หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 305
บทที่ 305
“หัวหน้าแพทย์หลวงหลี่ ตกลงองค์หญิงเก้าเป็นอะไรกันแน่” หยางไทเฮาไต่ถามเสียงขรึม
ในบรรดาองค์หญิงของราชสำนัก องค์หญิงเก้าจัดว่าโฉมงามที่หนึ่ง ถึงขนาดพูดได้ว่าทั่วทั้งเมืองหลวงคนที่โดดเด่นเกินหน้านางหามีไม่ หญิงงามเฉกนี้ใกล้จะเสียโฉมรอมร่อ ทำให้ทรมานใจเหลือเกินจริงๆ
“กราบทูลไทเฮา เป็นไปได้ว่าองค์หญิงทรงโดนสิ่งที่เป็นพิษไม่รู้จักชื่อสักอย่างพ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าแพทย์หลวงหลี่ตรึกตรองครู่หนึ่งแล้วบอกผลการตรวจวินิจฉัยออกมา
“พิษ?” ดวงตาของหยางไทเฮาทอแววเคร่งเครียด
คนในหมู่เชื้อพระวงศ์กริ่งเกรงระวังเรื่องพวกนี้อย่างยิ่ง หลานสาวที่น่ารักผู้หนึ่ง เหตุใดถึงโดนพิษที่ไม่รู้จักชื่อได้
หรือว่ามีคนวางยาพิษเจินเจิน
หยางไทเฮายิ่งคิดสีหน้ายิ่งบูดบึ้ง
“หัวหน้าแพทย์หลวงหลี่ลองว่ามา พิษที่ไม่รู้จักชื่อนี้มาจากที่ใดได้บ้าง”
หัวหน้าแพทย์หลวงหลี่มีสีหน้าเคร่งเครียด เขาเอ่ยตอบอย่างนอบน้อม “กระหม่อมเห็นว่าเป็นไปได้มากว่าพิษที่ไม่รู้จักชื่อชนิดนี้ องค์หญิงจะได้รับมาจากข้างนอกพ่ะย่ะค่ะ”
“ได้รับมาจากข้างนอก?” หยางไทเฮาฟังแล้วสะดุ้งในใจ
เมื่อวานเจินเจินถูกฝังอยู่ใต้กองดินหิน วันนี้ก็กลายสภาพเป็นเช่นนี้ หรือว่าจะเกี่ยวข้องกัน
“ไม่นะๆ…” ยามนี้เององค์หญิงเจินเจินก็ลืมตาพรึบขึ้นทันที
“เจินเจิน” หยางไทเฮาเรียกขานเสียงหนึ่ง
องค์หญิงเจินเจินตะลึงงัน จากนั้นจับมือหยางไทเฮาไว้ “เสด็จย่า เสด็จมาได้อย่างไรเพคะ เมื่อครู่หม่อมฉันเหมือนฝันร้าย ทำให้หม่อมฉันเสียขวัญแทบแย่”
นางพูดยิ้มๆ อย่างน่ารักรู้ความ “ทว่าได้พบพระพักตร์พระองค์ หม่อมฉันก็ไม่กลัวแล้วเพคะ ทั้งหมดนั่นเป็นเรื่องหลอกลวงทั้งเพ…”
หยางไทเฮาแปลบปลาบใจ นางตบมือหลานสาวเบาๆ “เด็กดี ไม่ต้องกลัวนะ เสด็จย่าจะให้หมอหลวงดูอาการเจ้าอย่างละเอียด”
“เสด็จย่าตรัสอะไรอยู่เพคะ หม่อมฉันปกติดี จะรบกวนหมอหลวงด้วยเหตุใด”
ลี่ผินกล่าวปนสะอื้นอย่างกลั้นไม่อยู่ “เจินเจิน เจ้าเป็นอะไรไป”
“เสด็จแม่เสด็จมาได้อย่างไรเพคะ” องค์หญิงเจินเจินหุบยิ้มเหลียวมองรอบด้าน ครั้นสายตาของนางหยุดอยู่ที่ตัวหัวหน้าแพทย์หลวง ดวงตาทั้งคู่เบิกกว้างกะทันหัน
หัวหน้าแพทย์หลวง? ไฉนหัวหน้าแพทย์หลวงที่รักษาเสด็จย่ากับเสด็จพ่อเท่านั้นถึงอยู่ที่นี่ได้
องค์หญิงเจินเจินเพียงรู้สึกว่าในหัวมีเสียงดังอึงอลขึ้นก่อนจดจำทุกอย่างได้แล้ว นางปิดหน้าพลางพูด “หน้าข้าๆ เอาคันฉ่องมา…”
พวกนางกำนัลต่างก้มหน้าไม่กล้าปริปาก
องค์หญิงเจินเจินตวาดใส่นางกำนัลอาวุโสประจำตัว “ฟางหลัน! เจ้าเป็นท่อนไม้รึ รีบหยิบคันฉ่องมาให้ข้าสิ!”
