หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 294
บทที่ 294
เฉียวโม่เล่าเรื่องที่บอกกับเซ่าหมิงยวนในคุกหลวงให้เฉียวเจาฟังอีกรอบหนึ่ง
ตอนได้ยินพี่ชายพูดว่าเป็นไปได้มากว่าคนในครอบครัวมีอันเป็นไปก่อนจะเกิดเพลิงไหม้ นางขบกรามแน่นแทบแหลกละเอียด
หลังความเงียบชวนอึดอัดผ่านไป เฉียวโม่เอ่ยปากขึ้นว่า “ฮ่องเต้ยับยั้งสมุดบัญชีเล่มนั้นไว้ไม่คิดจะแตะต้องสิงอู่หยาง ส่วนหลีกวงเยี่ยนรองเสนาบดีกรมอาญาซึ่งเดินทางไปจยาเฟิงนำผลการสืบสวนกลับมาว่าเป็นอุบัติเหตุ ตอนข้าอยู่ในคุกหลวงได้ไหว้วานให้กวนจวินโหวสืบสวนเหตุการณ์ไฟไหม้แล้ว แต่เรื่องนี้คงต้องลำบากยากเย็นแสนเข็ญเป็นแน่…”
“ไม่ว่ายากลำบากปานใดก็ต้องสืบความจริงให้กระจ่าง จะให้ท่านพ่อท่านแม่และญาติพี่น้องของพวกเราตายอย่างไม่เป็นธรรมไม่ได้เจ้าค่ะ” เฉียวเจากล่าวด้วยสีหน้าขึงขัง
เฉียวโม่ถอนใจเบาๆ “พระทัยฮ่องเต้ยากหยั่งเดา พี่ใหญ่เดินหมากผิดไปก้าวหนึ่ง แม้ตอนนี้ออกจากคุกหลวงแล้ว แต่องครักษ์จินหลินมีคำสั่งกำชับลงมาลับๆ ว่าเบื้องบนห้ามข้าไปที่ใดมาที่ใดในเมืองหลวงตามใจชอบ”
เขาพูดถึงตรงนี้แล้วยิ้มเยาะตนเอง “กระทั่งอิสรภาพก็สูญเสียไปแล้ว จะเอ่ยถึงเรื่องสืบหาความจริงได้เช่นไรเล่า”
เฉียวเจาเอื้อมมือไปวางทาบฝ่ามือพี่ชาย กล่าวปลุกปลอบว่า “พี่ใหญ่วางใจได้ ยังมีข้าทั้งคน”
เฉียวโม่รู้ดีว่าน้องสาวคนโตยังเก่งกาจกว่าบุรุษหลายต่อหลายคนมาก เขาไม่อยากกล่าววาจาทำนองว่า ‘เจ้าเป็นสตรี อย่าเข้ามายุ่งเกี่ยว’ ทำร้ายจิตใจนาง เพราะเขารู้ว่าแต่ไรมานางมิใช่สตรีที่เป็นดั่งไม้เลื้อยพรรค์นั้น อีกทั้งนี่เป็นความแค้นของครอบครัว เป็นไปไม่ได้ที่นางจะนิ่งเฉยดูดาย
ถึงกระนั้นเมื่อคิดถึงว่าวันหน้าน้องสาวต้องแบกภาระหนักอึ้งเฉกนี้ไว้กับตัว เขาก็ขมขื่นใจอย่างสุดแสน
“พี่ใหญ่ ท่านบอกข้าทีว่าตอนท่านพ่อยังมีชีวิตอยู่สนิทสนมกับใครบ้าง หากมีโอกาส ข้าจะไปจยาเฟิงสักหน”
“กลับจยาเฟิง?” เฉียวโม่หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
