หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 309
บทที่ 309
ขณะพวกเจ้าหน้าที่จากที่ว่าการยืนน้ำลายไหลยืดมุงล้อมรถม้าที่บรรทุกสุราอาหารไว้เต็มคัน มีขุนนางหลายคนเดินเข้ามา “มันเรื่องอะไรกัน”
“ฮูหยินท่านนี้ส่งของกินมาให้มากมายขอรับ”
เหอซื่อคลี่ยิ้ม “ใต้เท้าทั้งหลายอย่าได้เกรงใจ ข้าเป็นอิสตรีไม่อาจช่วยเหลืออย่างอื่นได้ ทำได้เพียงซื้อหาอาหารมาให้พวกท่านได้กินรองท้องเจ้าค่ะ”
ขุนนางหนึ่งในนั้นมุ่นคิ้วพลางกล่าว “ฮูหยินไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้…”
ของไม่รู้ที่มาที่ไปแน่ชัด ใครจะกล้ากินลงท้อง ถ้าเกิดมีพิษจะทำเช่นใด
เขาชายหางตามองกวาดไป เห็นตราสัญลักษณ์บนห่อกระดาษเคลือบมันแล้วแววตานิ่งขึงไปอย่างสุดระงับ
เป็นเป็ดย่างของหอเต๋อเซิ่งเชียวหรือนี่!
“ฮูหยินช่างมีน้ำใจจริงๆ” ขุนนางบางคนเปลี่ยนน้ำเสียงทันใด เขาเอ่ยอย่างขึงขัง “พวกเจ้ายังไม่รีบขอบคุณฮูหยินท่านนี้อีก”
คนทั้งกลุ่มพากันกล่าวขอบคุณเหอซื่อแล้วไปหยิบของกินอย่างทนรอไม่ไหว
เสียงกระแอมกระไอดังขึ้นคราหนึ่ง เจียงหย่วนเฉากล่าวเสียงเรียบ “หัวหน้าเจียง เช่นนี้จะหละหลวมเกินไปบ้างหรือไม่ ของซึ่งไม่รู้ที่มาที่ไปแน่ชัดยังกล้าหยิบใส่ปากง่ายๆ”
เจียงเฉิงถลึงตาใส่ขุนนางผู้นั้นอย่างดุดัน เขาพูดตะคอก “ใครให้พวกเจ้ากินของส่งเดช หยุดมือให้หมด!”
พวกเจ้าหน้าที่ที่หยิบห่อกระดาษเคลือบมันอยู่ลอบเบะปาก รำพึงในใจว่า คนในกำลังพลระวังเมืองฝั่งตะวันตกของพวกเจ้ามีผลประโยชน์ให้กอบโกยเยอะ ไหนเลยจะล่วงรู้ถึงความลำบากของผู้อื่น นี่เป็นเป็ดย่างของหอเต๋อเซิ่ง กีบเท้าแพะของร้านไป่เว่ย ยังมีสุราเลิศรสของหอชุนเฟิงเชียวนะ!
หลีฮุยเบียดเข้ามาในเวลานี้เอง เขาวิ่งไปหาเหอซื่อ กระซิบบอกนางที่ข้างหู “นายหญิง น้องเจาไม่เป็นไรขอรับ ตอนนี้นางอยู่ในอารามซูอิ่ง”
“จริงหรือ” เหอซื่อเพียงรู้สึกว่าจิตใจที่หวาดหวั่นวิตกอยู่ตลอดสงบลงทันควัน พาน้ำตาไหลรินออกมาในพริบตา นางเห็นพวกเจ้าหน้าที่ทางการล้วนจ้องมองตนอยู่ นางปาดน้ำตาออกแล้วกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “ข้าแค่เห็นว่าใต้เท้าทั้งหลายต้องเหน็ดเหนื่อยลำบาก จึงอยากแสดงน้ำใจบ้าง อย่างไรก็ส่งน้ำใจมาถึงแล้ว ทุกท่านจะกินหรือไม่ก็ตามแต่ใจเถอะ”
ในเมื่อเจาเจาไม่เป็นไร เส้นทางนี้จะใช้การได้เร็วขึ้นหรือช้าลงวันหนึ่งก็ไม่สำคัญแล้ว
พวกเจ้าหน้าที่ทางการมองหน้ากันไปมา
นี่จะตามแต่ใจได้รึ ทีแรกพวกเขากินอาหารแห้งดื่มน้ำเย็นอยู่ดีๆ ท่านก็เอาของพวกนี้มาหลายคันรถ!
