หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 297
บทที่ 297
วัดต้าฝูเป็นวัดชื่อดังมานานหลายร้อยปี อารามซูอิ่งยังมีองค์หญิงหรืออดีตสนมชายาของราชวงศ์มาใช้ชีวิตบั้นปลายอยู่ที่นี่ เนิ่นนานหลายปีนี้ ถนนบนภูเขาลูกนี้จึงนับได้ว่ากว้างขวาง ไม่คับแคบลาดชันดังเช่นที่อื่นๆ ทั่วไป เพียงแต่วันนี้ฝนตก ระหว่างทางเห็นคนที่มาจุดธูปไหว้พระไม่มากนัก
เฉินกวงเดินอยู่ฝั่งริมเขาคอยคุ้มครองเฉียวเจาด้วยสีหน้านิ่งสนิท
ทางลื่นหลังฝนตก ท่านแม่ทัพมอบหมายหน้าที่คุ้มครองคุณหนูสามให้เขา เขาย่อมชะล่าใจไม่ได้เป็นธรรมดา
เขาเดินอยู่ดีๆ ก็ชะงักฝีเท้า ใบหูขยับกระดุกกระดิก
“เหตุใดไม่เดิน” ปิงลวี่ผลักเขาทีหนึ่ง
“อย่าเสียงดัง” เฉินกวงเคร่งขรึมดุดันอย่างหาได้ยาก
“นี่ ข้าว่าเจ้าไม่ปกติแล้วนะ…”
ปิงลวี่โกรธเหลือทน แต่เฉียวเจาปรามไว้
“คุณหนู ท่านดูเขาสิ…”
เฉียวเจาไม่เปล่งเสียง นางส่ายหน้าเบาๆ
เฉินกวงพลันก้มตัวลงเอาหูแนบพื้น
ปิงลวี่ฉงนใจยกใหญ่ นางกระตุกแขนเสื้อเฉียวเจาที่จ้องมองเฉินกวงอย่างไม่วางตา
ระหว่างที่หยุดอยู่กับที่นี้ กลุ่มขององค์หญิงเจินเจินทิ้งห่างพวกเขาไประยะหนึ่งแล้ว
“ไม่ได้การ ดินถล่ม!” เฉินกวงทำสีหน้าถมึงทึง เขาทะยานกายไปอุ้มเฉียวเจาขึ้นด้วยความว่องไวดุจสายฟ้าแลบ พร้อมกับตะเบ็งสุดเสียงบอกปิงลวี่ที่ยืนงงเป็นไก่ตาแตกอยู่ “ไม่อยากตายก็วิ่งตามข้ามา!”
เฉินกวงอุ้มเฉียวเจาควบฝีเท้าเต็มเหยียด แต่ไม่ได้วิ่งหนีไปยังทิศทางลงเขา กลับเบี่ยงออกนอกทางไปไต่ขึ้นทางไหล่เขา
แม้ปิงลวี่ไม่เข้าใจความหมายของเขา แต่ในหัวสมองนางเวลานี้มีความคิดอย่างเดียวคือ ‘ไม่ว่าอย่างไร ตามคุณหนูไปเป็นอันถูกต้องแล้ว’
ทางลาดไหล่เขาไม่ทำทางเดินไว้ อีกทั้งเปียกลื่นเพราะฝนตก เฉินกวงต้องอุ้มเฉียวเจาด้วยมือเดียว และใช้มืออีกข้างหนึ่งจับตัวปิงลวี่ไว้ถึงลากนางขึ้นมาได้
เสียงมวลดินเคลื่อนตัวดังครืนๆ ลอยมา ส่งผลให้ถนนสั่นสะเทือนน้อยๆ ตามมาด้วยเสียงของหินภูเขาที่กลิ้งลงมาพร้อมกับกระแสน้ำและกิ่งไม้
เฉินกวงวิ่งพลางตะโกนเตือนคนที่อยู่บนถนน “รีบหนีเร็วเข้า ดินถล่มแล้ว!”
