หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 304
บทที่ 304
เหตุดินถล่มที่เขาลั่วสยาสร้างความตะลึงพรึงเพริดไปทั่วทั้งเมืองหลวง
เขาลั่วสยาเป็นสถานที่อะไร ที่นั่นเป็นที่ตั้งของวัดต้าฝูอันเลื่องชื่อลือนามมานับร้อยปี สถานที่ศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ถึงกับเกิดเหตุดินถล่มได้เหมือนกันหรือ
ฮ่องเต้หมิงคังเลื่อมใสลัทธิเต๋า แต่ไทเฮาองค์ปัจจุบันนับถือพระพุทธ ด้วยเหตุนี้ที่ว่าการของกรมต่างๆ เช่นกรมอากร กรมทหาร ย่อมไม่กล้าละเลยแชเชือน ต่างแบ่งกำลังคนจำนวนมากมาเก็บกวาดสิ่งกีดขวางถนนออก
ชั่วขณะเดียว หัวข้อสนทนาในวงน้ำชายามว่างของชาวเมืองหลวงล้วนหนีไม่พ้นเรื่องนี้ ทุกคนต่างคาดเดาว่าไปลบหลู่พุทธองค์ตรงใดใช่หรือไม่ถึงบันดาลให้เกิดเภทภัยเยี่ยงนี้ขึ้น
องค์หญิงเจินเจินอยู่ในฐานะพิเศษ เพื่อไม่ให้ราษฎรโยงเหตุการณ์นี้ไปที่เหล่าเชื้อพระวงศ์ เรื่องที่นางประสบเหตุดินถล่มจนโดนฝังทั้งเป็นจึงถูกปิดเงียบไว้เป็นธรรมดา ไม่มีเสียงเล่าลือเล็ดลอดออกมาแม้แต่น้อยนิด
องค์หญิงเจินเจินที่ค่อยๆ หมดสติอยู่ในรถม้าถูกส่งกลับถึงวังหลวงจวบจนวันที่สองถึงฟื้นขึ้นมา
นางรู้สึกลำคอแห้งผากระคายเคือง ตะโกนเรียกคนเสียงแหบพร่าว่า “เข้ามา…”
“องค์หญิงตื่นบรรทมแล้ว!” นางกำนัลที่เฝ้าอยู่ด้านข้างรีบวิ่งเข้าไป จากนั้นเบิกตากว้างแทบถลนราวกับโดนผีหลอกก็ไม่ปาน
“ไปรินน้ำให้ข้า” องค์หญิงเจินเจินกำลังมึนศีรษะอยู่ นางมิได้คิดอะไรมากที่นางกำนัลแสดงท่าทีแปลกๆ เช่นนี้
“องค์หญิงๆ…” ใบหน้าของนางกำนัลซีดเผือด ร่างกายสั่นเทาอย่างห้ามไม่อยู่
“ไปสิ ข้าอยากดื่มน้ำ”
“เพคะๆ” นางกำนัลแตกตื่นทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ไปรินน้ำตามคำสั่งของผู้เป็นนายก่อน
องค์หญิงเจินเจินหลับตาลง ในห้วงความคิดมีเงาร่างของบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งผุดขึ้นโดยพลัน
นั่นเป็นฝันร้ายคราหนึ่งโดยแท้ โชคดีที่เขาช่วยนางไว้
นางจำได้เพียงว่าตอนนั้นดินถล่มทลายพร้อมน้ำไหลบ่ามาประหนึ่งมังกรพิโรธตัวหนึ่งไล่หลังพวกนางอย่างสุดกำลัง
องครักษ์อุ้มนางออกวิ่ง นางหันไปข้างหลัง มองดูมังกรพิโรธไล่ตามมาใกล้ขึ้นๆ ทุกทีต่อหน้าต่อตา ท้ายที่สุดก็ท่วมทับพวกนางไว้พร้อมกับเสียงร้องคำราม หลังจากนั้นก็ไม่หลงเหลือความทรงจำใดสักนิด
เมื่อฟื้นขึ้นมาอีกที นางอยู่ท่ามกลางความมืดมิดไร้ขอบเขตมองอะไรไม่เห็น ดูเหมือนมีน้ำฝนหยดลงบนใบหน้าเปาะแปะๆ นางอดยกมือขึ้นมาจะลูบหน้าไม่ได้ ทว่ากลับจับถูกร่างเย็นเฉียบแข็งทื่อ
พริบตานั้นนางกระจ่างแจ้งในบัดดลว่าสิ่งที่คร่อมอยู่เหนือร่างตนคือศพคนตาย ส่วนหยดฝนในความคิดนางคือโลหิต…
ชั่วขณะนั้นนางแทบคลุ้มคลั่ง ร้องตะโกนขอความช่วยเหลือสุดเสียงจนคอแทบแตกก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใด
ความสิ้นหวังถั่งโถมเข้าเกาะกุมใจ นางถึงขั้นโกรธแค้นพวกองครักษ์อยู่บ้างที่เหตุใดตอนนั้นไม่ปล่อยให้นางถูกทับตายไปให้รู้แล้วรู้รอด นางรอดชีวิตมาได้และมีสติรับรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง สุดท้ายก็ต้องหิวโหยจนหมดลมหายใจอยู่ดี
ต่อมานางสลบไปอีก ไม่รู้ว่านอนไปนานเท่าใด ความรู้สึกของนางมันช่างยาวนานราวกับชาติหนึ่ง
จากนั้นนางก็รับรู้ได้ถึงแสงสว่าง นางคล้ายบังเกิดเรี่ยวแรงมหาศาล พยายามลืมตาขึ้นอย่างสุดกำลังก็เห็นชายหนุ่มผู้หนึ่ง เรียวคิ้วยาวดุจกระบี่ นัยน์ตาสุกใสดั่งดวงดาวคืนเหมันต์ ยังมีแววตาที่สุขุมหนักแน่น
เขากล่าวว่า ‘องค์หญิงอย่าเพิ่งตรัสอะไร กระหม่อมจะพาพระองค์ออกไปพ่ะย่ะค่ะ’
เมื่อทบทวนความทรงจำถึงตรงนี้ องค์หญิงเจินเจินเริ่มอมยิ้มอย่างกลั้นไม่อยู่ นางต้องการบุรุษผู้นี้!
