หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 317
บทที่ 317
เณรน้อยพูดตรงๆ ไปตามประสาเด็ก แต่ผู้ใหญ่สองคนอึ้งงันพร้อมกัน
เฉียวเจานึกในใจ รู้แต่แรกคงไม่หลอกเขาไปเช่นนั้น
“แค่กๆ” เซ่าหมิงยวนไอเบาๆ “ซือฟู่น้อย ข้าเป็นบุรุษ จะอุ้มสีกาตามใจชอบมิได้”
เณรน้อยมองเฉียวเจาแล้วทำหน้างุนงงเต็มที “ประสกอุ้มสีกามาที่วัดต้าฝูไม่ใช่หรือ”
“…” โดนเด็กน้อยจับโกหกซึ่งๆ หน้าเป็นเรื่องน่ากระอักกระอ่วนเหลือเกิน แต่เพราะอะไรคุณหนูหลีถึงบอกเรื่องนี้กับเณรน้อยนะ
เฉียวเจาเบนสายตาออกไปทางอื่นเงียบๆ
นางแน่ใจอีกคราหนึ่งแล้วว่า จะหลอกเด็กน้อยสุ่มสี่สุ่มห้าอีกไม่ได้
เซ่าหมิงยวนอุ้มเณรน้อยขึ้นเสียเลย
“เอ๊ะ?” เณรน้อยงงงวยอยู่บ้าง
เซ่าหมิงยวนให้คำอธิบายยิ้มๆ “ซือฟู่น้อยตัวเบากว่า…”
เขาพูดไม่ทันจบก็รู้สึกถึงสายตาเย็นเยียบที่มองมาจากด้านข้าง
เณรน้อยตัวเบากว่า? นี่จะพูดว่าข้าตัวหนักเกินไปหรือ ที่แท้คิดเช่นนี้ทุกคราที่อุ้มข้าสินะ!
แม่นางเฉียวเม้มปากแน่น
แม่ทัพหนุ่มจับต้นชนปลายไม่ถูก ดูเหมือนจะพูดอะไรผิดไปอีกแล้ว!
ชายหนุ่มคิดแล้วไม่เข้าใจจึงเลิกคิดต่อ หันหน้าไปบอกกับเฉียวเจา “คุณหนูหลีอยู่ใกล้ๆ ข้าไว้”
นางกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “รู้แล้วเจ้าค่ะ ไม่อยู่ใกล้ๆ แล้วจะทำเช่นไรได้ ข้าตัวหนักถึงเพียงนี้ ท่านอุ้มไม่ไหวสักหน่อย”
เซ่าหมิงยวนมองนางนิ่งๆ เขาเคยอุ้มนางมาแล้วตั้งกี่ครั้งกี่หน เหตุใดคุณหนูหลีกล่าวเช่นนี้
เฉียวเจาโดนเขาจ้องมองก็หน้าร้อนผะผ่าวอย่างไร้สาเหตุ นางแสร้งพูดอย่างสงบนิ่ง “รีบไปกันเถอะ”
เสวียนจิ่งนำทางทั้งคู่มาถึงด้านหน้าสะพานขาด
เซ่าหมิงยวนวางตัวเสวียนจิ่งลงแล้วพูดกำชับ “คุณหนูหลีเฝ้าซือฟู่น้อยไว้ ข้าจะไปดูสักหน่อย”
เฉียวเจาผงกศีรษะพร้อมกับจูงมือเสวียนจิ่งไว้เงียบๆ
เซ่าหมิงยวนเดินไปถึงด้านข้างสะพานขาด ก้มตัวลงตรวจดูครู่หนึ่งถึงเอ่ยกับเฉียวเจา “รอยหักดูใหม่มาก น่าจะต่อใหม่ได้ไม่นานก็ฟันจนหักอีก”
“นี่แสดงว่าคนร้ายกลับไปวัดต้าฝูทางถนนเส้นนี้หรือเจ้าคะ”
“ตอนนี้คนร้ายไปที่ใดยังยืนยันไม่ได้ แต่เคยผ่านมาทางนี้แน่นอน” เซ่าหมิงยวนลุกขึ้นมองแล้วมองอีก จู่ๆ เขาดีดตัวขึ้นจากพื้นกระโดดไปตรงกลางสะพานขาด
