หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 300
บทที่ 300
รอยเท้าของทั้งสามคนหายไปหมดแล้ว แทนที่ด้วยพงหญ้าเขียวที่เอนราบกับพื้นเป็นแถบบนเนินลาดชัน
เซ่าหมิงยวนไต่ลงจากเนินไปที่ก้นแอ่ง เห็นเงาร่างคุ้นตาสายหนึ่งกำลังเดินวนเวียนอยู่ตรงโตรกธาร เด็กสาวถือไม้ไผ่ยาวๆ ลำหนึ่งไว้ในมือ แทงปลายด้านหนึ่งของมันลงไปในน้ำคลับคล้ายกำลังควานหาอะไรอยู่
“คุณหนูหลี” เซ่าหมิงยวนร้องเรียกเสียงหนึ่ง
แผ่นหลังของร่างนั้นชะงักค้างไปอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นหมุนตัวขวับกลับมา เป็นเฉียวเจาอย่างไร้ข้อกังขา
“แม่ทัพเซ่า…” นางอ้าปากเปล่งเสียงพูดสามคำนี้แล้วขอบตาร้อนผ่าวอย่างห้ามไม่อยู่ ในเสี้ยวเวลาแห่งความสิ้นหวังไร้ที่พึ่งเฉกนี้ การปรากฏตัวของเซ่าหมิงยวนเป็นดั่งแสงลำหนึ่งที่ส่องสว่างกลางใจเฉียวเจาโดยมิต้องสงสัย
เฉียวเจาคิดคำนึงว่านางคงไม่อาจรังเกียจเดียดฉันท์เจ้าคนผู้นี้ต่อไปได้อีกแล้วจริงๆ
เซ่าหมิงยวนก้าวเท้าปราดๆ เข้ามาไต่ถามเสียงนุ่ม “ท่านยังสบายดีกระมัง ได้รับบาดเจ็บหรือไม่”
เฉียวเจาจับปล้องไม้ไผ่ในมือแน่นขึ้น “ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ แต่เฉินกวงกับปิงลวี่หายตัวไป”
“หายตัวไป?” เซ่าหมิงยวนหยุดคิดเล็กน้อยก่อนถามขึ้น “ปิงลวี่เสียหลักลื่นไถลตกลงมาจากเนินหรือ”
เฉียวเจาอึ้งไปเล็กน้อยแล้วพยักหน้า “ใช่เจ้าค่ะ เฉินกวงเข้าไปดึงตัวนาง ผลปรากฏว่าพื้นดินใต้ฝ่าเท้ายุบตัวลง ทั้งคู่เลยกลิ้งลงไปด้วยกัน ข้าไต่ลงมาจากเนินพบว่าตรงนี้มีโตรกธารสายหนึ่ง แต่กลับไม่เห็นวี่แววของพวกเขา เป็นไปได้เก้าในสิบส่วนว่าสองคนนั้นตกลงไปในนั้น”
เฉียวเจาเล่าถึงตรงนี้แล้วหน้าหมองลง
ด้วยระดับฝีมือของเฉินกวง หากตอนนั้นเขามีสติอยู่ คนทั้งคู่ไม่มีทางหายตัวไปเช่นนี้แน่
ครั้นนึกถึงรอยเลือดบนก้อนหินที่เห็นตอนปีนลงไปด้านล่าง ในใจหญิงสาวยิ่งเป็นทุกข์ นางฝืนสะกดเก็บไว้กล่าวว่า “ระหว่างที่เฉินกวงกลิ้งลงมาน่าจะได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ข้าคะเนว่าพวกเขาหมดสติไปตอนตกลงไปในน้ำ ก็ไม่รู้…ไม่รู้ว่าพวกเขาจมอยู่ก้นธารหรือถูกน้ำพัดพาไป…”
เฉียวเจาเดินตามกระแสน้ำเสาะหาทว่าไม่พบอะไรสักอย่าง นางเก็บไม้ไผ่มาลำหนึ่งควานหาในโตรกธารพลางย้อนกลับมาตามทางเดิม ทีแรกไม่ตั้งความหวังอันใด จากนั้นก็ได้ยินคนผู้นั้นร้องเรียกนางว่า ‘คุณหนูหลี’
มีอยู่ชั่วพริบตาหนึ่งที่เฉียวเจาคิดว่าอันที่จริงเป็นคุณหนูหลีก็ไม่มีอะไรไม่ดี ทว่าความคิดนี้ผุดขึ้นในใจวูบเดียวก็ถูกความรู้สึกต่างๆ กลบทับหายไปไม่เหลือร่องรอย
“คุณหนูหลี รบกวนท่านหันหลังไปที” เซ่าหมิงยวนเอ่ยปากขึ้นฉับพลัน
เฉียวเจารู้ว่าคนผู้นี้มีความคิดความอ่านไม่ยิ่งหย่อนกว่าตน อีกทั้งในสถานการณ์เลวร้ายเยี่ยงนี้ พละกำลังเป็นประโยชน์กว่าสติปัญญามากนัก นางได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ย่อมจะหมุนกายไปโดยไม่ลังเล
นางมองไม่เห็นว่าเขาทำอะไรอยู่ เงี่ยหูฟังก็ได้ยินแค่เสียงสวบสาบๆ แผ่วเบามาก
เฉียวเจาซึ่งหันหลังให้โตรกธารอดส่งเสียงเรียกไม่ได้ “แม่ทัพเซ่า?”