เฉียวเจากลับมีสีหน้าสงบนิ่ง “ทางเมืองหลวงต้องการซุกปัญหาไว้ใต้พรม หมายจะสืบหาคนร้ายตัวจริงที่อยู่เบื้องหลังเหตุไฟไหม้และได้หลักฐานมัดตัวแน่นหนา ต้องไปจยาเฟิงสถานเดียวเจ้าค่ะ”
“เจาเจา ตอนนี้อายุเจ้ายังไม่ถึงสิบสี่ด้วยซ้ำ จะเดินทางไปจยาเฟิงตามลำพังได้อย่างไร”
เฉียวเจาคลี่ยิ้ม “พี่ใหญ่วางใจได้ ข้าไม่ใช่คนวู่วาม ข้าจะอดทนรอโอกาสเจ้าค่ะ เหตุไฟไหม้ในเรือนผ่านไปนานถึงเพียงนี้ เบาะแสมากมายคงขาดหายไปแต่แรก หลีกวงเยี่ยนรองเสนาบดีกรมอาญายังไปตรวจสอบอีกรอบหนึ่ง ถ้าหากเขาวางตัวเป็นกลาง เรื่องที่สืบพบได้คงสืบพบไปแล้ว แต่ถ้าเขามีจุดประสงค์ร้ายแอบแฝง เช่นนั้นหลักฐานที่พึงทำลายทิ้งคงโดนทำลายไปแล้ว สิ่งที่ข้าจะไปสืบเดิมก็คือเรื่องราวเบื้องลึกลงไปที่ยังไม่มีคนจับสังเกตได้ ดังนั้นกลับไม่ต้องรีบร้อนตอนนี้เจ้าค่ะ”
นางพินิจพิเคราะห์อย่างเป็นเหตุเป็นผล ทว่าเฉียวโม่เพียงกล่าวคำเดียว “ข้าไม่ตอบตกลงให้เจ้าไปจยาเฟิงคนเดียวเป็นอันขาด”
“พี่ใหญ่…”
“เรียกพี่ใหญ่ก็เปล่าประโยชน์ ข้าเสียเจ้าไปคราหนึ่งแล้ว หรือจะให้ข้าสูญเสียอีกครั้งใช่หรือไม่ เจาเจา เจ้าต้องเข้าใจนะว่าในโลกนี้ข้าเหลือแค่เจ้ากับหว่านวานที่เป็นคนในครอบครัว ข้าในฐานะพี่ชาย ไม่อาจสืบหาความจริงเพื่อทวงความเป็นธรรมให้ท่านพ่อท่านแม่และญาติพี่น้องได้ก็รู้สึกเหมือนตายทั้งเป็น ถ้าปล่อยให้เจ้าเสี่ยงอันตรายคนเดียว ข้ายังมีหน้าอยู่ในโลกอีกหรือ”
เฉียวเจารีบกล่าวรับรอง “ข้าไม่มีทางไปคนเดียวเจ้าค่ะ ถ้าสักวันหนึ่งได้ไปจยาเฟิง ข้าจะไปกับคนที่เชื่อใจได้แน่นอน เช่นนี้คงได้แล้วกระมัง”
เฉียวโม่พยักหน้าอย่างจนใจ ตอนนี้เขาถึงยอมเล่าความเป็นไปของสกุลเฉียวในจยาเฟิงตลอดสองสามปีที่ผ่านมาให้น้องสาวฟัง
เซ่าหมิงยวนเดินผ่านซุ้มประตูวงเดือนก็เห็นเฉียวหว่านยืนอยู่ใต้ต้นพุดซ้อน นางเตะต้นหญ้าเขียวตรงปลายเท้าไปเรื่อยเปื่อย
เขาโคลงศีรษะยิ้มๆ พลางเดินเข้าไปเรียก “หว่านวาน”
ดรุณีน้อยเงยหน้าขึ้นเห็นเป็นเซ่าหมิงยวน นางผิดหวังอยู่บ้างที่ไม่ใช่พี่ชายที่มาหานาง แต่นางก็ชมชอบพี่เขยอยู่มาก จึงเรียกเสียงอ่อนหวาน “พี่เขย”