“อ๊ะ!” เณรน้อยยกมือปิดตาด้วยความตกใจ
ชั่วขณะนั้นเฉียวเจาก็อกสั่นขวัญแขวนไปด้วย แต่มิได้แสดงออกทางสีหน้าแม้แต่เศษเสี้ยว นางมองตามแผ่นหลังคนผู้นั้นไปด้วยแววตานิ่งเฉย
เซ่าหมิงยวนทิ้งตัวลงตรงหัวสะพาน แตะปลายเท้าเบาๆ แล้วม้วนตัวย้อนกลับมาประหนึ่งเหยี่ยวกางปีกโผบิน
รอเมื่อเท้าเขาแตะลงบนพื้น เสวียนจิ่งก็เอ่ยด้วยสีหน้าเลื่อมใส “ประสก ที่แท้ท่านบินได้”
เซ่าหมิงยวนยกยิ้มหยิกแก้มป่องๆ ของเขา จากนั้นแบมือออก “คุณหนูหลี ท่านดูสร้อยประคำเส้นนี้เป็นของอู๋เหมยซือไท่ทำหล่นไว้ใช่หรือไม่”
เฉียวเจาเป็นคนความจำดี นางหยิบสร้อยประคำขึ้นพินิจดูอย่างละเอียดแล้วพยักหน้ากล่าวว่า “อู๋เหมยซือไท่มีสร้อยประคำข้อมือไม้กฤษณาเช่นนี้อยู่เส้นหนึ่งจริงๆ”
นางพูดจบก็เอาสร้อยประคำสวมบนข้อมือของเซ่าหมิงยวน ขณะที่เขามองมาด้วยสายตากังขา นางถอยห่างจากเขาไม่ไกล จากนั้นสูดกลิ่นก่อนพูดอย่างมั่นใจ “สร้อยประคำไม้กฤษณาเส้นนี้เป็นของอู๋เหมยซือไท่อย่างไม่ต้องสงสัยเจ้าค่ะ”
“คุณหนูหลียืนยันได้หรือ”
“ได้เจ้าค่ะ อู๋เหมยซือไท่สวมสร้อยเส้นนี้ไว้ตลอดเวลา ส่วนใหญ่ตอนข้าอยู่กับซือไท่ล้วนเป็นระยะห่างระหว่างท่านกับข้าในตอนนี้ จะได้กลิ่นหอมเช่นนี้นั่นเอง”
สร้อยประคำไม้กฤษณาทุกเส้นจะมีกลิ่นเฉพาะตัวต่างกันไปตามเวลาที่สวมใส่ แต่ถ้าคิดจะแยกแยะความแตกต่างอันน้อยนิดเช่นนี้ จำเป็นต้องมีความคุ้นเคยหรือช่างสังเกตสังกามากพอ
นางมาที่อารามซูอิ่งทุกๆ เจ็ดวันเท่านั้น จะบอกว่าคุ้นเคยคงไม่ได้แน่ เช่นนั้นนางต้องอาศัยความจำและความช่างสังเกตที่เหนือกว่าคนทั่วไป
เซ่าหมิงยวนอดคิดไม่ได้ว่านี่คือสตรีที่ทำให้หัวใจเขาเต้นแรง ยิ่งได้ใกล้ชิด ยิ่งค้นพบสิ่งที่ควรค่าให้ชมชอบนางได้มากยิ่งขึ้น
บางทีเฉียวเจาภรรยาของเขาก็เป็นหญิงสาวที่ชาญฉลาดเฉกนี้ ถ้าทั้งสองมีโอกาสได้รู้จัก รู้ใจ และครองรักกัน เขามีนางอยู่ในหัวใจแต่แรก ก็คงไม่ต้องทุกข์ทรมานและเสียดายเช่นในเวลานี้
“ไป พวกเรากลับเถอะ”
ผู้ใหญ่สองคนกับเด็กหนึ่งคนมุ่งหน้ากลับไปยังวัดต้าฝู
บัดนี้ลานวัดที่คึกคักทว่าสงบเรียบร้อยในยามปกติตกอยู่ในบรรยากาศอึมครึม ราวกับมีเมฆดำคลี่คลุมอยู่ด้านบน
