หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 302
บทที่ 302
เพราะมีพิษไอเย็นอยู่ในกาย ใบหน้าของเซ่าหมิงยวนจึงขาวเกลี้ยงดุจหยกอยู่เสมอ ยามนี้ถูกชะล้างด้วยน้ำฝน พาให้รอยยิ้มแลดูกระจ่างตาเป็นพิเศษ
เฉียวเจาพยักหน้าน้อยๆ “ได้”
ทั้งคู่เข้าไปในถ้ำด้วยกันโดยที่เซ่าหมิงยวนอยู่หน้าและเฉียวเจาตามหลัง
ภายในถ้ำแห้งสนิท ยิ่งเดินลึกเข้าไปยิ่งกว้างขวางขึ้น เมื่อไปถึงสุดทางก็ไม่ต้องก้มตัวแล้ว
เซ่าหมิงยวนหย่อนตัวนั่งพิงผนังถ้ำ เพราะเขาเปียกโชกไปทั้งสรรพางค์กาย มีน้ำไหลจากเรือนผมมาถึงชายเสื้อหยดลงพื้นรวมกันเป็นหย่อมน้ำเล็กๆ ตรงที่เขานั่งอยู่ในเวลาอันรวดเร็ว
ข้างในมีเพียงแสงสลัวๆ เขากับนางต่างเห็นอีกฝ่ายเป็นเงาร่างตะคุ่มๆ
“แม่ทัพเซ่า ท่านถอดเสื้อเปียกออกสิ” เฉียวเจารู้สึกได้ว่าเขาทนไม่ไหวแล้ว
เซ่าหมิงยวนหลับตาไม่กล่าววาจา นานครู่หนึ่งถึงฝืนลืมตาขึ้นบอกเสียงเบา “ไม่ต้อง คุณหนูหลี ท่านยื่นมือมานี่”
เฉียวเจาไม่เข้าใจความหมายของเขา แต่ยังทำตามคำบอก
เขากุมมือนางไว้ทันที
“แม่ทัพเซ่า?” เฉียวเจาตกใจ
ท่ามกลางความมืด เซ่าหมิงยวนกุมมือนางไว้แน่น นางเห็นสีหน้าของเขาไม่ชัด ได้ยินแต่เสียงของบุรุษดังขึ้นแผ่วเบา “คุณหนูหลี ข้าจะนอนสักครู่”
เฉียวเจาหลุบตาลง นอนหลับต้องจับมือคนอื่นด้วยหรือ
“ข้างนอกฝนตกอยู่ ท่านอย่าออกไปนะ”
หลังจากนั้นเขาไม่พูดต่ออีก ทั้งที่ทั้งสองคนอยู่ใกล้กันถึงเพียงนี้ ในถ้ำก็เงียบสนิท แต่เฉียวเจาไม่ได้ยินแม้แต่เสียงลมหายใจของเขา
นางเพิ่งเข้าใจความหมายของเขาในตอนนี้ ที่แท้เขากลัวนางฉวยโอกาสตอนเขานอนหลับฝ่าฝนออกไปเก็บสมุนไพร ซึ่งนางตั้งใจไว้เช่นนี้จริงๆ เพราะถ้าหาสมุนไพรที่เหมาะสมไม่ได้ คนตรงหน้าผู้นี้ก็หมดทางรอด!
เจ้าคนโง่…
เฉียวเจาดึงมือคืนเบาๆ คนที่เดิมนิ่งเงียบไร้สุ้มเสียงอยู่กลับกุมมือนางแน่นขึ้นฉับพลัน
“แม่ทัพเซ่า…”
อีกฝ่ายไม่ขานตอบ แต่กลับไม่คลายมือออกเลยราวกับเป็นสัญชาตญาณก็ไม่ปาน
มือข้างนั้นร้อนลวกมือคล้ายโดนนาบด้วยเหล็กไฟ เฉียวเจาใจหายวาบ ยื่นมืออีกข้างหนึ่งไปจับข้างแก้มเขา
เอ่อ…มืดเกินไป จับผิดที่เสียแล้ว
นางเลื่อนมือขึ้นไปอังหน้าผาก สัมผัสที่ร้อนจนน่าตกใจทำให้มือนางกระตุกคราหนึ่ง
“แม่ทัพเซ่าๆ ท่านตื่นสิ”
ชายหนุ่มเงียบกริบ
ใจนางดิ่งวูบลง พอจะดึงมือข้างที่โดนจับไว้ออก เขากลับกุมมือข้างนั้นของนางแน่นขึ้น
ชั่วพริบตานี้ เฉียวเจาพลันรู้สึกว่าหัวใจของนางถูกสั่นคลอนเบาๆ
แรงใจของคนผู้นี้แข็งแกร่งปานใด ต่อให้กำลังหมดสติอยู่ยังคงไม่ลืมจับมือนางไว้