เซ่าหมิงยวนสาวเท้าเข้าไปยีผมนาง “หิวแล้วกระมัง กลับไปกินข้าวพร้อมกับพี่เขยเถอะ”
“ข้าไม่กินเจ้าค่ะ”
“เพราะเหตุใดเล่า”
“ข้าไม่อยากร่วมกินอาหารกับคุณหนูหลี”
“นี่เป็นเพราะอะไรอีกเล่า” ชายหนุ่มย่อตัวลงให้สายตาอยู่ในระดับเดียวกับนาง “หว่านวาน เจ้าเคยบอกกับพี่เขยไม่ใช่หรือว่าพี่ใหญ่ของเจ้าเป็นบุรุษที่ยอดเยี่ยมที่สุดในใต้หล้า”
เฉียวหว่านพยักหน้า นางคิดๆ แล้วพูดเสริมขึ้น “พี่เขยก็เช่นกันเจ้าค่ะ”
เซ่าหมิงยวนคลายยิ้ม “ในเมื่อเป็นอย่างนี้ เหตุใดหว่านวานไม่เชื่อสายตาพี่ใหญ่ของเจ้า”
ดรุณีน้อยตอบคำถามนี้ไม่ออก นางก้มหน้าเตะต้นหญ้าเบาๆ ทีหนึ่งแล้วกล่าวเสียงอ่อย “ข้าไม่อยากให้นางแทนที่พี่เจาเจ้าค่ะ”
“หว่านวานยังเคยบอกว่าพี่สาวของเจ้าเป็นสตรีที่ยอดเยี่ยมที่สุดในใต้หล้า แล้วคนเช่นนี้จะถูกผู้อื่นแทนที่ได้อย่างไร เหนือสิ่งอื่นใดเจ้าต้องเข้าใจว่าไม่ว่าเป็นผู้ใด จะยอดเยี่ยมหรือไม่ ในสายตาของคนในครอบครัวล้วนไม่อาจถูกแทนที่ได้”
“จริงหรือเจ้าคะ” ดรุณีน้อยตาเป็นประกาย
“จริงสิ” แม่ทัพหนุ่มตอบอย่างหนักแน่น
“เช่นนั้นคุณหนูหลีไม่มีวันแทนที่ตำแหน่งของพี่เจาในหัวใจพี่เขยใช่หรือไม่เจ้าคะ”
คำถามนี้ทำให้เซ่าหมิงยวนอึ้งไป เขานิ่งเงียบชั่วประเดี๋ยวหนึ่งถึงเอ่ยขึ้น “ไม่มีวัน”
ตำแหน่งของพวกนางล้วนไม่เหมือนกันมาแต่ไหนแต่ไร
สำหรับเขาเฉียวเจาเป็นภรรยา เป็นความรับผิดชอบ เป็นความรู้สึกผิด เป็นความเสียใจที่ไม่อาจทดแทนชดเชยได้ชั่วชีวิต
ส่วนคุณหนูหลี…
เซ่าหมิงยวนยิ้มเยาะตนเอง
คุณหนูหลีเพียงทำให้เขารู้ว่าเขาก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง มิใช่ท่อนไม้ เขายังใจเต้นโครมครามเพราะสตรีที่ฉลาดน่ารักคนหนึ่งได้
ได้ยินคำตอบของเซ่าหมิงยวนแล้ว เฉียวหว่านถึงยิ้มออก “อย่างนั้นตกลงเจ้าค่ะ ข้าเชื่อฟังพี่เขยกับพี่ใหญ่ เรียกนางว่าพี่สาวก็ได้”
เซ่าหมิงยวนลอบโล่งอกไปที พวกเด็กน้อยช่างล่อหลอกได้ยากเหลือเกิน
เฉียวหว่านกลอกตาไปมา “ในเมื่อพี่ใหญ่รับพี่หลีเป็นน้องสาวบุญธรรม พี่หลีมิต้องเรียกท่านว่าพี่เขยด้วยหรือเจ้าคะ”
