หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 293
บทที่ 293
สองพี่น้องหันไปมองพร้อมกัน เห็นเฉียวหว่านยกชายกระโปรงวิ่งมาเร็วรี่
พริบตาเดียวนางก็วิ่งมาถึงตรงหน้าเอาตัวบังเฉียวโม่ไว้ข้างหลัง ถลึงตาใส่เฉียวเจาด้วยท่าทางฮึดฮัด “ท่านทำอะไร”
ไฉนนางหน้าหนาได้ถึงเพียงนี้นะ ถึงกับนั่งใกล้กับพี่ใหญ่เช่นนี้ อีกทั้งพี่ใหญ่ยังลูบศีรษะนางอีก!
แม่นางน้อยยิ่งคิดยิ่งโกรธเคือง ดวงตาที่จ้องเฉียวเจายิ่งฉายแววไม่เป็นมิตร
พี่ชายจำได้ว่านางเป็นน้องสาวแล้ว ส่งผลให้เฉียวเจาอารมณ์ดีเหลือหลาย ความอิจฉาน้อยๆ ต่อน้องสาวต่างมารดาที่น่าอายเกินกว่าจะเอ่ยปากบอกให้ใครรู้นั่นก็มลายหายไป นางยกมือจิ้มแก้มน้องสาวคนเล็กพลางพูด “เด็กที่ชอบโมโหบ่อยๆ ยิ่งโตจะยิ่งขี้เหร่นะ”
เฉียวหว่านอึ้งไปก่อนพูดอย่างขุ่นใจ “โกหก!”
“ข้าไม่ได้โกหก หรือพี่เขยของเจ้าไม่เคยบอกเจ้าว่าข้าเป็นหมอ”
เฉียวหว่านหันหน้าไป กลับพบว่าเซ่าหมิงยวนยืนนิ่งอยู่ที่เดิม นางยกชายกระโปรงวิ่งกลับไป แหงนคอเอ่ยถาม “พี่เขย พี่หลีเป็นหมอหรือเจ้าคะ”
“ใช่” เซ่าหมิงยวนสะกดความตะลึงพรึงเพริดกับภาพที่เห็นเมื่อครู่นี้ไว้และกล่าวตอบด้วยสีหน้าเป็นปกติ
“นาง…นางยังอายุน้อยแค่นั้น เป็นหมอได้อย่างไรกันเจ้าคะ” เฉียวหว่านทำหน้าไม่เชื่อ
เซ่าหมิงยวนกล่าวอย่างใจเย็น “คุณหนูหลีเป็นหมอจริงๆ นางยังเคยรักษาคนปัญญาอ่อนจนหายดีได้”
เฉียวหว่านตกใจแล้ว “เช่นนี้ชอบโมโหบ่อยๆ ยิ่งโตจะยิ่งขี้เหร่จริงหรือไม่เจ้าคะ”
เซ่าหมิงยวนชำเลืองมองเฉียวเจาที่อยู่ไกลๆ แวบหนึ่ง จากนั้นก้มหน้าบอกกับนาง “เรื่องนี้ต้องถามท่านหมอนะ พี่เขยไม่รู้เหมือนกัน”
ดรุณีน้อยกัดริมฝีปาก “แต่ข้าอดโมโหไม่ได้นี่เจ้าคะ เมื่อครู่พี่เขยมองเห็นหรือไม่ พี่หลีกับพี่ใหญ่ข้าใกล้ชิดกันมาก แม้แต่พี่จื่อโม่ยังไม่เคยใกล้ชิดกับพี่ใหญ่ถึงเพียงนี้ นางถือดีอะไรทำอย่างนี้”
แววตาของชายหนุ่มไหววูบ
มักกล่าวกันว่าเด็กมีสัญชาตญาณเฉียบไวที่สุด เช่นนั้นเมื่อครู่นี้เขามองไม่ผิด คุณหนูหลีกับพี่เฉียวโม่แลดูสนิทสนมกันเกินธรรมดาจริงๆ
ทว่านี่เป็นเพราะอะไรเล่า ทั้งที่หลายวันก่อนพี่เฉียวโม่ยังระแวงคุณหนูหลีอย่างเต็มที่ ถึงขั้นใช้วาจาทิ่มแทงทำร้ายจิตใจนางโดยไม่ลังเล
เซ่าหมิงยวนกังขาอยู่ในใจ พลางพาเฉียวหว่านเดินเข้าไป
สีหน้าของเฉียวเจากลับเป็นปกติดังเดิม นางทำตาขุ่นใส่ชายหนุ่มอย่างสุดระงับ
เขาพาหว่านวานไปเลือกลูกม้าไม่ใช่หรือ เหตุใดกลับมาเร็วเช่นนี้ นางเพิ่งเล่าเรื่องที่ตนประสบพบเจอมาให้พี่ใหญ่ฟังจบ ยังไม่ได้ถามพี่ใหญ่ให้คลายข้อสงสัยเลย