“ข้าลงไปดูในน้ำสักหน่อย คุณหนูหลีโปรดอย่าเพิ่ง…”
ถ้อยคำว่า ‘โปรดอย่าเพิ่งหมุนกายมา’ ประโยคนี้ยังพูดไม่จบก็โดนเฉียวเจาตัดบทเสียงห้วน “ไม่ได้!”
นางหมุนกายขวับ จากนั้นเบิกตากว้างถอยหลังครึ่งก้าวด้วยความตกใจ
บุรุษตรงหน้าถอดเสื้อคลุมตัวนอกกับกางเกงขายาวออก ลำตัวท่อนบนเปลือยเปล่า ท่อนล่างสวมเพียงกางเกงขาสั้น เพราะเขาตกตะลึงเกินไป ส่งผลให้ท่อนขายาวๆ ที่เพิ่งยกขึ้นข้างหนึ่งชะงักค้างอยู่กลางอากาศในท่านั้น
หลังตัวแข็งทื่อไปพริบตาหนึ่ง เซ่าหมิงยวนก็กระโดดลงน้ำดังตูม
เฉียวเจาได้สติทันควัน จึงเร่งฝีเท้าวิ่งไปตะโกนเรียกเสียงดังอยู่ข้างโตรกธาร “เซ่าหมิงยวน ขึ้นมานะ!”
เจ้าคนผู้นี้ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่หรือไม่ ปกติน้ำในโตรกธารเย็นเฉียบ วันนี้เขายังไม่ได้ฝังเข็ม ทำเช่นนี้อาการไม่รอแร่ปางตายคงแปลกแล้ว!
เฉียวเจาร้อนใจสุดจะกล่าว นางตะโกนเรียกซ้ำๆ แต่นอกจากระลอกคลื่นกระเพื่อมไหวเหนือผิวน้ำ ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ จากใต้น้ำทั้งสิ้น
“เซ่าหมิงยวน ขืนท่านไม่ขึ้นจากน้ำอีก ข้าจะลงไปแล้วนะ”
สิ้นเสียงนาง ละอองน้ำก็สาดกระเซ็นไปทั้งสี่ทิศพร้อมกับเซ่าหมิงยวนโผล่ศีรษะขึ้นมา
เขาลูบหยดน้ำบนใบหน้าออก ลมหายใจถี่แรงขึ้นหลายส่วน “ยังโชคดี ใต้น้ำไม่มีอะไรเลย”
กระนั้นใช่ว่าจะไม่มีอะไรเลย ตรงก้นธารมีกระดูกคนกระจัดกระจายไปทั่ว ทว่าเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องพูดออกมาให้คุณหนูหลีตกใจ
มุมปากของเซ่าหมิงยวนยกขึ้นเล็กน้อย “พวกเขากลิ้งตกน้ำ แต่ไม่ได้จมลงไปติดในโคลนตมที่ก้นธาร นี่นับว่าเป็นข่าวดี ถ้าลอยไปตามน้ำล่ะก็ยังมีหวังว่าจะรอด…”
เซ่าหมิงยวนพูดต่อไปจนจบประโยคไม่ได้ เขาเห็นสีหน้าบึ้งตึงของเด็กสาวตรงริมธารแล้วเสียงพูดขาดเป็นห้วงๆ “คุณหนูหลี ท่าน…”
“ขึ้นมา” เฉียวเจาพยายามรักษาน้ำเสียงของตนเองให้เยือกเย็นขึ้นเต็มที่ แม้ว่านางเกิดอารมณ์ชั่วแล่นอยากเตะคนตรงหน้าให้ตายนัก
ตกลงเขาให้ความสำคัญกับร่างกายของตนเองหรือไม่กันแน่
“ได้” เซ่าหมิงยวนตอบตกลงทันที “คุณหนูหลีช่วยหลบไปชั่วประเดี๋ยวหนึ่งด้วย”
เฉียวเจาไม่แม้แต่เหลือบตาขึ้น นางหมุนกายไปด้วยสีหน้าปราศจากความรู้สึก
ด้านหลังมีเสียงคนขึ้นจากน้ำดังลอยมา ตามมาด้วยเสียงพูดแกมเก้อกระดากของเซ่าหมิงยวน “คุณหนูหลี เสื้อผ้าของข้าอยู่ตรงหน้าท่าน…”
ดังนั้นถ้าเขาอยากสวมอาภรณ์ต้องอ้อมไปข้างหน้านาง…
เฉียวเจาเกือบแค่นหัวเราะออกมาด้วยความโมโห นางสืบเท้าขึ้นหน้าหลายก้าวแล้วก้มตัวลงเก็บชุดบนพื้นเหวี่ยงแขนโยนไปข้างหลัง