ชั่วขณะนี้ใบหน้าของคนบางคนที่ใจเย็นเสมอฉายความรู้สึกสับสนปนเปเป็นพิเศษ เขานิ่งทื่อไปนานครู่ใหญ่ถึงกระแอมกระไอก่อนกล่าว “ไม่มีอันใดหรอก รีบไปเถอะ พวกพี่ใหญ่เจ้าคงรอจนร้อนใจหมดแล้ว”
ยามที่เซ่าหมิงยวนพาเฉียวหว่านกลับมา เฉียวเจากับเฉียวโม่หารือเรื่องเหตุไฟไหม้เรือนสกุลเฉียวจบไปเปลาะหนึ่ง สีหน้าของทั้งสองเรียบเฉยไม่เห็นวี่แววเคร่งเครียดเหมือนก่อนหน้านี้แต่อย่างใด
“พี่ใหญ่” เฉียวหว่านเดินไปหาเฉียวโม่แล้วเรียกขานคำหนึ่งอย่างขลาดๆ
เขาถามอย่างขบขันแกมจนปัญญา “ไม่งอแงแล้วหรือ”
เฉียวหว่านมองเฉียวเจาแล้วหน้าแดง เรียกเสียงค่อย “พี่เจา”
นางไม่ไยดีคุณหนูหลีหรอก แต่นางไม่อยากทำให้พี่ใหญ่ไม่สบายใจ
เฉียวเจายีศีรษะดรุณีน้อยอย่างไม่เกรงใจ “ไม่ได้เตรียมของขวัญรับขวัญน้องสาว ไว้พี่เจาค่อยมอบชดเชยให้เจ้าคราวหน้านะ”
“…” น่าชัง ไฉนคนผู้นี้ต้องทำมาตีสนิทเช่นนี้นะ!
ทั้งสี่นั่งล้อมวงกินอาหารด้วยกันเสร็จ เฉียวเจาก็เอ่ยปากอำลากลับ
เฉียวโม่กล่าวขึ้น “ท่านโหวช่วยไปส่งเจาเจาแทนข้าทีเถอะ อย่างไรข้าก็ไม่สะดวกนัก”
คำพูดของพี่ชายภรรยา เป็นธรรมดาที่เซ่าหมิงยวนจะไม่คัดค้าน เขาลุกขึ้นออกไปส่งเฉียวเจา
“เรื่องของพี่เฉียวโม่ต้องขอบคุณคุณหนูหลีเป็นอย่างมาก”
“ข้านับถือพี่เฉียวเป็นพี่ชายบุญธรรม เรื่องของเขาย่อมเป็นหน้าที่ที่ข้าพึงกระทำอยู่แล้วเจ้าค่ะ” เฉียวเจาบอกด้วยสีหน้าจริงจัง
เซ่าหมิงยวนขยับมุมปาก คุณหนูหลีช่วยพี่เฉียวโม่ก่อน ค่อยนับถือเขาเป็นพี่ชายบุญธรรมภายหลัง ทว่าเขาไม่กล้าขัดคอนาง
“จริงสิ แม่ทัพเซ่า พรุ่งนี้ข้าจะมาที่นี่ช้าสักหน่อยนะเจ้าคะ”
เซ่าหมิงยวนชะงักฝีเท้า
นางกล่าวอธิบาย “พรุ่งนี้เป็นวันที่ข้าต้องไปอารามซูอิ่งเจ้าค่ะ”
“คุณหนูหลียังไปที่นั่นทุกๆ เจ็ดวันอีกหรือ”
“ใช่” ว่าแล้วนางก็ออกเดินไปเงียบๆ
เซ่าหมิงยวนเดินอยู่ข้างๆ เพ่งมองเสี้ยวหน้าด้านข้างที่สงบเยือกเย็นของเด็กสาว
เฉียวเจาเบือนหน้ามามองเขาราวกับรับรู้ได้ “แม่ทัพเซ่ามีเรื่องใดหรือไม่เจ้าคะ”