บุรุษเยี่ยงนี้จะต้องเป็นที่พึ่งที่ดีที่สุดของนางได้แน่นอน วันหน้าไม่ว่าตกทุกข์ได้ยากเช่นไร เขาจะบอกกับนางด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า ‘กระหม่อมจะพาพระองค์ออกไปพ่ะย่ะค่ะ’
“องค์หญิง พระสุธารสมาแล้วเพคะ” นางกำนัลเห็นองค์หญิงเจินเจินหลับตาอมยิ้ม ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงรู้สึกว่าน่ากลัวยิ่งขึ้น นางกล่าวเสียงสั่น
องค์หญิงเจินเจินลืมตาขึ้นอีกครั้ง หนนี้ไม่เหลือแววงุนงงเลื่อนลอยให้เห็น เมื่อได้สติเต็มที่ นางรับรู้ถึงความไม่ชอบมาพากลได้แล้ว
นางไม่ได้ดื่มน้ำ แต่มุ่นคิ้วไต่ถาม “เป็นอะไรไป”
นางกำนัลก้มหน้างุด ตัวสั่นระริกไม่หยุด “องค์หญิง องค์หญิงทรง…”
“มันเรื่องอะไรกันแน่ พูดให้รู้เรื่อง”
นางกำนัลรวบรวมความกล้า หมุนกายวิ่งไปหยิบคันฉ่องสลักลายของชาวโพ้นทะเลมาเสียเลย นางถือด้วยสองมือสั่นเทายื่นไปเบื้องหน้าผู้เป็นนาย “องค์หญิง ทอดพระเนตร…”
ในใจองค์หญิงเจินเจินบังเกิดลางสังหรณ์ไม่ดี นางสะกดความตื่นตระหนกไว้แล้วชายตามองไปทางคันฉ่อง
คันฉ่องที่เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาบานนี้ต่างจากคันฉ่องทั่วไป สามารถสะท้อนเงาคนให้เห็นชัดเจนทุกซอกทุกมุม นางตวัดสายตามองปราดเดียวก็แผดเสียงโวยวายดังลั่น “ไฉนถึงเป็นอย่างนี้!”
นางยกสองมือปิดหน้าส่งเสียงกรีดร้องไม่หยุด แต่ในใจยังมีความหวังสุดท้ายริบหรี่ นางแลลอดช่องหว่างนิ้วมองคันฉ่องซ้ำอีกครั้งแล้วควบคุมสติไม่อยู่โดยสิ้นเชิง ก่อนจะเหวี่ยงมือปัดคันฉ่องทิ้ง
“นี่ไม่ใช่ความจริง ไม่มีทางเป็นความจริง อา…” องค์หญิงเจินเจินตาเหลือกสิ้นสติไป
“องค์หญิง! องค์หญิงเพคะ”
หลังโกลาหลระลอกหนึ่ง ลี่ผินรู้ข่าวก็รุดมาถึง
“องค์หญิงฟื้นแล้วเป็นลมไปอีกได้อย่างไร เชิญหมอหลวงแล้วใช่หรือไม่”
นางกำนัลพากันตัวสั่นงันงก หนึ่งในนั้นทำใจกล้าเอ่ยขึ้น “พระสนมเพคะ ทอดพระเนตรดูก็จะทรงทราบเพคะ”
ลี่ผินสาวเท้าเร็วรี่เข้าไปในห้อง มองปราดเดียวก็เห็นองค์หญิงเจินเจินนอนสลบไสลอยู่บนเตียง นางอุทานขึ้นอย่างสุดระงับ “เจินเจิน!”
