หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 312
บทที่ 312
ห่างจากเฉียวเจาไปไกลสองจั้ง มีบุรุษเรือนกายกำยำแต่งกายเป็นนายพรานผู้หนึ่งมองนางอย่างเย็นชา นัยน์ตาทั้งคู่แลดูน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าสัตว์ป่า
แผ่นหลังของนางเปียกซึมไปด้วยเหงื่อเย็นในชั่วพริบตา
บุรุษผู้นั้นประสานสายตากับนางแล้วกลับยิ้มออกมา
เฉียวเจาเป่าขลุ่ยกระดูกที่เซ่าหมิงยวนมอบให้โดยแทบไม่หยุดคิดใคร่ครวญ นางอดรู้สึกโชคดีไม่ได้ที่ตอนนั้นเอาเชือกร้อยขลุ่ยห้อยคอไว้
กระนั้นความรู้สึกนี้มลายหายไปอย่างไร้ร่องรอยในเวลาอันสั้น นางยกชายกระโปรงหันหลังวิ่งหนี
บุรุษผู้นั้นหาได้ร้อนใจไม่ เขาหมุนกายงับประตูอารามปิดจากทางข้างใน ถึงสาวเท้าก้าวใหญ่ไล่ตามเฉียวเจาไป
เฉียวเจาออกวิ่งไปข้างหน้าอย่างไม่คิดชีวิต เสียงฝีเท้าดังตึงๆ ยิ่งมายิ่งดัง ยิ่งมายิ่งกระชั้นชิด นางคลับคล้ายได้กลิ่นอายของความตายอีกคราครั้งหนึ่ง
“ช่วยด้วย!” นางร้องตะโกนสุดเสียง
ด้านในอารามซูอิ่งเงียบสนิทไม่มีเสียงตอบแม้สักนิด ประหนึ่งว่าตัวอารามทั้งหลังตกอยู่ในความสงัดวิเวกเฉกเดียวกับต้นเหมยชราที่ยืนต้นสงบนิ่งอยู่ข้างกำแพง
หัวใจนางหล่นตุบลงไปที่ตาตุ่ม
อู๋เหมยซือไท่ จิ้งซีซือฟู่ ยังมีภิกษุณีเหล่านั้น พวกนางยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ หรือว่า…
นางไม่กล้าคิดต่อ แล้วก็ไม่มีเวลาคิดด้วย นางวิ่งจนลำคอแสบเคืองเหมือนโดนไฟเผา แต่เสียงนั้นยังดังไล่หลังมาใกล้ขึ้นทุกที
ไม่รู้ว่านางเหยียบถูกอะไร เท้าจึงสะดุดล้มหน้าคะมำลงไปกับพื้น นางพลิกตัวขึ้นทันใด
บุรุษผู้นั้นตามมาถึงตรงหน้า เขาหยุดห่างจากเฉียวเจาไม่ถึงครึ่งจั้ง ยืนก้มลงมองพลางถามว่า “ไฉนไม่วิ่งแล้วล่ะ”
สุ้มเสียงของเขาแหบห้าวอยู่บ้าง เมื่อประกอบกับหน้าตาของเขากลับชวนให้รู้สึกว่าเป็นคนซื่อๆ
เฉียวเจาคิดว่าถ้าคนเช่นนี้ไม่เผยโฉมหน้าที่โหดเหี้ยมออกมา ไม่ว่าใครเห็นล้วนนึกว่าเป็นชาวป่าชาวเขาที่ซื่อสัตย์เจียมตนผู้หนึ่ง
นางลุกขึ้นยืน ซ้ำยังปัดๆ เศษฝุ่นบนตัวออกด้วยท่วงท่าสง่างาม กล่าวด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “วิ่งไม่ไหวก็เลยไม่วิ่ง”
เขายิ้มซื่อๆ “ไม่คิดว่ายังมีเด็กสาวที่น่าสนใจยิ่งผู้หนึ่ง ไม่ทำให้ข้าเฝ้ารออย่างเสียเปล่าเลยจริงๆ”
“เจ้ารอข้า?”