“ที่แท้เป็นหลีฮูหยินนี่เอง” เจียงหย่วนเฉาอมยิ้มมุมปากกล่าวทักทาย
“เป็นท่านหรือ” เหอซื่อปั้นหน้าปึ่งชาทันใด
นี่คือเจ้าหนุ่มจากกององครักษ์จินหลินผู้นั้นมิใช่หรือ เห็นแล้วก็หงุดหงิดใจ องครักษ์จินหลินไม่มีใครดีสักคน!
“คิดไม่ถึงว่าหลีฮูหยินยังจดจำข้าได้”
“จำได้สิ ไฉนจะจำไม่ได้ ใต้เท้าเจียงกล่าวได้ถูกต้อง ของกินที่ข้านำมาจะดีหรือร้ายก็ไม่อาจรู้ได้ หากให้ใต้เท้าทั้งหลายกินแล้วเป็นอะไรไปต้องแย่แน่ๆ ผู้ดูแล รีบบังคับรถม้ากลับเถอะ”
“ในเมื่อเป็นของที่หลีฮูหยินส่งมาให้ เช่นนั้นไม่มีปัญหาแน่นอน หัวหน้าเจียง พวกเราสมควรขอบคุณหลีฮูหยิน”
“หลีฮูหยินท่านนี้คือนายหญิงของท่านที่อยู่ในเพิงบังแดดนั่นหรือขอรับ” เจียงเฉิงถามเสียงค่อย
เจียงหย่วนเฉาพยักหน้า
มุมปากของเจียงเฉิงกระตุกริก เขากล่าวขอบคุณเหอซื่อแล้วบอกเสียงดัง “ทุกคนรีบแบ่งของไปกินกัน จากนั้นทำงานต่อ”
เหอซื่อแค่นหัวร่อเสียงหนึ่งก่อนเอ่ยกับหลีฮุย “ฮุยเอ๋อร์ พาข้าไปหาท่านพ่อเจ้าที”
เจียงหย่วนเฉาหยักยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ เขาได้ยินเสียงคนเรียกจากด้านหลัง “น้องสือซาน”
เขาหมุนกายไป เห็นเจียงสืออียืนหน้าตาเย็นชาอยู่ข้างหลัง
“พี่สืออีมาได้อย่างไร”
“ท่านพ่อบุญธรรมให้ข้ามารับหน้าที่แทนเจ้า”
รอยยิ้มตรงมุมปากเจียงหย่วนเฉาเลือนหายไป
สีหน้าของเจียงสืออีไร้ความรู้สึกใดขณะกล่าวว่า “ท่านพ่อบุญธรรมเป็นห่วงความปลอดภัยของคุณหนูหลีมาก ไม่รู้ว่าน้องสือซานได้ข่าวคุณหนูหลีหรือไม่”
เจียงหย่วนเฉาสะกดความกังขาในใจไว้ เอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เมื่อครู่กวนจวินโหวลงเขามาบอกว่าคุณหนูหลีพำนักอยู่ในอารามซูอิ่งชั่วคราว ขอให้ท่านพ่อบุญธรรมวางใจเถอะ”
“ข้าจะไปถามกวนจวินโหวอีกที” เจียงสืออีย่างเท้าเดินไปหาเซ่าหมิงยวน
เจียงหย่วนเฉามองตามแผ่นหลังเขาอย่างใจลอยชั่วครู่ รอยยิ้มของเขาเย็นเยียบยิ่งขึ้น
นี่ท่านพ่อบุญธรรมหมายความว่าอะไร