องครักษ์ขององค์หญิงเจินเจินได้ยินเสียงความวุ่นวายแล้ว จึงรีบคุ้มครององค์หญิงเจินเจินวิ่งลงเขา คนอื่นๆ ก็พากันทำตามอย่าง
เฉินกวงเห็นว่าไม่ได้การ เขาตวาดดังลั่น “วิ่งลงเขาไม่ได้!”
ทว่าคนที่กำลังตื่นกลัวถึงขีดสุดจะรับฟังคำเตือนเช่นนี้ที่ใดกัน เขามองดูคนพวกนั้นวิ่งห่างไปไกลขึ้นทุกทีๆ ทว่าเศษหินแตกทลายร่วงหล่นตามไปด้วยความเร็วมากกว่า
“แย่แล้ว! พวกเขาแย่แน่ๆ” เฉินกวงกระทืบเท้า เขาไม่มีเวลาสนใจใครอีก อุ้มเฉียวเจาวิ่งขึ้นเขา
เฉินกวงมีวรยุทธ์สูงยิ่ง ถึงจะอุ้มคนไว้คนหนึ่งก็ไม่ส่งผลต่อความเร็วของฝีเท้าแม้สักนิด ซ้ำยังช่วยฉุดปิงลวี่เป็นระยะได้อีกด้วย
หลายเดือนมานี้ปิงลวี่ร่ำเรียนวิชายุทธ์กับเขาทุกวัน ทำให้ร่างกายแข็งแรงปราดเปรียวกว่าสตรีทั่วไปอย่างมาก ทั้งได้เฉินกวงคอยฉุดดึง นางถึงไล่ตามทันได้ไหวแบบหืดขึ้นคอ
ทั้งสามคนวิ่งไปเกือบถึงยอดเขาโดยไม่หยุดพักหายใจ แรงสั่นสะเทือนจากดินภูเขาถล่มทลายหายไปแล้วจึงกล้าหยุดฝีเท้า
ปิงลวี่ก้มตัวหอบแฮกๆ แล้วพูดอย่างหวาดผวาไม่หาย “ตกใจแทบตาย นึกว่าวันนี้ต้องม้วยมรณาแล้ว”
เฉินกวงรีบวางตัวเฉียวเจาลง เขาลอบปรับลมหายใจให้เป็นปกติ
เหตุการณ์พลิกเปลี่ยนอย่างเฉียบพลันเช่นนี้ แต่ดูท่าทางเฉียวเจาแค่ใบหน้าซีดเผือดลงหลายส่วน นางสงบสติอารมณ์แล้วกล่าวขอบคุณเฉินกวง
เขายิ้มยิงฟัน “คุณหนูสามไม่ต้องขอบคุณข้า ท่านแม่ทัพบอกไว้แต่แรกแล้วว่าหากข้าปล่อยให้ท่านบาดเจ็บแม้แต่ปลายก้อยอีก ก็ให้ถือศีรษะตนเองไปพบขอรับ”
เฉียวเจาอุ่นผ่าวตรงกลางอก ถึงแม้ดวงหน้านางจะนิ่งเฉย ทว่าใครเล่าไม่กลัวตาย วันนี้ถ้าไม่มีเฉินกวงคุ้มครอง นางจะฉลาดปราดเปรื่องปานใดก็หนีไม่รอดแล้ว
เซ่าหมิงยวน…