“เซ่าหมิงยวน ท่านปล่อยมือนะ ข้ารับรองว่าจะไม่ออกไป” เฉียวเจากระซิบบอก
ด้านในถ้ำมืดลงเรื่อยๆ จนนางมองไม่เห็นตัวเขาอีก
กระนั้นมือที่ถูกกุมไว้ข้างนั้นยังไม่เป็นอิสระ คนผู้นั้นส่ายหน้าน้อยๆ เอาแก้มถูไถกับหลังฝ่ามือของนางทีแล้วทีเล่า
“หนาว…”
ในความมืดมิด เสียงพูดเบาหวิวว่า ‘หนาว’ คำนี้ละม้ายขนนกเล็กๆ แตะลงกลางใจของเฉียวเจา
นางถอนใจเฮือกหนึ่งก่อนแข็งใจกระชากมือออกสุดแรงแล้วยื่นมือไปเปลื้องอาภรณ์เขาออก
พิษไอเย็นกำเริบ ขืนยังสวมเสื้อเปียกไว้ เขาจะไม่รอดชีวิตแล้วจริงๆ
ชะรอยว่าสภาพร่างกายเขากำลังย่ำแย่ถึงที่สุด หนนี้เซ่าหมิงยวนจึงไม่แสดงท่าทีใดๆ
เฉียวเจาคลำมือถอดเสื้อตัวบนของเขาเสร็จก็เลื่อนมือลงไปหยุดที่เอว นางลังเลใจเล็กน้อยก่อนทำสีหน้าเด็ดเดี่ยว
นางสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงไปมากกว่าจะเปลื้องชุดเปียกๆ บนตัวเขาออกหมดในที่สุด จากนั้นเดินคลำทางในความมืดไปยังทิศทางหนึ่งตามภาพในความทรงจำที่มองเห็นรำไรตอนเพิ่งเข้ามา นางลองหยั่งด้วยการเหวี่ยงเท้าไปมาจนเตะโดนของสิ่งหนึ่งในที่สุด เกิดเสียงแผ่วเบาท่ามกลางความมืด
มันเป็นฟางข้าวกองหนึ่งที่เห็นได้รางๆ ตอนในถ้ำยังเหลือแสงริบหรี่
เฉียวเจาก้มตัวลงคลำมือไปหอบกองฟางขึ้นมาแล้วระบายลมหายใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง
ฟางข้าวแห้งสนิทมาก เช่นนี้ก็ช่วยให้เขาอบอุ่นขึ้นได้บ้าง
เด็กสาวหอบฟางข้าวกลับไปอย่างระมัดระวัง พอปลายเท้าแตะถูกตัวชายหนุ่ม นางย่อกายลงเอามันห่มให้เขา
ยามปลายนิ้วสัมผัสโดนเนื้อตัวเขาทำให้นางหน้าร้อนผะผ่าว แต่ยังคงทำเรื่องนี้จนเสร็จได้อย่างเรียบร้อย จากนั้นเดินออกจากถ้ำโดยไม่เหลียวหลัง
ฝนยังตกอยู่ ลมภูเขาหนาวยะเยือก เฉียวเจาสั่นสะท้านอย่างห้ามไม่อยู่ขณะก้าวเข้าสู่ม่านพิรุณ
แอ่งเขามีพฤกษานานาพันธุ์ดกดื่นรวมถึงสมุนไพรมากมาย แต่เพราะฟ้ามืดและฝนตกทำให้แยกแยะได้ยากมาก นางก้มหน้าก้มตาเสาะหาอยู่เนิ่นนาน สุดท้ายก็พบของที่ต้องการ
เด็กสาวถือสมุนไพรที่มีเหง้าเป็นสีแดงเข้มรูปทรงเหมือนลำไผ่ไว้ในมือกำหนึ่งพร้อมกับเผยรอยยิ้มอย่างดีอกดีใจ นางยกมือปาดน้ำฝนออกแล้วสาวเท้าเร็วรี่ไปที่ถ้ำ ทว่าตอนใกล้ถึงปากถ้ำ เท้านางลื่นไถลทีหนึ่ง พาความเจ็บปวดแล่นปราดไปถึงหัวใจ
เฉียวเจาหลั่งเหงื่อเย็นท่วมกายทันใด นางงอตัวด้วยความทรมาน นานครู่ใหญ่กว่าความเจ็บจะบรรเทาลงถึงยืดตัวขึ้นเดินกะโผลกกะเผลกเข้าไป
ภายในถ้ำมืดสนิทดุจเก่าและเงียบเชียบมากขึ้นจนน่าตกใจ
