หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 307
บทที่ 307
“เจ้าจะบอกว่าบุตรสาวข้าไม่ได้ถูกฝังอยู่ใต้หินภูเขาหรือ” หลีกวงเหวินได้ยินคำบอกกล่าวของฉือชั่นก็ตาเป็นประกาย ไม่รู้สึกเจ็บเท้าหรือหิวข้าวอีกโดยพลัน
“ท่านอาหลีไม่ต้องเป็นห่วงเกินไป หลีซาน…คุณหนูหลีเป็นคนมีบุญ ต้องไม่เป็นอะไรแน่”
แม่นางน้อยผู้นั้นโดนโจรค้าทาสล่อลวงไปยังได้พบกับเขา ส่วนเขาซึ่งไม่เหลียวแลสตรีใดมานานหลายปีกลับใจอ่อนยวบในชั่วพริบตานั้น นางไม่มีบุญแล้วจะมีอะไร
“ได้เช่นนั้นก็ดีๆ” หลีกวงเหวินยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
จูเยี่ยนซึ่งอยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้น “ใต้เท้าหลีได้รับบาดเจ็บที่เท้าใช่หรือไม่ ท่านไปนั่งพักในเพิงบังแดดทางนั้น แล้วทำแผลสักหน่อยจะดีกว่านะขอรับ”
ด้วยมีคนเก็บกวาดเส้นทางขึ้นลงเขาจำนวนมากถึงเพียงนี้ ย่อมต้องมีบรรดาเจ้ากรมนายกองต่างๆ มาบัญชาการอยู่ที่นี่ จึงสร้างเพิงชั่วคราวเป็นที่พักผ่อน ไม่เพียงจัดเตรียมอาหารแห้งและน้ำชาไว้ให้ ยังมีหยูกยาไม่น้อยเผื่อจะมีคนบาดเจ็บ
หลีกวงเหวินก้มหน้ามองก็เห็นรอยเลือดที่ซึมออกมาทางถุงเท้าแพรสีขาวสะอาด เขาใจหายวาบทันใด “ฮุยเอ๋อร์ เร็วเข้า รีบพยุงข้าไป”
“ขอบคุณพี่ชายทั้งสามท่านขอรับ” หลีฮุยกล่าวขอบคุณพวกฉือชั่นแล้วประคองบิดาเดินไปทางเพิงบังแดด
ในนั้นมีคนอยู่จนเต็ม หลีฮุยประคองหลีกวงเหวินเดินเข้าไปสอดส่ายสายตามองหาอยู่นานสองนานถึงพบที่ว่าง
“ท่านพ่อ ระวังหน่อยนะขอรับ”
ทว่าหลีกวงเหวินยังไม่ทันนั่งลง มีมือข้างหนึ่งยื่นมาหยิบเก้าอี้ไป
หลีฮุยเงยหน้าขึ้น พบว่าเป็นบุรุษวัยกลางคนร่างสูงใหญ่ คนผู้นั้นนั่งลงด้วยท่าทางเนิบนาบ ไม่แม้แต่จะมองสองพ่อลูกสักแวบ
“ใต้เท้าท่านนี้ บิดาข้าได้รับบาดเจ็บ จำเป็นต้องทำแผล อีกอย่างเก้าอี้ว่างนี้ก็เป็นพวกข้ามองเห็นก่อน รบกวนท่านสละที่ให้ด้วยขอรับ” หลีฮุยข่มไฟโทสะไว้กล่าวกับบุรุษร่างสูงใหญ่
มาตรว่าหลีฮุยยังอายุไม่มาก แต่แจ่มแจ้งว่าที่นี่มิใช่สำนักศึกษาหลวง และมิใช่เรือนตน จะปะทะตรงๆ กับคนจำพวกที่เห็นทนโท่ว่าป่าเถื่อนไม่ได้
บุรุษร่างสูงใหญ่ปรายตามองหลีฮุย เห็นเขาแต่งกายเฉกผู้ศึกษาเล่าเรียนทั่วๆ ไป ส่วนบุรุษด้านข้างที่สูงวัยกว่าดูปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นบัณฑิตชรายาจก จึงแค่นเสียงพูดว่า “เจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม จะมาชี้ไม้ชี้มือสั่งข้าผู้เป็นปู่แล้วรึ”
“ใต้เท้ากล่าวเช่นนี้ออกจะเกินขอบเขตไปแล้ว…”
“ฮ่าๆ ยังจะสั่งสอนข้าอีกหรือ ตั้งแต่เมื่อวานจนวันนี้ข้ายังไม่ได้หลับตานอน ยุ่งอยู่กับการกอบกู้เภทภัยอยู่ตลอด ส่วนบัณฑิตผอมแห้งแรงน้อยเช่นพวกเจ้ามัวทำอะไรกันอยู่ รู้จักแต่ก่อความวุ่นวาย ไปๆๆ อย่ามายั่วโทโสข้า!”