“ใช่น่ะสิ ไม่เช่นนั้นเกิดเจ้าไหวตัวทันแต่แรกแล้วไปส่งข่าวจะทำอย่างไร” เขาย่างสามขุมเข้ามาใกล้ขึ้นหนึ่งก้าว “ตอนนี้หมดปัญหาแล้ว ประเดี๋ยวข้าจัดการเจ้าเรียบร้อย อย่างน้อยน่าจะต้องวันพรุ่งนี้ถึงมีคนรู้เรื่องทางนี้”
กล่าวจบเขาก็ยื่นมือไปดึงเฉียวเจามา ใช้มือหนึ่งกำรอบคอเล็กแล้วดันตัวนางไปตรึงกับต้นไม้เก่าแก่ด้านข้าง
ความรู้สึกเจ็บแน่นอึดอัดร้อนวูบวาบแล่นมา กระทั่งลมหายใจก็เริ่มติดขัด ดวงหน้าขาวเนียนดุจหยกของเฉียวเจาแดงก่ำ ขาของนางทั้งเตะทั้งถีบอย่างอ่อนแรง น้ำตาไหลรินลงมาทางหางตาอย่างควบคุมไม่อยู่ หยดลงบนหลังฝ่ามือของคนผู้นั้น แต่เขากลับไม่รู้สึกรู้สา บีบมือแรงมากขึ้น
คนผู้นี้คิดจะเอาชีวิตข้าเดี๋ยวนี้เลยกระมัง! เฉียวเจาตระหนักถึงจุดนี้ได้ฉับพลัน
นางไม่อยากตาย นางเพิ่งเผยตัวตนกับพี่ใหญ่ ส่วนศัตรูที่สังหารบิดามารดาและญาติพี่น้องก็ยังลากตัวออกมาไม่ได้ แล้วจะตายอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
นางตายไป พี่ใหญ่ต้องเสียใจ บิดามารดาและญาติพี่น้องในสกุลหลีก็ต้องเสียใจ
“อีก…อีกไม่นาน…ก็โดนจับได้แล้ว…” เฉียวเจาเค้นแรงทั้งหมดเปล่งเสียงพูดคำนี้ออกมา
“เจ้าว่าอะไรนะ” มือของบุรุษผู้นั้นผ่อนแรงลง
เฉียวเจาสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดเฮือกใหญ่ๆ นางเผยรอยยิ้มแฝงเลศนัยให้เขา “ข้าพูดว่าไม่ต้องรอถึงวันพรุ่งนี้…อีกประเดี๋ยวก็มีคนรู้เรื่องของที่นี่แล้ว…”
อาการเจ็บเคืองในลำคอทำให้นางพูดขาดเป็นห้วงๆ
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร” คำพูดของเฉียวเจาดึงความสนใจของเขาได้ดังคาด
นางคลี่ยิ้ม “เจ้าอยากรู้หรือ”
“นางเด็กตัวเหม็น อย่าทำเป็นมีลับลมคมใน” เขาสะบัดมือตบหน้านางทีหนึ่ง
นางได้ยินเสียงอื้ออึงในหู แต่บนหน้ายังฉาบรอยยิ้มดุจเก่า “เจ้าลืมขลุ่ยกระดูกเมื่อครู่นี้ไปแล้วรึ หรือเจ้านึกว่าข้าเป่ามันเล่นๆ เขาต้องมาช่วยข้าแน่”
บุรุษผู้นั้นหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย
เฉียวเจาสบช่องเขาเผลอตัว ยกเท้าขึ้นถีบใส่กล่องดวงใจของเขาเต็มแรง
มาตรว่าเขาจะมีวิชายุทธ์ แต่คิดไม่ถึงว่าเจ้าปลาบนเขียงจะยังกล้าดิ้นรนต่อสู้ ซ้ำยังฉวยจังหวะทีเผลอชั่วพริบตาเดียวนั่น ด้วยเหตุนี้เขาถึงโดนถีบเข้าเต็มรักจริงๆ
ไม่ว่าเป็นบุรุษคนใด ถูกถีบตรงจุดนั้นไม่มีใครไม่เจ็บ เขากุมเป้ากางเกงพลางร้องครางในลำคอทันที
เฉียวเจาหมุนกายวิ่งไป นางแจ่มแจ้งแก่ใจว่าหากถูกจับอีกครั้งก็หมดโอกาสแล้ว
เซ่าหมิงยวน เมื่อไรท่านถึงจะมาเสียที
ในเวลาเดียวกัน เซ่าหมิงยวนกำลังเดินหมากกับเจ้าอาวาสวัดต้าฝูอยู่ในศาลาหิน
เจ้าอาวาสอยู่ในวัยย่างหกสิบ แม้แต่ขนคิ้วล้วนขาวโพลน หากคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกลับหนุ่มแน่นเพียงนี้ กระนั้นคนทั้งสองดูท่าทางเข้ากันได้ดีอย่างมาก ราวกับเป็นสหายที่รู้จักกันมาเนิ่นนาน
เสียงขลุ่ยแหลมสูงสั้นห้วนดังขึ้น สำหรับเจ้าอาวาสแล้วเสียงนี้แสนเบาหวิวจนเขามิได้ใส่ใจสักนิด ทว่าเซ่าหมิงยวนดีดตัวขึ้นทันใด บอกกล่าวคำเดียวว่า “ทางอารามซูอิ่งเกิดเรื่องขึ้น”
จากนั้นเขาก็พุ่งทะยานออกจากศาลาหินอย่างรวดเร็วจนเห็นเป็นเงาร่างสายหนึ่ง
เจ้าอาวาสหนีบเม็ดหมากไว้ตรงปลายนิ้วตรึกตรองครู่หนึ่งถึงเพิ่งคิดตามทันภายหลังว่า กวนจวินโหวไปที่อารามซูอิ่งแล้ว!
