หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 314
บทที่ 314
เฉียวเจากับเซ่าหมิงยวนประสานสายตากัน
สภาพการณ์ขณะนี้ยิ่งมายิ่งผิดประหลาด อู๋เหมยซือไท่หายตัวอย่างไร้ร่องรอย ภิกษุณีรูปอื่นๆ โดนเชือดคอทั้งหมด หากที่น่าแปลกที่สุดคือจิ้งซีซือฟู่ ทั้งที่บนคอมีแผลรอยหนึ่ง กลับเป็นแค่แผลตื้นๆ
หรือจะพูดว่านี่มิใช่คนร้ายคนเดียวที่ลงมือทำ
อาจเป็นเพราะใจตรงกัน พอเฉียวเจาคิดถึงตรงนี้ เซ่าหมิงยวนก็เอ่ยปากขึ้น “ดูจากลักษณะและตำแหน่งบาดแผลบนคอของซือฟู่ท่านอื่นๆ แผลบนคอจิ้งซีซือฟู่นี้น่าจะเป็นฝีมือของคนร้ายคนเดียวกัน”
เซ่าหมิงยวนมีประสบการณ์ในด้านนี้มากกว่าเฉียวเจาอย่างไร้ข้อกังขา
เฉียวเจาฉงนใจมากขึ้น “แล้วไฉนรอยแผลบนลำคอจิ้งซีซือฟู่ถึงตื้นเช่นนี้เจ้าคะ”
“เรื่องนี้ประเดี๋ยวค่อยพินิจพิเคราะห์อีกที ทำให้จิ้งซีซือฟู่ฟื้นก่อนเถอะ”
เฉียวเจาแก้เชือกที่มัดจิ้งซีออก ตรวจอาการจนทั่วรอบหนึ่งแล้วพูดกับเขา “นอกจากรอยแดงจากการถูกเชือกรัดที่ข้อมือ บนตัวจิ้งซีซือฟู่ไม่มีบาดแผลภายนอกที่เห็นได้ชัดเจ้าค่ะ”
เซ่าหมิงยวนหมุนกายก้มหน้าลง “น่าจะแค่โดนตีสลบ”
เฉียวเจาหยิบเข็มเงินออกมาเล่มหนึ่ง “ข้าจะลองดูว่าจะช่วยให้นางฟื้นสติได้หรือไม่”
เมื่อเข็มเงินฝังลงที่จุดไป่ฮุ่ยบนกลางกระหม่อม ไม่นานนักจิ้งซีซือฟู่ลืมตาขึ้นช้าๆ
ยามนี้มีเสียงฝีเท้าสับสนปนกับเสียงตะโกนโหวกเหวกดังขึ้นในลานเรือนระลอกหนึ่ง
จิ้งซีกลอกตาไปมา นางเอ่ยถามอย่างงุนงง “คุณหนูหลีซาน ด้านนอกเกิดอะไรขึ้น เหตุใดเสียงดังเช่นนี้”
“จิ้งซีซือฟู่ ท่านยังจำได้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนหมดสติ”
“ก่อนหมดสติ?” ดวงตาของนางฉายแววงุนงงมากขึ้น
เสียงถามดังลอยมาจากข้างนอก “ซือไท่! ซือไท่ท่านปลอดภัยดีหรือไม่”
“อมิตาภพุทธ ศิษย์พี่อย่าเพิ่งถามเลย พวกเรารีบเข้าไปดูกันเถอะ”
ไม่นานนักภิกษุหลายรูปก็วิ่งกรูเข้ามา
จิ้งซีตกใจ “พวกท่าน?”