ฟางหลันยืนนิ่งอยู่กับที่ เหลือบตาไปมองไทเฮากับลี่ผิน
หยางไทเฮาถอนใจเฮือกหนึ่งพลางกล่าวขึ้น “พวกเจ้าออกไปให้หมด”
พวกนางกำนัลลุกลนถอยออกไปราวกับได้รับอภัยโทษ
“เสด็จย่า?”
“เจินเจิน เจ้าใจเย็นๆ ยามพบกับปัญหาขึ้น ร้อนใจไปก็ป่วยการ” หยางไทเฮาเอ่ยปลอบเช่นนี้ ทว่ากลับหักใจหยิบคันฉ่องให้นางส่องดูไม่ได้
สำหรับอิสตรีแล้วรูปโฉมเป็นสิ่งสำคัญยิ่งกว่าชีวิต อย่าเอ่ยถึงว่ามีเนื้อตายเน่าทั่วใบหน้า แค่สิวจุดเล็กๆ หากทิ้งรอยไว้ยังต้องเสียใจไปชั่วชีวิต สารรูปของเจินเจินในตอนนี้ ถ้านางเห็นตนเองต้องทำใจไม่ได้เป็นแน่แท้
“ที่แท้ข้าไม่ได้ฝันไป ไม่ได้ฝันไป…” องค์หญิงเจินเจินน้ำตาร่วงเผาะ นางจับแขนเสื้อหยางไทเฮาไว้ “เสด็จย่า วันหน้าเจินเจินสมควรทำประการใดดีเพคะ”
“ไม่ต้องกลัวๆ เจ้าคือองค์หญิง เป็นหลานสาวที่น่ารักของเสด็จย่า เสด็จย่าจะให้พวกหมอหลวงคิดหาวิธีเอง”
องค์หญิงเจินเจินก้มหน้าพูดเสียงพร่า “ขอบพระทัยเสด็จย่าเพคะ”
หยางไทเฮาลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยกำชับลี่ผิน “ดูแลเจินเจินให้ดี ระยะนี้เจ้าไม่ต้องกลับตำหนักบรรทมแล้ว อยู่ที่นี่เป็นเพื่อนเจินเจินเถอะ”
พอหยางไทเฮากลับไป องค์หญิงเจินเจินเริ่มร่ำไห้ฟูมฟายอย่างควบคุมอารมณ์ไม่อยู่
“เจินเจิน อย่าร้องนะ ไทเฮาต้องทรงเชิญหมอที่เก่งที่สุดมาให้เจ้าแน่”
“แต่หัวหน้าแพทย์หลวงหลี่เป็นหมอหลวงที่เก่งที่สุดแล้วนะเพคะ” ตอนไทเฮาอยู่ที่นี่เมื่อครู่นี้ องค์หญิงเจินเจินฝืนข่มกลั้นอยู่ตลอด ทว่านางมิใช่คนเบาปัญญา เห็นหัวหน้าแพทย์หลวงหลี่มีท่าทางอับจนหนทางอย่างชัดเจนแล้วยังมีอันใดไม่กระจ่างแจ้งอีกเล่า ขณะนี้เหลือเพียงพระมารดาอยู่ด้านข้างถึงพูดออกมาโดยไม่คำนึงถึงอะไรทั้งสิ้น
“เสด็จแม่ วันหน้าหม่อมฉันสมควรทำประการใดดี หากรักษาใบหน้าไม่หาย หม่อมฉันก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว…”
ลี่ผินตกใจจนขวัญหนีดีหาย นางกอดพระธิดาไว้แน่นๆ พลางกล่าวเสียงเครือ “ต้องรักษาหายได้แน่ๆ”
ขณะที่องค์หญิงเก้ากำลังทุกข์ระทมหม่นไหม้ ทางด้านสกุลหลีก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าใด
เพราะสาเหตุจากองค์หญิงเจินเจิน ข่าวคุณหนูสามสกุลหลีติดอยู่ในภูเขาเช่นกันจึงไม่แพร่กระจายออกมา ทว่าทันทีที่เหอซื่อได้ยินว่าเกิดเหตุดินถล่ม นางเป็นลมล้มพับไปเลย รอเมื่อนางลืมตาฟื้นขึ้น คนที่เฝ้าอยู่ข้างกายคือนายหญิงรองหลิวซื่อ
“พี่สะใภ้ใหญ่ฟื้นแล้ว”
“ฮูหยินผู้เฒ่าล่ะ ท่านพี่ล่ะ”
“ฮูหยินผู้เฒ่าไปถามข่าวคราว ส่วนพี่ใหญ่พาฮุยเอ๋อร์รุดไปที่เขาลั่วสยาแล้ว”
“เขาลั่วสยา? เจาเจา…” เหอซื่อจู่ๆ ก็ยกมือขึ้นตบหน้าตนเอง