เซ่าหมิงยวนรับไว้อย่างแม่นยำ เขาแต่งกายเสร็จอย่างว่องไวถึงระบายลมหายใจเฮือกหนึ่ง
เขาทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้นอย่างสุดความสามารถ พลางเดินไปตรงหน้าเฉียวเจา “คุณหนูหลี ข้าส่งท่านกลับไปที่วัดต้าฝูก่อน”
เฉียวเจายกมือชี้ “แม่ทัพเซ่าไปนั่งบนหินก้อนนั้นแล้วถอดเสื้อตัวนอกออกเจ้าค่ะ”
เซ่าหมิงยวนอึ้งงันไป เขาเพิ่งใส่เสื้อเมื่อครู่นี้เอง…
“วันนี้ทั้งที่ไม่ได้ฝังเข็ม ท่านยังลงน้ำอีก หากไม่รีบฝังเข็มขับพิษทันที อย่าเพิ่งเอ่ยถึงว่าจะพาข้าไปที่ใด เกรงว่าอีกสักครู่ข้ายังต้องแบกท่านเดินด้วยซ้ำไป”
เขาตัวโตถึงเพียงนี้ นางจะแบกไหวได้อย่างไร
เซ่าหมิงยวนได้ยินแล้วจำต้องนั่งลงถอดเสื้อตัวบนออกอย่างว่าง่าย
ยามนี้ท้องฟ้าเริ่มมืดสลัวลง ลมตรงแอ่งเขาเย็นเยียบ เขาสั่นสะท้านอย่างห้ามไม่อยู่
หญิงสาวลอบถอนใจ นางย่อเข่าตรงข้างกายเขา ยื่นมือคลำหาถุงผ้าปักที่เหน็บเอวไว้
มือนางชะงักนิ่ง สีหน้าแปรเปลี่ยนไป
“คุณหนูหลี?” เซ่าหมิงยวนเลื่อนสายตาลง เห็นตรงเอวนางว่างเปล่า
“ถุงผ้าปักหล่นหายไป ครานี้แย่แล้ว” ถึงแม้เฉียวเจาจะเยือกเย็นเป็นนิจ ทว่าหลังพบเจอเหตุไม่คาดฝันติดๆ กันไม่ขาดสายก็เริ่มแตกตื่นอย่างช่วยไม่ได้
“เพราะอะไรไม่ฟังเสียงห้ามของข้า ต้องลงน้ำไปให้ได้หรือไร”
สายตาของเซ่าหมิงยวนสงบนิ่ง “ได้เห็นสภาพใต้น้ำกับตาถึงจะสบายใจ ข้าเชื่อว่าถ้าคุณหนูหลีว่ายน้ำเป็น ก็ต้องทำเช่นนี้เช่นเดียวกัน”
เด็กสาวเบื้องหน้าเข้มแข็งเกินไป ประสบปัญหาที่เกิดขึ้นกะทันหันก็คิดอาศัยตนเองเป็นอันดับแรก ไม่เคยคิดพึ่งพาคนอื่น
เขารู้สึกโชคดีมากที่มาถึงทันท่วงที
เฉียวเจาจนวาจาจะกล่าวตอบได้
หากนางว่ายน้ำเป็นก็ต้องลงไปดูให้รู้ดำรู้แดงแน่นอน เพราะมีเพียงยืนยันด้วยตนเอง ไม่ว่าผลลัพธ์จะดีหรือร้ายถึงจะตัดใจได้
หญิงสาวคิดว่านางกับเซ่าหมิงยวนมีนิสัยคล้ายกันมากในบางจุด
ถึงกระนั้นแม่นางเฉียวไม่มีวันถูกคนบางคนโต้กลับจนพูดไม่ออก นางปั้นหน้าบึ้งพลางเอ่ยขึ้น “นี่จะเหมือนกันได้อย่างไร ในตัวท่านมีพิษไอเย็น…”
เซ่าหมิงยวนไม่คล้อยตามวาจาของนาง เขากล่าวอย่างจริงจัง “นี่มิใช่เหตุผลที่จะถอยหลังเมื่อเจอปัญหา”
เขามองเด็กสาวด้วยแววตาอ่อนโยนพลางพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ข้าคือบุรุษผู้หนึ่ง”
ทั้งที่เขากล่าวคำนี้อย่างบริสุทธิ์ใจและเปิดเผยตรงไปตรงมา แต่ไม่รู้ด้วยเหตุผลกลใดเฉียวเจากลับหน้าร้อนผ่าว นางหลบตากล่าวเสียงราบเรียบ “แม่ทัพเซ่าสวมเสื้อก่อนเถอะเจ้าค่ะ”