สามคำนี้ผุดขึ้นในหัว แต่นางมิได้คิดคำนึงต่อ ทอดสายตามองไปทางภูเขาเบื้องล่างพลางกล่าว “พวกองค์หญิงเจินเจินเป็นอย่างไรบ้าง”
ปิงลวี่ยกมือปิดปากทำสีหน้าตื่นตกใจ “คุณหนู ท่านดูตรงเชิงเขาโน่นสิเจ้าคะ”
นางมองไปตามทางที่ปิงลวี่บอกก็เห็นหินก้อนยักษ์กองทับถมกันเต็มไปหมด ปิดขวางถนนจนผ่านเข้าออกไม่ได้ ไหนเลยยังจะเห็นวี่แววผู้คนที่ขึ้นลงเขารวมถึงกลุ่มขององค์หญิงเจินเจิน
เฉียวเจาหน้าเปลี่ยนสีไปทีละน้อย “คนพวกนั้น…”
เฉินกวงดึงสายตากลับแล้วส่ายหน้า “คงโดนฝังไปแล้วขอรับ”
ชาวบ้านทั่วไปก็แล้วกันไปเถอะ แต่องครักษ์ในวังหลวงพวกนั้นเป็นดั่งหมอนปักลายโดยแท้ ปกติดูภายนอกตัวโตสูงใหญ่มีสง่าน่าเกรงขาม ครั้นเจอกับสถานการณ์ไม่คาดฝันกะทันหันกลับโฉดเขลาเพียงนี้ ยามดินถล่มวิ่งลงเขาได้อย่างไรกัน ทำเช่นนั้นตายเร็วที่สุด เรื่องธรรมดาสามัญพรรค์นี้พวกเขายังไม่รู้เลย!
ประเดี๋ยวก่อน! เฉินกวงคิดถึงตรงนี้แล้วนิ่งขึงไป
นี่มิใช่เรื่องธรรมดาสามัญ แดนเหนือเต็มไปด้วยภูเขาหิมะ จึงเกิดเหตุการณ์หิมะถล่มบ่อยๆ ท่านแม่ทัพต้องบอกกับพวกเขาว่าเวลาพบเจอหิมะถล่มต้องเอาตัวรอดอย่างไรซ้ำๆ หลายครั้งหลายหนมาก
เฉินกวงสะทกสะท้อนใจเหลือหลาย ไม่หลงเหลือความคิดดูแคลนองครักษ์พวกนั้นอีก
“แล้วองค์หญิงเจินเจิน…”
เขาถอนใจ “ไม่น่าจะหนีรอดขอรับ”
เฉียวเจานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
ว่าไปแล้วคงไม่มีองค์หญิงที่เคราะห์ร้ายอย่างองค์หญิงเจินเจินแล้ว
ครั้งก่อนเจอฝนตกหนักบาดเจ็บที่ขา ครั้งนี้เจอดินถล่มถึงกับไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร
“พวกเราไปดูกันว่ายังมีคนรอดชีวิตหรือไม่ ถ้าเกิดมีใครแค่โดนทับขา นานๆ เข้าก็จะต้องตายอยู่ดีเพราะเสียเลือดมากเกินไป”
เฉินกวงห้ามนางไว้ “คุณหนูสามไปไม่ได้ขอรับ”
“หือ?”