หลีฮุยได้ยินว่าคนผู้นี้ทำงานหามรุ่งหามค่ำ แม้จะขุ่นใจที่เขาแสดงกิริยาไม่ดี แต่ก็นึกละอายแก่ใจอยู่บ้าง
ต่อให้คนพวกนี้หยาบคายไร้มารยาท อย่างน้อยก็ทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นอยู่
ฝ่ายหลีกวงเหวินกลับไม่ยอม เขาถามเสียงเย็นว่า “ใต้เท้าดูแคลนบัณฑิตหรือ”
รังแกกันเพราะคิดว่าบุตรชายข้าหน้าบางรึ ฮึ…ช่างไม่ดูเสียบ้างว่าข้าผู้เป็นบิดาก็อยู่ตรงนี้
หลีกวงเหวินถามคำนี้ บุรุษร่างสูงใหญ่ถึงกับสะอึกไป
อันว่าสัมมาชีพใดๆ ล้วนต่ำต้อย มีเพียงบัณฑิตที่สูงส่ง คำกล่าวที่ว่า ‘ดูแคลนบัณฑิต’ นี้ เขาไม่กล้ายอมรับเด็ดขาด หาไม่แล้วใต้เท้าพวกนั้นต้องฉีกเขาเป็นชิ้นๆ ทั้งเป็น
“กินเบี้ยหวัดหลวง แบ่งเบาภาระราชสำนัก ในเมื่อท่านได้รับตำแหน่งหน้าที่นี้ ยามปกติมีหน้ามีตาเพียงรู้สึกว่าชอบด้วยเหตุผล ตอนนี้พอลงมือปฏิบัติงานจริงๆ กลับรู้สึกคับข้องใจแล้วหรือ” หลีกวงเหวินถามต่อ
ฮึ…ว่ากันถึงเรื่องปะทะคารม ท่านหัวหน้าสำนักราชบัณฑิตยังเอาชนะข้ามิได้ ข้าเคยกลัวใครกันเล่า
บุรุษร่างสูงใหญ่โดนตอกกลับจนสีหน้าประเดี๋ยวเขียวประเดี๋ยวซีดสลับกันไปอย่างน่าดูชม
คนด้านข้างพูดไกล่เกลี่ย “หัวหน้าเจียง อุตส่าห์ได้พักเหนื่อยดื่มน้ำชาครู่หนึ่งเป็นเรื่องดีปานใด จะถือสาหาความอะไรกับพวกเขา”
ที่แท้บุรุษร่างสูงใหญ่ผู้นี้คือเจียงเฉิงหัวหน้ากำลังพลระวังเมืองฝั่งตะวันตกที่ส่งองค์หญิงเจินเจินกลับไปเมื่อวานนี้
เจียงเฉิงแทบไม่ได้หลับได้นอนทั้งวัน เดิมทีก็มีไฟโทสะสุมอกอยู่แล้ว ยังถูกบัณฑิตยากจนผู้หนึ่งหักหน้าต่อหน้าธารกำนัลยังจะสะกดอารมณ์ไว้ได้ที่ใดกัน เขาง้างเท้าเหวี่ยงใส่หลีกวงเหวิน “ไสหัวไปไกลๆ อย่าขวางหูขวางตาข้า!”