เซ่าหมิงยวนประหลาดใจที่โดนเฉียวเจาขึงตาใส่ เขาลอบตกลงใจแน่วแน่แต่แรกแล้วว่าต้องรักษาระยะห่างอย่างพอเหมาะพอสมจึงไม่มองนางเสียเลย เขาบอกกับเฉียวโม่ “เลือกลูกม้าให้หว่านวานตัวหนึ่ง ข้าเห็นเวลาไม่เช้าแล้วสั่งกำชับให้เรือนครัวเตรียมอาหาร อีกสักครู่ให้ส่งมาที่นี่ ทุกคนร่วมโต๊ะกินอาหารกันอย่างพร้อมหน้า”
เฉียวเจากับเฉียวโม่เพิ่งรู้ตัวในตอนนี้ว่าทั้งคู่สนทนากันนานจนใกล้จะเที่ยงวันแล้ว
“ได้ รบกวนท่านโหวแล้ว” เฉียวโม่กล่าวคำนี้ หากสายตาจับอยู่ที่ตัวเฉียวเจาอย่างห้ามไม่อยู่
‘ของหายได้คืนมา’ เสี้ยวขณะนี้ไม่มีคนใดเข้าใจความหมายของถ้อยคำนี้ได้ดีไปกว่าเขา
น้องสาวคนโตของเขายังมีชีวิตอยู่
“พี่หลีก็จะกินอาหารพร้อมหน้ากับพวกเราด้วยหรือเจ้าคะ” เฉียวหว่านทำปากยื่นเอ่ยถาม
หน้าไม่อาย พวกข้าจะกินอาหารพร้อมหน้ากันในครอบครัว ยังไม่ยอมกลับไปอีก!
“แน่นอน” เฉียวโม่อ้าปากพูดเสียงเรียบ
“พี่ใหญ่!” เฉียวหว่านเบิกตากว้างอย่างเหลือเชื่อ
เฉียวโม่ลูบศีรษะน้องสาวคนเล็ก “หว่านวาน วันหน้าเจ้าต้องเรียกคุณหนูหลีว่าพี่สาวนะ”
เฉียวเจาหันขวับไปมองเฉียวโม่ จากนั้นตวัดสายตามองเซ่าหมิงยวนอย่างห้ามตนเองไม่อยู่
หรือว่าพี่ใหญ่จะบอกตัวตนที่แท้จริงของนางออกมาต่อหน้าเซ่าหมิงยวน
นางอยากจะห้ามแต่จะพูดตรงๆ ก็ไม่ถนัดปาก ได้แต่แอบยื่นขาไปเตะพี่ชายทีหนึ่ง
เซ่าหมิงยวนมองไปทางอื่นเงียบๆ แม้นจะไม่รู้ว่าเหตุใดคุณหนูหลีกับพี่ชายของภรรยาจู่ๆ ก็สนิทสนมกันขึ้นมา แต่ขืนให้คุณหนูหลีจับได้ว่าเขาเห็นนางเตะคน อย่างนั้นคงจะกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง
“เพราะอะไรต้องเรียกคุณหนูหลีว่าพี่สาวเจ้าคะ” เฉียวหว่านกัดริมฝีปากถาม
เฉียวโม่หัวเราะเบาๆ สีหน้าแววตาเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยน “เพราะพี่ใหญ่รับคุณหนูหลีเป็นน้องสาวบุญธรรมแล้ว ดังนั้นต่อไปนี้นางก็คือพี่สาวของเจ้า”
เมื่อได้ยินเฉียวโม่บอกเช่นนี้ เฉียวเจาระบายลมหายใจเฮือกหนึ่ง
นางได้เปิดเผยตัวตนกับท่านปู่หลี่รวมถึงพี่ชายเป็นความโชคดีถึงที่สุดแล้ว ทว่าเรื่องอัศจรรย์พันลึกพรรค์นี้คนรู้ยิ่งน้อยยิ่งดี โดยเฉพาะน้องสาวต่างมารดายังเยาว์วัย จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะให้นางล่วงรู้
สำหรับเซ่าหมิงยวน… เฉียวเจาลอบถอนใจ บอกให้เขารู้แล้ว จะอาศัยอะไรให้เขาเชื่อเล่า
นางกับพี่ใหญ่ยังมีประสบการณ์ร่วมกันเพราะเติบโตมาด้วยกัน ทว่านางกับเขามีอะไรเล่า
มิหนำซ้ำตอนเป็นภรรยาของเขา ระหว่างนางกับเขาก็ไม่มีอะไรผูกพันกันสักอย่าง อีกทั้งหนเดียวที่พบหน้ากันยังเป็นจุดจบของความเป็นความตายแล้ว
อย่างไรก็ดีต่อให้เขาเชื่อก็มีแต่ทำให้นางวางตัวลำบากมากขึ้นเท่านั้นเอง