“อมิตาภพุทธ!” เจ้าอาวาสขานนามพระพุทธแล้วรีบสั่งให้ภิกษุไล่ตามไป
ทั่วทั้งบริเวณอารามซูอิ่งยังคงเงียบกริบ
“นางตัวดี! เจ้ากล้าถีบตรงนั้นของข้าเชียวรึ” บุรุษร่างกำยำสาวเท้าก้าวยาวๆ ไล่ตามมาตะครุบตัวเฉียวเจาไว้
นางหัวเราะขื่นๆ อยู่ในใจ
แม้นนางโชคดีถีบคนร้ายได้ทีหนึ่ง จนใจที่คนผู้นี้มีวรยุทธ์สูงส่ง แรงถีบของนางอย่างมากก็ช่วยให้นางได้แค่หยุดพักหายใจเท่านั้น
“เจ้า…ฆ่าข้าจะ…เสียใจภายหลัง…” เฉียวเจาพูดเสียงขาดเป็นห้วงๆ
“นางตัวดี เลิกถ่วงเวลาได้แล้ว ฆ่าเจ้าแล้วข้ามีอันใดต้องเสียใจภายหลังด้วย” เขายึดทั้งมือทั้งเท้าของเฉียวเจาไว้แน่น ไม่เปิดโอกาสให้นางขัดขืนอีก
นางตัวดีผู้นี้ช่างน่าชังนัก ถึงกับถีบเขาที่ตรงนั้น เป็นต้นเหตุให้ตอนนี้ยังรู้สึกเจ็บแปลบๆ เขาต้องเล่นงานนางหนักๆ ให้ถึงตายให้ได้
“ตรงนั้นของเจ้าโดนข้าถีบจนช้ำใน…วันหน้าคงได้แต่เป็นขันทีแล้ว ข้ารักษา…”
น่าเสียดายที่แม้ว่าแม่นางเฉียวเกิดมาพร้อมสติปัญญาปราดเปรื่อง จนใจที่นางไม่ค่อยเข้าใจเรื่องทางร่างกายพรรค์นี้ของบุรุษสักเท่าใด นางกล่าวเช่นนี้เดิมตั้งใจจะให้เขาบังเกิดความลังเลเพื่อประวิงเวลาออกไปอีก กลับลืมเลือนว่าสำหรับบุรุษผู้หนึ่งแล้วถ้อยคำนี้เป็นการหยามศักดิ์ศรีอย่างรุนแรงปานใด
“ขันที?!” ดวงตาของเขาแดงก่ำ เอื้อมมือไปกระชากแขนเสื้อข้างหนึ่งของเฉียวเจาจนขาดดังแควกเผยให้เห็นไหล่กลมมนขาวผ่อง “ที่แท้แม่นางน้อยเป็นห่วงข้าเรื่องนี้เองหรือ ข้าจะให้เจ้าได้เห็นประจักษ์แก่ตาว่าข้าเป็นขันทีหรือไม่!”
เขาดึงตัวเฉียวเจามาใกล้ๆ แต่นางผลักไสเขาออกสุดชีวิต “อีกประเดี๋ยวกวนจวินโหวจะมาช่วยข้าแล้ว เจ้านึกว่าตนเป็นคู่ต่อสู้ของเขาหรือ ตอนนี้เจ้ามีเวลา…เหตุใดไม่รีบหนีไปเสีย”
บุรุษผู้นั้นยื่นมือไปจับปลายคางนางไว้ แสยะยิ้มกล่าวว่า “เขาเป็นเทพเซียนหรือไร อยู่ที่วัดต้าฝูก็ยังได้ยินเสียงขลุ่ยเสียงเดียวนั่นได้ แต่ถึงจะได้ยิน ก่อนเขาจะรุดมาถึง ข้าก็มีเวลามากพอจะหาความสุขกับเจ้า”
เขากดตัวนางลงบนพื้นทันที
เงาดำทาบทับลงมา เฉียวเจากัดริมฝีปากจนเลือดไหลซึม ในมือนางกำปิ่นแท่งหนึ่งไว้แน่นสุดกำลัง
นางรู้ซึ้งถึงความเก่งกาจของคนผู้นี้แล้ว ถ้าใช้ปิ่นแทงเขา รังแต่จะพบกับจุดจบด้วยการตายทั้งเป็น ฉะนั้นนางเก็บปิ่นแท่งนี้ไว้ให้ตนเอง
ชั่วขณะที่มือของเขายื่นมาที่สาบเสื้อของนาง เฉียวเจาเริ่มร่ำไห้เงียบๆ
เซ่าหมิงยวน ขืนท่านยังไม่มาอีก ข้าจะไม่รอท่านแล้วนะ