“หัวหน้าเจียง ท่านเจ้าอารมณ์ไม่น้อยเลยนะ” สุ้มเสียงเย็นเยียบดังขึ้น
เท้าซึ่งเหยียดออกไปของเจียงเฉิงชะงักกึก เขาเงยหน้าขึ้นมองแล้วรีบลุกขึ้นยืน “ที่แท้เป็นคุณชายฉือนั่นเอง”
สำนักห้ากำลังพลระวังเมืองรับผิดชอบดูแลความสงบเรียบร้อยของเมืองหลวง ผู้ที่นั่งอยู่ในตำแหน่งหัวหน้ากำลังพลระวังเมืองฝั่งตะวันตกได้จะเป็นคนโฉดเขลาจริงๆ ได้หรือ ไม่ว่าเหล่าขุนนางขั้นห้าขึ้นไปของเมืองหลวง หรือลูกหลานของเชื้อพระวงศ์รวมถึงขุนนางขั้นสามขึ้นไป เขาไม่กล้าบอกว่ารู้จักทุกคน แต่อย่างน้อยก็จำหน้าได้มากกว่าครึ่ง
สำหรับคุณชายของวังองค์หญิงใหญ่ฉางหรงผู้นี้ เจียงเฉิงนั้นรู้จักดีเหลือเกินจริงๆ
ถึงแม้หลายปีมานี้จะดีขึ้นบ้าง ทว่าเมื่อก่อนคุณชายฉือผู้นี้กับพวกพ้องก่อเรื่องไว้ไม่น้อยเลยทีเดียว
เจียงเฉิงเหลือบตามองกวาดไป เห็นจูเยี่ยนกับหยางโฮ่วเฉิงสองคนยืนอยู่นอกเพิงไกลๆ แล้วมุมปากกระตุกริก
เป็นพวกเขาสามคนอีกแล้วดังคาด!
“หัวหน้าเจียง อารมณ์ร้อนนักก็ดื่มชา กัดคนไม่เลือกหน้ามันไม่ดีนะ” ฉือชั่นยื่นมือไปดึงเก้าอี้ใต้บั้นท้ายเจียงเฉิงมาวางข้างหลังหลีกวงเหวิน “ท่านอาหลี เชิญนั่ง”
ทุกคนที่อยู่ในเพิงบังแดดรวมถึงเจียงเฉิงตกใจไปตามๆ กัน ต่างหันไปมองหน้าหลีกวงเหวินเป็นตาเดียว
คนผู้นี้เป็นใครมาจากที่ใด คุณชายแห่งวังองค์หญิงอันทรงเกียรติถึงกับเรียกเขาว่า ‘ท่านอาหลี’ ?
ประเดี๋ยวก่อน ท่านอาหลี?