หลิวซื่อตกอกตกใจ “พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านเป็นอะไรไป” เมื่อก่อนพี่สะใภ้คนโตผู้นี้แค่โง่เขลาอยู่สักนิด แต่ดูไม่ออกว่าจะสติวิปลาสด้วย
หลิวซื่อลอบเขยิบบั้นท้ายถอยออกห่าง โง่เขลากลับไม่มีอะไรน่ากลัว แต่พวกสติวิปลาสจะตอแยด้วยไม่ได้ เกิดอยากเชือดคนตามใจชอบขึ้นมาจะทำอย่างไร
“ข้าไม่เอาไหนเอง เอาแต่เป็นลม ข้าจะไปหาเจาเจาที่เขาลั่วสยา”
“โธ่ พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านอย่าไปสร้างปัญหาเพิ่มขึ้นอีกเลย ตอนนี้ที่เขาลั่วสยานั่นมีเจ้าหน้าที่ทางการมากมาย ท่านไปแล้วจะทำอะไรได้ เรี่ยวแรงกำลังก็ไม่มี”
“ข้าแรงเยอะกว่าท่านพี่นะ”
หลิวซื่อนิ่งคิด พูดถึงสามีตนเองเช่นนี้ไม่ดีกระมัง
“น้องสะใภ้ วันนี้ข้าขอบใจเจ้ามาก แต่เจ้าอย่าห้ามข้า เจาเจาเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของข้า ต่อให้ข้าทำอะไรไม่ได้สักอย่าง ได้แต่จับเจ่าเฝ้ารออยู่ตรงนั้น ข้าก็จะไปให้ได้”
หลิวซื่อฟังแล้วทอดถอนใจ นางไม่เหนี่ยวรั้งอีก “เอาเถอะ พี่สะใภ้ใหญ่จะไปข้าก็ไม่ห้ามอีก แต่จวนเราไม่มีรถม้าแล้ว”
“ไม่มีก็จ้างได้” เหอซื่อพูดถึงตรงนี้ก็ฉุกคิดบางอย่างได้ นางรีบสั่งสาวใช้อาวุโสไปหยิบตั๋วเงินมาปึกหนึ่ง
“นี่พี่สะใภ้ใหญ่จะทำอะไรหรือ” หลิวซื่อเห็นแล้วทำตาโต
“ข้าคิดออกแล้ว ใช้เงินทองพวกนี้ซื้อหมูเห็ดเป็ดไก่กับสุราส่งไปให้เจ้าหน้าที่ทางการพวกนั้น เช่นนี้พวกเขาจะได้ช่วยเหลืออย่างเต็มที่มากขึ้น”
เหอซื่อปาดน้ำตาพลางสั่งคนไปซื้อของ ด้านหลิวซื่อรีบไปบอกความต่อฮูหยินผู้เฒ่าเติ้ง
หญิงชรารู้แล้วถอนใจเฮือกหนึ่ง “ให้นางไปเถอะ”
ณ เชิงเขาลั่วสยาเนืองแน่นไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา มีเจ้าหน้าที่ของที่ว่าการต่างๆ คนงานรูปร่างกำยำที่จ้างมา ตลอดจนครอบครัวของผู้มาจุดธูปไหว้พระที่วัดต้าฝูแล้วหายสาบสูญไป และชาวบ้านที่มุงดูอยู่
ชั่วขณะเดียวเสียงพูดคุยก็ดังระเบ็งเซ็งแซ่ บรรยากาศครึกครื้นเสียยิ่งกว่าตอนงานวัด
หลีกวงเหวินเหม่อมองทางขึ้นภูเขาที่ถูกดินและหินกลบทับ ขอบตาเขาแดงเรื่อขึ้นเรื่อยๆ ยามกล่าวเสียงแตกพร่า “ฮุยเอ๋อร์ เจ้าว่ากว่าจะเก็บกวาดทั้งหมดนี้ออกหมดเป็นเวลานานมากใช่หรือไม่”
“ท่านพ่อ อย่ากังวลใจมากเกินไป น้องเจาเป็นผู้มีบุญ สวรรค์ย่อมคุ้มครอง ไม่แน่ว่าตอนนั้นนางยังอยู่บนเขานะขอรับ”
“ไม่หรอก ปกติเวลานั้นน้องสาวเจ้าลงจากเขาตั้งนานแล้ว แต่ว่านางมิได้กลับเรือน…”
หลีกวงเหวินพูดจบแล้วเดินเข้าไป เขาก้มตัวลงอุ้มหินก้อนหนึ่งขึ้น คาดไม่ถึงว่าก้อนหินหนักเกินไป เขาอุ้มไม่ไหวเลยหล่นกลับลงไปบนพื้นเกิดเสียงดังตุบ
เจ้าหน้าที่คนหนึ่งด้านข้างสะดุ้งโหยง ยื่นมือผลักพลางพูด “ไปๆ ไปห่างๆ อย่ามาเกะกะขวางทาง!”