทิ้งทันที จากนั้นเขานึกถึงความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่ง
น่าจะเป็นเพราะพี่เฉียวโม่
แต่ครั้นคิดถึงจุดนี้ ชายหนุ่มก็ฉงนใจอีก
ที่คุณหนูหลีให้ความสนใจพี่เฉียวโม่เป็นพิเศษ เพียงเพราะคำฝากฝังของหมอเทวดาหลี่จริงๆ หรือ
เขาเบนสายตาไปที่ลำคอของนาง พบว่านางสวมเสื้อคอตั้งปิดบังลำคอเรียวยาวไว้มิดชิด
“คุณหนูหลี บาดแผลของท่านเป็นอย่างไรบ้าง”
เด็กสาวที่มองออกไปนอกหน้าต่างไม่ขยับกาย
เซ่าหมิงยวนจำต้องเรียกซ้ำอีกครา “คุณหนูหลี?”
เฉียวเจาถึงรู้ตัวเหมือนเพิ่งหลุดจากภวังค์ “ท่านแม่ทัพเรียกข้าหรือเจ้าคะ”
“บาดแผลของคุณหนูหลีดีขึ้นบ้างหรือไม่”
เฉียวเจาคลี่ยิ้ม “ไม่เป็นอะไรมากเจ้าค่ะ จริงๆ แล้วแค่บาดผิวเป็นแผลตื้นๆ”
เซ่าหมิงยวนขมวดคิ้ว “เจียงถังข่มขู่ท่านหรือ”
พอเห็นเขาทำน้ำเสียงเคร่งเครียด นางไม่อยากให้เขากับเจียงถังผิดใจกันจึงกล่าวยิ้มๆ “น่าจะเป็นข้าข่มขู่เขาถึงจะถูก แม่ทัพเซ่าไม่ต้องเป็นห่วงข้า ข้าไม่ทำเรื่องที่ไม่มั่นใจเจ้าค่ะ”
ยกเว้นเรื่องเปิดเผยตัวกับพี่ชาย
นางค้นพบว่าไม่ว่าจะบอกความจริงกับพี่ชายเมื่อไรก็ตาม นางล้วนไร้ความมั่นใจ
เพราะใส่ใจเหลือเกิน จึงรับความพ่ายแพ้ไม่ไหว
เซ่าหมิงยวนใจลอยไปอึดใจหนึ่ง
‘ข้าไม่ทำเรื่องที่ไม่มั่นใจ’ สตรีนางหนึ่งกล่าวถ้อยคำนี้ออกจากปาก อีกทั้งนางยังทำได้แล้วจริงๆ จะไม่ให้คนอื่นหันมาให้ความสนใจนางเป็นเรื่องยากมาก
ช่วงเวลาสั้นๆ ที่ได้พบปะกัน เขาเคยเห็นนางแก้ปัญหาอย่างใจเย็น เคยเห็นนางสั่งสอนเขาด้วยท่าทางจริงจัง เคยเห็นนางทำตัวพาลเกเรอยู่สักหน่อยชัดๆ ทว่ากลับไม่ชวนให้รังเกียจหรือรำคาญใจ
เขาคิดว่าการใกล้ชิดกับสตรีผู้หนึ่งเช่นนี้ทุกวันนานครึ่งปีเป็นเรื่องอันตรายมากจริงๆ
ทั้งสองต่างฝ่ายต่างมีความในใจ ชั่วเสี้ยวเวลานี้ไม่มีคนใดเอ่ยปากพูดขึ้นอีก ภายในห้องเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง
ผ่านไปครู่ใหญ่ เฉียวเจายื่นมือไปดึงเข็มเงินออกทีละเล่มแล้วลุกขึ้นยืนพลางบอกว่า “ข้าจะไปพบพี่เฉียวเจ้าค่ะ”
ไม่ว่าอย่างไรสิ่งที่พึงเผชิญหน้า นางได้แต่ไปเผชิญหน้ากับมัน ต่อให้มีแค่นางลำพังคนเดียว
เซ่าหมิงยวนสวมเสื้อคลุมตัวนอกแล้วพลิกกายลงจากเตียง “ข้าให้คนไปเชิญพี่เฉียวโม่มาที่นี่”
“ไม่ต้องเจ้าค่ะ พี่เฉียวอยู่ในคุกหลวงคงไม่ได้พักผ่อนเต็มที่ เขาน่าจะอ่อนล้าแล้ว ข้าเป็นฝ่ายไปหาเขาจะดีกว่า แม่ทัพเซ่าให้ใครสักคนนำทางให้ข้าเถอะ”
“ข้าพาคุณหนูหลีไปเอง” เซ่าหมิงยวนคาดสายรัดเอวลายคลื่นน้ำสีขาวเกลี้ยงอย่างคล่องแคล่ว
สายตาของเฉียวเจาเลื่อนไปมองอย่างห้ามไม่อยู่
ชั้นในพันผ้าไว้แล้วยังรัดสายคาดเอวทับด้านนอกอีก ไม่ร้อนหรือไร
มือของเซ่าหมิงยวนที่วางอยู่ตรงเอวชะงักไป ใบหน้าแดงเรื่ออย่างไร้สาเหตุ
วันนี้เขาเอาผ้าแถบพันไว้จนไม่เห็นอะไร เหตุใดคุณหนูหลียังมองตรงนั้นอีก
“คุณหนูหลี ไปกันเถอะ” แม่ทัพหนุ่มกล่าวคำนี้แล้วก้าวขาเรียวยาวออกนอกประตูไป ตอนเดินใกล้จะถึงซุ้มประตูวงเดือนถึงพบว่ารอบด้านไร้ผู้คน เขาเหลียวหน้าไปมอง เด็กสาวยกชายกระโปรงวิ่งเหยาะๆ มาทางนี้
เฉียวเจาไล่ตามมาทันในที่สุด นางอดพูดเสียงขุ่นไม่ได้ “แม่ทัพเซ่านำทางเก่งเหลือเกินนะเจ้าคะ”
ถ้านางวิ่งช้ากว่านี้สักนิด คงต้องขอให้คนอื่นนำทางแล้ว
เซ่าหมิงยวนยิ้มอย่างกระดากใจ “คุณหนูหลีเดินนำหน้าเถอะ”
เขาจะทำอะไรได้ พอคุณหนูหลีมองตรงนั้น เขาก็ประหม่าไปหมด