มีคนตบหน้าผากตนเองทีหนึ่งอย่างแจ่มแจ้งในบัดดล สะกิดเรียกคนด้านข้างเป็นการใหญ่พลางกระซิบบอก “ข้ารู้ว่าคนผู้นั้นเป็นใคร”
“ใครรึ”
“คนที่ไปก่อกวนที่ว่าการกององครักษ์จินหลินอย่างไรเล่า”
คนไม่น้อยลุกพรวดขึ้นยืน มีมือหลายข้างยื่นเก้าอี้มาให้ “อาลักษณ์หลีนั่งสิ”
คนบ้าดีเดือดพรรค์นี้ คนใดเข้าใกล้ คนนั้นเคราะห์ร้าย แค่สละเก้าอี้ให้เท่านั้นไม่น่าขายหน้า
ฉือชั่นงงงัน “…” มีคนเป็นคู่แข่งกับข้าตั้งมากถึงเพียงนี้เชียวหรือ
พอเห็นว่าไม่มีคนกล้าหาเรื่องหลีกวงเหวินแล้ว ฉือชั่นคร้านจะรั้งอยู่ที่นี่ต่อ เขาย้อนกลับไปหาพวกจูเยี่ยน
จูเยี่ยนคิดๆ แล้วเอ่ยถามขึ้น “สือซี เจ้า…”
“ข้าอะไร” ฉือชั่นเลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่เอาใจใส่
“เอ่อ…ไม่มีอะไร”
“เลิกไขสือเถอะ ข้าไม่เชื่อว่าหยางเอ้อร์ไม่ได้บอกเจ้า”
จูเยี่ยนกลั้นยิ้มไม่อยู่ “ข้ารู้แล้วจริงๆ ทว่านี่เจ้าเอาจริงหรือ”
ฉือชั่นกลอกตาขึ้น “ไร้สาระ ถ้าข้าไม่เอาจริง หรือว่ากินอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำ”
“แล้วเหตุใดเจ้ากับอาลักษณ์หลี…”
“แต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ มิใช่เคร่งครัดกันนักหรือว่าต้องเป็นคำสั่งของบิดามารดาและการชักพาของแม่สื่อ” ฉือชั่นพูดอย่างจริงจัง
หยางโฮ่วเฉิงฉีกปากยิ้มกว้าง น้อมรับคำสั่งสอน! วันนี้ถึงรู้ว่าคำโบราณประโยคนี้ใช้กันเช่นนี้นี่เอง
จูเยี่ยนสุขุมหนักแน่นกว่าหยางโฮ่วเฉิง เขาตรึกตรองชั่วครู่แล้วเอ่ยเตือนด้วยความหวังดี “สือซี ทางองค์หญิงใหญ่ เจ้าได้พูดคุยกันให้รู้เรื่องหรือยัง”
ฉือชั่นนิ่งขึงไป มิใช่พูดคุยกันรู้เรื่องแล้ว แต่ลึกๆ ในใจเขาไม่ปรารถนาจะไปคิด แต่เมื่อเขาตัดสินใจแน่วแน่ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องทำให้มารดาเข้าใจจิตใจของเขา
จูเยี่ยนตบไหล่ของฉือชั่นแล้วไม่กล่าวอะไรอีก
ฉือชั่นเงยหน้ามองเส้นทางขึ้นลงเขาที่พังยับเยินแล้วถอนใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง
แม่นางน้อยน่าชัง เจ้าต้องกลับมาอย่างปลอดภัยให้ได้นะ
“พวกเจ้าดูเร็วเข้า ดูเหมือนตรงหน้าผาจะมีคน” หยางโฮ่วเฉิงพูดขึ้นฉับพลัน จากนั้นก็เริ่มตื่นเต้นคึกคัก “เป็นถิงเฉวียน!”
ฉือชั่นกับจูเยี่ยนต่างดีอกดีใจ ทอดสายตามองไปเห็นเงาร่างคุ้นตาสายหนึ่งไต่ลงจากหน้าผาไกลๆ เคลื่อนมาใกล้ขึ้นๆ
ทั้งสามเร่งฝีเท้าเดินไปทิศทางนั้น
เซ่าหมิงยวนทิ้งตัวลงบนพื้นแล้วยืนพิงหน้าผาพักครู่หนึ่ง พวกองครักษ์ล้อมวงกันเข้ามาแสดงคำนับ “ท่านแม่ทัพ!”
ริมฝีปากของเขาแห้งแตก แต่ดวงตาแจ่มกระจ่างดุจเดิม เขาบอกเอื่อยๆ “ขอน้ำหน่อย”