“ศิษย์พี่จิ้งซี ซือไท่ไม่เป็นไรกระมัง”
“ซือไท่? ซือไท่นอนพักกลางวันอยู่…” จิ้งซีฉุกคิดได้แล้ว นางจับมือเฉียวเจาพลางถาม “หรือว่าเกิดเรื่องขึ้นกับซือไท่”
“จิ้งซีซือฟู่ ท่านนึกเหตุการณ์ก่อนหมดสติไม่ออกเลยสักนิดหรือ”
จิ้งซีส่ายหน้าอย่างงุนงง
“ท่านลองคิดดูดีๆ ความทรงจำสุดท้ายคืออะไร”
จิ้งซีนิ่งใช้ความคิด “ดูเหมือนขณะนั้นอาตมายกน้ำร้อนถ้วยหนึ่งมาให้ซือไท่ เพราะท่านจะดื่มน้ำเย็นถ้วยหนึ่งหลังตื่นนอนตอนกลางวันจนเป็นนิสัย”
“ตอนนั้นอู๋เหมยซือไท่ทำอะไรอยู่” เซ่าหมิงยวนไต่ถามต่อ
“ซือไท่กำลังนอนพักกลางวันน่ะสิ ท่านอยู่ที่นี่…” จิ้งซีหน้าถอดสีในพริบตา “ตกลงว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับซือไท่”
“ซือไท่หายตัวไปแล้วเจ้าค่ะ” เฉียวเจากล่าว
“หายตัวไปแล้ว? อมิตาภพุทธ เป็นเช่นนี้ได้อย่างไรๆ” จิ้งซีโงนเงนจะล้มมิล้มแหล่ ท่าทางยากจะทำใจยอมรับได้
เฉียวเจาจับมือนางไว้ พูดปลุกปลอบว่า “จิ้งซีซือฟู่ ท่านอย่าตื่นตระหนก ตอนนี้จะมีเบาะแสของอู๋เหมยซือไท่หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับท่านแล้ว”
เซ่าหมิงยวนฉวยจังหวะที่นางปลอบประโลมจิ้งซีอยู่ เอ่ยกับภิกษุผู้เป็นหัวหน้า “ข้าตรวจดูตามห้องต่างๆ โดยคร่าวๆ แล้ว ซือฟู่ในห้องล้วนมีอันเป็นไปทั้งหมด ขณะนี้ขอให้ซือฟู่ทุกท่านช่วยตรวจค้นทั่วทั้งอารามซูอิ่ง ดูว่ามีร่องรอยของอู๋เหมยซือไท่หรือไม่ขอรับ”
“ได้แน่นอน” หัวหน้าภิกษุขานนามพระพุทธเสียงหนึ่งแล้วเอ่ยสั่งภิกษุหนึ่งในนั้น “ศิษย์น้อง เจ้ากลับไปรายงานเรื่องนี้ให้ท่านเจ้าอาวาสทราบโดยไว และพากำลังคนมาเพิ่มขึ้น”
หลังจากนั้นเขาค่อยบอกกับภิกษุรูปอื่นๆ “พวกศิษย์น้องรีบค้นดูในอารามทุกซอกทุกมุม ดูว่ามีร่องรอยของอู๋เหมยซือไท่หรือไม่”
“ขอรับ”
เมื่อภิกษุหลายรูปนั้นออกไป ในห้องทำสมาธิเหลือแค่สี่คนคือ ภิกษุณีจิ้งซี หัวหน้าภิกษุของวัดต้าฝู เฉียวเจา และเซ่าหมิงยวน
เฉียวเจาหยิบถ้วยน้ำบนโต๊ะด้านข้างยื่นให้จิ้งซี
จิ้งซีถือถ้วยน้ำไว้ด้วยสีหน้าเศร้าหมอง “นี่เป็นน้ำที่อาตมาเตรียมไว้ให้ซือไท่”
“จิ้งซีซือฟู่นำน้ำมาให้อู๋เหมยซือไท่แล้วทำอะไรอีกบ้างขอรับ” เซ่าหมิงยวนถามขึ้น
“ทำอะไรอีกหรือ” จิ้งซีมุ่นคิ้วขบคิด สุดท้ายก็ส่ายหน้า “อาตมานึกไม่ออกแล้ว ลืมตาขึ้นอีกทีก็เห็นพวกท่าน”
“จิ้งซีซือฟู่ลองคิดดูดีๆ หลังท่านวางถ้วยน้ำบนโต๊ะแล้วเดินออกจากห้องหรือไม่เจ้าคะ” เฉียวเจาเอ่ยถาม
จิ้งซีสั่นศีรษะ “อาตมาจำไม่ได้ว่าเดินออกนอกประตูห้อง”
“เช่นนั้นจิ้งซีซือฟู่น่าจะโดนลอบทำร้ายในห้องนี้” เซ่าหมิงยวนกล่าว
หัวหน้าภิกษุอ้าปากพูด “ตอนอาตมาพาพวกศิษย์น้องมา มองเห็นชาวป่าตายคนหนึ่ง…”
“เป็นคนร้าย ตอนข้ามาถึงที่นี่ เขากำลังจะสังหารคุณหนูหลีปิดปาก”
“อมิตาภพุทธ ถ้าท่านโหวไว้ชีวิตคนผู้นั้น บางทีอาจซักถามเบาะแสของซือไท่ได้” หัวหน้าภิกษุพูดอย่างทอดถอนใจ
เซ่าหมิงยวนบอกด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “ข้าร้อนใจจะช่วยคน มิได้ยับยั้งชั่งใจให้ดีเองขอรับ”