“ดินถล่มเช่นนี้ไม่แน่ว่าจะเกิดครั้งเดียว ท่านบุ่มบ่ามลงไปเช่นนี้อันตรายเกินไป อีกอย่างท่านดูตรงเชิงเขามีหินก้อนใหญ่ๆ กองเต็มไปหมด ถึงพวกเราไปก็ไม่สามารถยกหินพวกนั้นออกช่วยคนได้อยู่ดีขอรับ” เฉินกวงทำสีหน้าขึงขัง ยามอยู่กับเฉียวเจา เขาไม่เคยแสดงท่าทางเด็ดขาดปานนี้มาก่อน “อย่างไรข้าไม่มีทางยอมให้ท่านไปเสี่ยงอันตรายเป็นอันขาดขอรับ”
เฉียวเจาทอดสายตามองไปทางเชิงเขาโดยไม่กล่าววาจาเนิ่นนาน นางรับรู้ถึงความเล็กกระจ้อยร่อยของมนุษย์อีกคำรบหนึ่ง
“แล้วพวกเราล่ะ พวกเราจะอยู่ตรงนี้ไปเรื่อยๆ หรือ” ปิงลวี่อดยกมือขึ้นกอดตนเองไม่ได้ นางวิ่งมาตลอดทางจนลำคอแหบแห้งแทบเป็นผุยผง ทว่าความสะพรึงกลัวจากการเฉียดผ่านความตายมาได้กลับทำให้นางหนาวยะเยือกตรงกลางอกจนร่างกายเอาแต่สั่นสะท้าน
เฉินกวงมองไปไกลๆ ทางวัดต้าฝู
ยามนี้พวกเขาเบี่ยงออกนอกทางวิ่งขึ้นเขาเลยอยู่ห่างจากทิศทางนั้นแล้ว
“เขาลั่วสยาไม่เคยเกิดดินถล่มมานานนับหลายสิบปี เป็นไปไม่ได้ที่ทางวัดต้าฝูจะไม่รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนถึงเพียงนี้ พวกเราเดินไปตามทิศทางนั้นก่อนค่อยว่ากันอีกทีเถอะ” เฉินกวงพูดจบแล้วล้วงห่อกระดาษเคลือบมันจากอกเสื้อ พอเปิดออกเป็นสิ่งของอย่างหนึ่งหน้าตาแปลกประหลาด
เขาสะบัดของชิ้นนั้นทีหนึ่งก็มีสะเก็ดไฟพุ่งขึ้นสู่ฟ้า จากนั้นแตกกระจายออกเหมือนพลุไฟทันที
“สิ่งนี้ใช้ส่งสัญญาณตกอยู่ในอันตราย ถ้ามีคนของพวกเราบังเอิญเห็นก็จะส่งข่าวถึงท่านแม่ทัพขอรับ”
“เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ” เฉียวเจามองไปทางเชิงเขาเป็นแวบสุดท้ายก่อนถอนใจเบาๆ
เซ่าจือซึ่งออกมาทำงานนอกเมืองพลันแลเห็นสัญญาณขอความช่วยเหลือประจำกองทัพสกุลเซ่าสว่างขึ้นตรงทิศทางเขาลั่วสยาแล้วสีหน้าเปลี่ยนไปทันควัน เขาพาผู้ใต้บังคับบัญชาสองคนควบม้ามุ่งหน้าไปทางนั้น เมื่อไปถึงเชิงเขาเห็นชายเสื้อที่โผล่ออกมารำไรจากใต้กองหิน เขาอดตกใจยกใหญ่ไม่ได้
“เสี่ยวลิ่ว เจ้ากลับไปรายงานท่านแม่ทัพโดยด่วน บอกว่าเกิดดินถล่มที่เขาลั่วสยา มีคนของพวกเราตกอยู่ในอันตราย”
สถานการณ์อย่างนี้อาศัยกำลังพวกเขาแค่สามคนไม่อาจช่วยคนได้
“น้อมรับคำสั่ง!” ชายหนุ่มนามเสี่ยวลิ่วห้ออาชาสุดฝีเท้าจนเข้าเมืองไปแล้วก็ไม่ชะลอความเร็วลงแม้สักนิด พอถึงหน้าประตูจวนกวนจวินโหว เขากระโดดลงจากหลังม้าวิ่งไปตะโกนไป “รีบเปิดประตู”
เพลานี้เซ่าหมิงยวนไม่ได้อยู่ในเรือน เขายืนอยู่ในลานด้านหน้าอย่างฉงนสงสัยอยู่บ้าง
ตามหลักคุณหนูหลีน่าจะมาถึงแล้ว แต่จนป่านนี้ยังไม่มา หรือว่าพบปัญหาอะไรเข้า
เขานึกไปถึงตอนฝนฟ้าคะนองก่อนหน้านี้ไม่นานแล้วบังเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีรางๆ
“ท่านแม่ทัพ เกิดดินถล่มที่เขาลั่วสยา มีคนถูกฝังอยู่ตรงเชิงเขาหลายคนขอรับ!”