เซ่าหมิงยวนไม่เคยรักเฉียวเจามาก่อน ความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ในตอนนั้นเป็นคำสั่งของบิดามารดาและการชักพาของแม่สื่อ ถึงกลายมาเป็นสามีภรรยากันอย่างไม่มีทางเลือก บัดนี้ต่างคนต่างเป็นอิสระ หลังจากรู้ว่านางคือเฉียวเจา เขาควรทำอย่างไรดีเล่า จะตบแต่งนางเป็นภรรยาเพราะเหตุผลเหลวไหลอย่างนี้หรือ ฮึ…ความจริงนางก็ไม่เต็มใจเหมือนกัน
แต่ถ้ายังเห็นอีกฝ่ายเป็นคนแปลกหน้าดังเดิม มีแต่จะกระอักกระอ่วนใจมากขึ้นโดยใช่เหตุ
ดังนั้นเป็นเช่นนี้ดีแล้ว นางเป็นหลีเจาของนาง เขาเป็นกวนจวินโหวของเขา รอจนถอนพิษไอเย็นให้เขาได้แล้วก็ต่างคนต่างแยกกันไปตามทางของตน
“พี่สาวของข้า?” เฉียวหว่านกัดริมฝีปากพลางถอยหลังหนึ่งก้าว สายตาจ้องเขม็งที่เฉียวเจานิ่งๆ
“หว่านวาน เหตุใดไม่กล่าวทักทาย”
เฉียวหว่านสั่นศีรษะสุดแรง น้ำตาไหลรินลงมาทันใด “พี่ใหญ่ ท่านเปลี่ยนไปแล้ว”
“พี่ใหญ่เปลี่ยนไปได้อย่างไร” เฉียวโม่หุบยิ้ม
“ท่านลืมพี่เจาไปแล้วหรือเจ้าคะ พี่เจาเป็นพี่สาวที่ยอดเยี่ยมที่สุดในใต้หล้า ข้าไม่ยอมให้คนอื่นมาแทนที่นางหรอก!” แต่ไรมาเฉียวหว่านไม่เคยโต้เถียงพี่ชาย นางกล่าวคำนี้จบก็ทั้งตื่นกลัวทั้งเสียใจ จึงยกมือปิดหน้าหมุนกายวิ่งออกไป
“พี่เฉียวโม่…”
เฉียวโม่หยักยิ้ม “เด็กมักเจ้าอารมณ์ ประเดี๋ยวผ่านไปก็ไม่มีอะไรแล้ว”
เซ่าหมิงยวนลุกขึ้นยืน “ข้าไปพาหว่านวานกลับมาจะดีกว่า”
เมื่อชายหนุ่มเดินออกนอกประตูลานเรือน เฉียวโม่ดึงสายตาคืนมามองเฉียวเจา กล่าวอย่างมีนัยลึกซึ้ง “กวนจวินโหวเป็นคนอารมณ์เย็น ไม่เหมือนกับเวลาที่เขาอยู่ในสนามรบตามคำโจษขานแม้แต่น้อยนิด”
จากการอยู่ด้วยกันในช่วงที่ผ่านมา เฉียวเจาย่อมแจ่มแจ้งเช่นกันว่าเซ่าหมิงยวนเป็นคนเช่นไร นางเอ่ยยิ้มๆ “ในสมรภูมิเขาคือแม่ทัพผู้ปกครองกองทัพนับพันนับหมื่น เป็นธรรมดาที่จะต่างจากยามปกติเจ้าค่ะ”
“แข็งนอกอ่อนใน” เฉียวโม่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็เปล่งเสียงกล่าวสี่คำนี้ออกมา
เฉียวเจานิ่งงันไป
เขามองนางตาไม่กะพริบ ในดวงตาฉายแววยิ้มๆ อย่างสัพยอก “ฉะนั้นน้องเจาคิดอ่านอย่างไรกันแน่”
เด็กสาวหน้าแดงอย่างไร้สาเหตุ นางพูดเสียงขุ่น “พี่ใหญ่ อย่าพูดล้อเล่นกับข้าสิ”
“พี่ใหญ่ไม่ได้ล้อเล่น พี่ใหญ่ถามเจ้าอย่างจริงจังมาก”
“ไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้นเจ้าค่ะ อยู่กับพี่ใหญ่ข้าคือเฉียวเจา อยู่กับเขาข้าเป็นแค่หลีเจา”
“แต่ถ้าเกิดคนที่เขาพึงใจคือหลีเจาเล่า”
คำถามนี้มาอย่างกะทันหันเกินไป เฉียวเจาหลุดปากตอบโดยที่แทบไม่ต้องหยุดคิดใคร่ครวญ “ถ้าอย่างนั้นก็ให้เขาไปตายๆ เสีย หลีเจาไม่ชมชอบเขาหรอก!”
สิ้นเสียงนาง เฉียวโม่หัวเราะออกมาเบาๆ “ใช่ หลีเจาไม่ชมชอบเขาหรอก”
“พี่ใหญ่!” เฉียวเจารู้สึกสองแก้มร้อนผ่าว ลุกลนหันเหหัวข้อสนทนาอันน่าพิพักพิพ่วนนี้ไปถามถึงเหตุการณ์ไฟไหม้ในเรือน