เฉียวเจากระทืบเท้าเบาๆ สะบัดน้ำฝนบนตัวออก ทนความเจ็บที่แผ่มาจากข้อเท้าไว้แล้วเดินเข้าไปข้างใน
“เซ่าหมิงยวน…” นางย่อตัวลงคลำหามือของชายหนุ่มแล้วจับไว้
ฝ่ามือของเขาใหญ่และหยาบกร้าน ผิวเนื้อตรงปลายนิ้วขรุขระจากบาดแผล มือเขาร้อนมากขึ้นกว่าตอนนางออกไป
ร้อนที่ผิวกายแต่หนาวถึงในกระดูก นี่คืออาการพิษไอเย็นที่ควบคุมไม่อยู่แล้ว
ราวกับสัมผัสถึงไออุ่นจากนิ้วมือของเฉียวเจา ฝ่ามือใหญ่ข้างนั้นขยับทั้งที่ไม่ได้สติ แต่ไม่มีแรงกุมมือนางตอบ
เฉียวเจาพลันรู้สึกขมขื่นใจระลอกหนึ่ง นางถอยห่างออกมาเพื่อไม่ให้อาภรณ์ที่เปียกแฉะของตนทำให้ฟางชื้นไปด้วย ใช้ข้อนิ้วหักต้นสมุนไพรรูปทรงคล้ายลำไผ่เบาๆ เป็นสองท่อน มีน้ำใสๆ ไหลซึมออกมาทันที
นางมองไม่เห็นเลยได้แต่ใช้ปลายนิ้วแตะๆ ดูก่อนค่อยยื่นสมุนไพรท่อนนั้นไปจ่อข้างปากเขา “เซ่าหมิงยวน กินยาได้แล้ว”
ไม่มีคนขานตอบ
น้ำจากต้นสมุนไพรไหลออกทางมุมปากเขาจนเปรอะมือนางไปหมด
เฉียวเจาชะงักไป นางโยนต้นสมุนไพรครึ่งท่อนนั้นทิ้งไป บีบน้ำสมุนไพรจากอีกท่อนหนึ่งเข้าปากตนเองแล้วเอาปากประกบปากเขาแนบแน่น
นางไม่เชื่อว่าทำวิธีนี้แล้วจะป้อนเข้าไปไม่ได้!
ไม่เหมือนส่วนอื่นๆ ของร่างกายที่ร้อนจัด ริมฝีปากของเขากลับเย็นเฉียบ อีกทั้งไม่นับว่าอ่อนนุ่มนัก
ผ่านไปนานพักใหญ่ เฉียวเจาเงยหน้าขึ้นเช็ดมุมปากเบาๆ คลำหาชุดที่ถอดจากตัวเซ่าหมิงยวนพบแล้วเดินเขยกๆ ไปบิดน้ำออกวางผึ่งไว้อีกด้านหนึ่ง ก่อนจะค่อยเริ่มถอดเสื้อเปียกบนตัว
แม้จะรู้ว่าคนผู้นั้นสลบไสลอยู่ และในสภาพรอบตัวเฉกนี้ต่อให้มีสติอยู่ก็มองอะไรไม่เห็น แต่ความเหนียมอายตามวิสัยสตรีเพศทำให้มือนางสั่นเทาไม่หยุด
เซ่าหมิงยวนพูดได้ถูก มีชีวิตอยู่ต่อไปต่างหากที่สำคัญที่สุด
เฉียวเจาเดินช้าๆ กลับมานั่งลงชิดกับเขา คอยยื่นมือไปตรวจดูอาการของเขาให้แน่ใจ
ตกดึกถึงแม้จะเป็นกลางฤดูร้อน ทว่าข้างนอกกำลังฝนตก อีกทั้งอยู่ในสถานที่เยี่ยงนี้ เฉียวเจาซึ่งไร้อาภรณ์ปกปิดกายยังคงรู้สึกหนาวเหน็บ ผนังถ้ำที่แผ่นหลังของนางพิงอยู่ทั้งเย็นทั้งแข็ง
นางได้แต่ขดตัวเข้าหากันเป็นก้อนกลม พลางถอนใจเฮือกหนึ่ง
เพิ่งล่วงเข้ายามราตรี เซ่าหมิงยวนจะทานทนไหวหรือไม่กันแน่ก็ยังไม่รู้ ขณะที่นางออกไปเก็บสมุนไพรไม่ได้อีกแล้วเพราะข้อเท้าแพลง ทุกอย่างคงต้องขึ้นอยู่กับลิขิตสวรรค์เท่านั้น
ค่ำคืนนี้จะข้ามผ่านไปได้อย่างยากเย็นปานใดหนอ
“เซ่าหมิงยวน ท่านอย่าพ่ายแพ้ให้กับพิษไอเย็นนะ ไม่เช่นนั้นพวกเราสองคนต้องตายอยู่ด้วยกันที่นี่จริงๆ” เฉียวเจาพูดพึมพำ