เขายืนนิ่งจับจ้องไปที่เจียงสืออีซึ่งเดินลิ่วๆ ไปทางเซ่าหมิงยวนจนตาเขม็งเป็นนาน ก่อนจะดึงสายตาคืนเงียบๆ แล้วหัวเราะขื่นๆ เสียงหนึ่ง
ท่านพ่อบุญธรรมระวังป้องกันไม่ให้ข้ามีจิตปฏิพัทธ์ต่อคุณหนูหลีสินะ ช่างระวังป้องกันอย่างรัดกุมเต็มที่โดยแท้
เจียงหย่วนเฉาพลิกกายขึ้นม้า เขากระทุ้งท้องมันเบาๆ ให้ควบฝีเท้าวิ่งออกไป
ช่างเถิด นางไม่เป็นไรก็ดีแล้ว
เจียงสืออีมาถึงตรงหน้าเซ่าหมิงยวน “ท่านโหว ข้าคือเจียงสืออี”
เซ่าหมิงยวนมองเขาแวบหนึ่งแล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มบางๆ “ได้ยินกิตติศัพท์ของท่านมานานแล้ว”
ในหมู่สิบสามราชองครักษ์ของกององครักษ์จินหลิน เจียงสืออีดูแลการลงทัณฑ์ เขาได้รู้อย่างละเอียดหลังกลับถึงเมืองหลวง
“ท่านผู้บัญชาการใหญ่เป็นห่วงความปลอดภัยของคุณหนูหลีมาก ไม่ทราบนางได้รับบาดเจ็บหรือไม่ และขาดแคลนสิ่งใดหรือไม่”
ดวงตาของเซ่าหมิงยวนทอแววเข้มขึ้น วันนั้นคุณหนูหลีตกลงแลกเปลี่ยนอะไรกับเจียงถังกันแน่ เจียงถังถึงเป็นห่วงนางอย่างเกินขอบเขตไปบ้างเช่นนี้
ขณะเขาครุ่นคิดอยู่ในใจ ฉือชั่นก็เอ่ยปากขึ้น “เรื่องนี้ไม่รบกวนให้ท่านผู้บัญชาการเจียงต้องวุ่นวายใจกระมัง”
เจียงสืออีไม่ถนัดการต่อปากต่อคำ สายตาที่เฉยเมยสนิทของเขาจับอยู่ที่ใบหน้าของเซ่าหมิงยวนอย่างรอคำตอบ
“ข้ายังไม่ได้พบกับคุณหนูหลี” เซ่าหมิงยวนกล่าว
ในแอ่งเขาราตรีนั้น เขาจะเก็บเป็นความลับจนตายไปกับตัวเขาตลอดกาล
“ท่านโหวจะขึ้นเขาอีกหรือไม่”
“ขึ้น”
เรื่องเช่นนี้ย่อมปิดบังองครักษ์จินหลินไม่ได้เป็นธรรมดา
“เช่นนั้นเมื่อท่านโหวขึ้นเขาอีกที โปรดไปพบหน้ากับคุณหนูหลีสักหนเพื่อดูให้แน่ใจกับตา”
เซ่าหมิงยวนมองเขาพลางยกยิ้ม “ไม่ทราบว่านี่เป็นความประสงค์ของท่านผู้บัญชาการใหญ่หรือว่าความต้องการของท่าน”
เจียงสืออีตอบด้วยสีหน้าเฉยชา “ย่อมเป็นความประสงค์ของท่านผู้บัญชาการใหญ่”
เขาไม่รู้จักคุณหนูผู้นั้นสักหน่อย เพราะอะไรท่านพ่อบุญธรรมกับกวนจวินโหวผู้นี้ล้วนกล่าววาจาชอบกลนัก