ถึงย้อนกลับไปได้ เขายังคงปลิดชีพคนผู้นั้นโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อยอยู่ดี
สถานการณ์ในยามนั้น ใครจะรู้ว่าล่าช้าไปชั่วอึดใจจะเกิดเรื่องที่ไม่อาจแก้ไขคืนกลับอันใดขึ้นหรือไม่ เขาไม่อาจเอาชีวิตและชื่อเสียงของคุณหนูหลีมาล้อเล่นได้
ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง เหล่าภิกษุย้อนกลับมา “ศิษย์พี่ ทุกๆ จุดในอารามไม่พบร่องรอยของซือไท่เลย”
“อมิตาภพุทธ…” หัวหน้าภิกษุขานนามพระพุทธเสียงหนึ่งด้วยจิตใจที่หนักอึ้งเป็นอันมาก
เซ่าหมิงยวนพูดเป็นเชิงปลอบ “หากอู๋เหมยซือไท่ไม่อยู่ในอาราม เช่นนั้นยังนับว่าเป็นข่าวดีข่าวหนึ่ง”
“เอ๊ะ?” หัวหน้าภิกษุอึ้งงันไป
เฉียวเจาเอ่ยปากขึ้น “นี่ยืนยันได้ว่ามีโอกาสอยู่มากที่อู๋เหมยซือไท่ยังมีชีวิตอยู่เจ้าค่ะ”
เซ่าหมิงยวนมองนางอย่างชื่นชม จากนั้นเหลียวมองรอบกายก่อนถามไถ่ “ปกติอู๋เหมยซือไท่กินอยู่หลับนอนที่นี่เป็นประจำใช่หรือไม่”
“ไม่ใช่ ที่นี่เป็นแค่ที่นอนพักกลางวันของซือไท่ ท่านพำนักอยู่ที่อื่น” จิ้งซีเอ่ยตอบ
“ตอนนี้จิ้งซีซือฟู่รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าไม่เป็นไรมาก รบกวนท่านพาข้าไปดูสักหน่อย”
“อาตมาไม่เป็นไรแล้ว” จิ้งซีฝืนทนความรู้สึกไม่สบายตัวหลังถูกจับมัดเป็นเวลานานลุกขึ้นยืน นำทางพวกเซ่าหมิงยวนไปยังเรือนพำนักของอู๋เหมยซือไท่
เซ่าหมิงยวนสะกิดเฉียวเจาทีหนึ่ง กระซิบบอกนางว่า “อยู่กับข้า อย่าห่างเกินครึ่งก้าว”
“อื้อ” เฉียวเจาพยักหน้าเบาๆ
เหตุดินถล่มเพิ่งเกิดขึ้นไม่กี่วัน ดินหินทลายลงมาปิดถนนตัดขาดวัดต้าฝูจากโลกภายนอก ต่อมาก็เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ผู้ใดจะล่วงรู้ว่าคนร้ายหลบซ่อนอยู่ที่ใดกันแน่
“ที่นี่คือเรือนพำนักของซือไท่” จิ้งซีผลักประตูเปิดออก
ทุกคนมองเข้าไปแล้วตะลึงงันไปตามๆ กัน
อู๋เหมยซือไท่รักความสะอาด ปกติห้องทั้งหมดล้วนต้องปัดกวาดเช็ดถูจนปราศจากฝุ่นละออง สิ่งของทุกชิ้นต้องจัดเก็บเข้าที่อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ทว่าเรือนพำนักหลังนี้กลับรกรุงรัง เห็นชัดว่าถูกคนรื้อค้นกระจุยกระจาย
“อู๋เหมยซือไท่มีบางสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการอยู่ในมือ” หลังนิ่งเงียบไปเป็นเวลาสั้นๆ เซ่าหมิงยวนก็ปริปากเอ่ยขึ้น
“แต่เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าคนร้ายยังหาไม่พบ แต่ก็หวั่นเกรงว่าอยู่ที่นี่ยิ่งนานยิ่งไม่เป็นผลดี ดังนั้นจึงลักพาตัวอู๋เหมยซือไท่ไป” เฉียวเจากล่าวเสริมขึ้น
ทั้งคู่สบตากันแล้วพูดประสานเสียงกัน “มีคนร้ายอย่างน้อยสองคน!”
คนหนึ่งพาตัวอู๋เหมยซือไท่หลบหนีไป ส่วนอีกคนซุ่มรออยู่ในอาราม รอเฉียวเจากลับมาแล้วฆ่าปิดปาก เพื่อถ่วงเวลาถูกจับได้
“อมิตาภพุทธ ความหมายของประสกกับสีกาคือยังมีคนร้ายอีกคนใช่หรือไม่ ไม่ทราบว่าคนร้ายอีกคนจะพาซือไท่ไปที่ใดได้กันแน่”
เฉียวเจาเพิ่งอ้าปากจะพูด พลันเห็นเซ่าหมิงยวนขยิบตาให้นางทีหนึ่งอย่างว่องไว นางจึงกลืนถ้อยคำหลังกลับลงคอทันใด