องค์หญิงเจินเจินนิ่งสนิทไม่ไหวติง
ลี่ผินถลันเข้าไปเพ่งพิศดวงหน้าของพระธิดาอย่างละเอียด เพียงเห็นผิวหน้านางเป็นปื้นแดงๆ มีน้ำเหลืองไหลซึมออกมา ดูท่าทางเนื้อใกล้จะเน่าแล้ว เวลานี้ดวงหน้าที่งามสะคราญล้ำหล้าแต่เดิมกลับชวนให้รู้สึกน่าขยะแขยง
“นี่มันเรื่องอะไรกัน!” ลี่ผินพูดเสียงแหลมสูงอย่างห้ามไม่อยู่
พวกนางกำนัลคุกเข่าตุบๆ เรียงกันเป็นแถว “พวกหม่อมฉันไม่ทราบเพคะ เมื่อคืนองค์หญิงยังทรงปกติดีอยู่ ใครจะรู้ว่าเช้านี้ตื่นมาจะทรงกลายเป็นเช่นนี้ไปแล้ว”
ลี่ผินรู้สึกวิงเวียนหน้ามืดเป็นระลอก
เมื่อวานองค์หญิงเจินเจินถูกส่งกลับวัง ลี่ผินถึงรู้ว่าเกิดเรื่องใหญ่เพียงนี้ นางเฝ้าพระธิดาจนดึกดื่นถึงกลับไปพักผ่อน ตอนนั้นพระธิดาดูปกติดีจริงๆ หมอหลวงยังบอกว่าร่างกายขององค์หญิงอ่อนแอ พักรักษาตัวให้มากๆ ก็จะหายดี นี่เพิ่งผ่านไปราตรีเดียว ไฉนกลายเป็นอย่างนี้ไปแล้ว
“พระสนม หมอหลวงมาแล้วเพคะ”
ลี่ผินลุกขึ้นออกไปต้อนรับทันที
คนที่มายังคงเป็นหมอหลวงที่ตรวจอาการให้องค์หญิงเจินเจินเมื่อคืน
“หมอหลวง ท่านรีบดูอาการขององค์หญิงเถอะ” หมอหลวงจะแสดงคำนับ ลี่ผินห้ามไว้แล้วหันหลังกลับเข้าไปอย่างเร่งร้อน
หมอหลวงตามเข้าไป พอได้เห็นสภาพขององค์หญิงเจินเจินแล้วตกใจ
“หมอหลวง ท่านตรวจดูเร็วเข้า องค์หญิงกลายเป็นเช่นนี้ได้เช่นไร”
หมอหลวงตรวจอาการขององค์หญิงเจินเจินอย่างละเอียดยิบ เขาโคลงศีรษะไม่หยุด “น่าพิศวง น่าพิศวงยิ่งนัก”
“ว่าอย่างไร”
“องค์หญิงทรงเป็นเช่นนี้ กลับคล้ายใบหน้าเปื้อนโดนของมีพิษอะไรบางอย่าง แต่เป็นได้อย่างไรกันแน่นั้น กระหม่อมก็ยากจะบอกได้พ่ะย่ะค่ะ”
“นี่…นี่ควรทำฉันใดดี” ได้ยินหมอหลวงกล่าวเช่นนี้ ลี่ผินก็มืดแปดด้านเหมือนกัน
“บางทีเชิญหัวหน้าแพทย์หลวงมาดูอาการ อาจจะพบสาเหตุก็เป็นได้พ่ะย่ะค่ะ”
หัวหน้าแพทย์หลวงเป็นตำแหน่งสูงสุดในสำนักแพทย์หลวง ซึ่งปกติจะคัดเลือกจากหมอหลวงฝีมือดีที่สุด กระนั้นด้วยศักดิ์ฐานะของลี่ผินหมายเชิญหัวหน้าสำนักแพทย์หลวงมิใช่เรื่องง่ายๆ ปานนั้น เพราะผู้ที่ได้รับการรักษาจากเขาส่วนใหญ่คือฮ่องเต้กับไทเฮาเท่านั้น
ลี่ผินย่างเท้าออกเดินไปตำหนักฉือหนิง
“มีเรื่องพรรค์นี้ด้วยหรือ” หยางไทเฮาได้ยินคำขอของลี่ผินแล้วอดตกอกตกใจไม่ได้
ฮ่องเต้หมิงคังมีโอรสธิดาน้อย องค์ชายที่เลี้ยงรอดจนเติบใหญ่มีแค่สองพระองค์ มาตรว่าจะมีพระธิดามากกว่าบ้าง แต่ไม่ถึงขั้นเป็นโขยง หยางไทเฮารักและเอ็นดูองค์หญิงเจินเจินที่โฉมงามรู้ความจากใจจริงอยู่มาก นางสั่งให้นางข้าหลวงไปเรียกตัวหัวหน้าสำนักแพทย์หลวงทันที ซ้ำยังลุกขึ้นบอกว่า “ข้าจะตามเจ้าไปดูด้วย”