“ได้ ท่านกลับไปบอกกับท่านผู้บัญชาการใหญ่ได้ว่าข้าจะดูให้แน่ใจกับตา”
อันว่าหมูไปไก่มา เจียงถังให้เกียรติเขา เขาก็ไม่จำเป็นต้องหักหน้าอีกฝ่าย
“ขอบคุณมาก”
เมื่อเจียงสืออีไปแล้ว หยางโฮ่วเฉิงถึงเกาท้ายทอยพลางเอ่ย “เจียงถังสนใจคุณหนูหลีถึงเพียงนี้ไปด้วยเหตุใด”
“สงสัยจะกินเยอะไป” ฉือชั่นตอบอย่างไม่ยินดียินร้าย
“ไม่ต้องสนใจ ข้าจะกลับจวนไปพักสักหน่อยก่อน”
“พรุ่งนี้เจ้าจะขึ้นเขาเวลาใด” ฉือชั่นถามไถ่เขา
“ตอนพระอาทิตย์ขึ้น”
เมื่อเซ่าหมิงยวนกลับถึงจวนกวนจวินโหวก็ชำระกายและผลัดอาภรณ์ ก่อนจะรีบไปหาเฉียวโม่
“พี่เฉียวโม่ ข้าจะออกจากเรือนไปหลายวัน หากท่านมีเรื่องอะไรก็บอกกับองครักษ์ของข้า”
เฉียวโม่นิ่งเงียบไปประเดี๋ยวหนึ่งถึงเอ่ยถามขึ้น “มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับเจาเจาใช่หรือไม่”
เซ่าหมิงยวนอึ้งงันไปทันที
เฉียวโม่ยิ้มขื่นๆ “แม้นข้าจะเป็นนกในกรง แต่มิใช่คนโง่งม เจาเจาต้องมาฝังเข็มให้ท่านโหวทุกวันมิใช่หรือ ถ้าไม่ได้เกิดเรื่องกับนาง ท่านจะออกจากเรือนได้อย่างไร”
เซ่าหมิงยวนยิ้มอย่างกระดากใจ “เดิมทีไม่อยากให้พี่เฉียวโม่เป็นห่วง…”
เฉียวโม่หน้าเปลี่ยนสี “เกิดเรื่องกับเจาเจาจริงๆ หรือ”
เซ่าหมิงยวนรู้สึกไม่วายว่ามีตรงใดแปลกๆ พิกล โดยเฉพาะตอนคำเรียกขานว่า ‘เจาเจา’ ดังออกจากปากของเฉียวโม่ ทำให้เขาใจเต้นแรงขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“เรื่องเป็นอย่างนี้ เมื่อวานฝนตกหนัก คุณหนูหลีไปที่อารามซูอิ่ง ผลปรากฏว่าเจอกับเหตุดินถล่ม…”
“ท่านว่าอะไรนะ” เฉียวโม่คว้าข้อมือเขาหมับ
เซ่าหมิงยวนประหลาดใจแกมฉงน “พี่เฉียวโม่?”
“นางเป็นอย่างไรบ้าง”
“นาง…น่าจะยังสบายดี” เซ่าหมิงยวนพูดอย่างไม่มั่นใจ
“น่าจะ?”
“ขณะนี้คุณหนูหลีอยู่ในอารามซูอิ่ง”
“แล้วตัวนางล่ะ ได้รับบาดเจ็บหรือไม่”
“พี่เฉียวโม่วางใจได้ คุณหนูหลีแค่บาดเจ็บที่เท้า”
“แค่บาดเจ็บที่เท้าหรือ” เฉียวโม่เน้นเสียงพูดทวนประโยคนี้ทีละคำพลางมองเซ่าหมิงยวนด้วยสายตาเป็นนัยๆ