“ท่านเจ้าอาวาส นี่เป็นสร้อยประคำข้อมือที่พวกข้าพบที่สะพานขาด น่าจะเป็นของอู๋เหมยซือไท่ขอรับ” เซ่าหมิงยวนมอบสร้อยประคำไม้กฤษณาให้เจ้าอาวาส
ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นคนนอก ขณะที่วัดต้าฝูกับอารามซูอิ่งใกล้ชิดกันดั่งพี่น้อง สิ่งที่พึงบอกต่อเจ้าอาวาสวัดต้าฝูจึงไม่จำเป็นต้องปกปิดไว้เป็นธรรมดา ยกเว้นฟันที่ซ่อนยาพิษไว้ซี่นั้น
คนที่อยู่ด้วยนอกจากเจ้าอาวาสแล้วยังมีภิกษุชั้นผู้ใหญ่หลายรูป
เจ้าอาวาสรับสร้อยประคำข้อมือมาพิศดูอย่างละเอียดแล้วพยักหน้า “อมิตาภพุทธ นี่เป็นสร้อยประคำข้อมือของศิษย์พี่อู๋เหมยจริงๆ”
“นี่แสดงว่าคนร้ายที่ลักพาตัวศิษย์พี่อู๋เหมยไปใช้เส้นทางนี้” ภิกษุอาวุโสกล่าว
ภิกษุอาวุโสอีกคนพูดต่อจากเขา “อาตมาจำได้ว่าถนนเส้นนี้เชื่อมต่อไปยังสถานที่สองแห่ง แห่งหนึ่งคือวัดต้าฝู อีกแห่งคือป่าเก่าแก่กลางเขาลึก ในนั้นมีเรือนอาศัยของพรานป่าอยู่กระจัดกระจาย บางครั้งจะมีพรานป่าเอาสมุนไพรมาแลกกับของต่างๆ เช่นเกลือที่วัดต้าฝู”
เหล่าภิกษุสบตากัน
เจ้าอาวาสเอ่ยปากพูด “แบ่งกำลังคนกลุ่มหนึ่งไปดูที่นั่นเดี๋ยวนี้เลย”
“ทางที่ดีศิษย์พี่เจ้าอาวาสส่งคนไปค้นหามากหน่อย ทางนั้นมีลักษณะพื้นที่ซับซ้อน ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยไว้ก่อน”
“แน่นอนอยู่แล้ว”
เซ่าหมิงยวนกับเฉียวเจาต่างมิได้พูดแทรก แต่ถอยออกไปอย่างรู้กาลเทศะตอนที่เจ้าอาวาสมอบหมายงานต่างๆ อย่างละเอียด
ทั้งสองยืนสนทนากันในที่โล่งกว้าง
“แม่ทัพเซ่า ท่านว่าภิกษุของวัดต้าฝูจะตรวจค้นภายในวัดหรือไม่เจ้าคะ”
“บอกยาก ถึงจะตรวจค้นก็ไม่มีทางทำอย่างเอิกเกริก”
เฉียวเจาพยักหน้า “นั่นสิ หากอู๋เหมยซือไท่ถูกซุกซ่อนไว้ในวัด อย่างนั้นฐานะในที่แจ้งของคนร้ายก็คือภิกษุวัดต้าฝู ถ้าระดมคนตรวจค้นขนานใหญ่ เป็นไปได้ว่าอาจบีบคนร้ายให้เป็นเช่นสุนัขจนตรอก แอบนำตัวซือไท่ไป…”
“คุณหนูหลีอย่ากังวลใจเกินไปเลย” เซ่าหมิงยวนพูดปลอบ “ยังจำคนร้ายที่ถูกข้าสังหารได้หรือไม่”
เด็กสาวสั่นสะท้านอย่างควบคุมตนเองไม่อยู่ นางกล่าวพร้อมรอยยิ้มฝืดๆ “มีหรือจะจำไม่ได้”
“ตอนข้าค้นตัวเขาพบว่าจุดที่ผิวสากด้านตรงปลายนิ้วเกิดจากการฝึกซ้อมยิงธนูเป็นประจำ นี่บ่งบอกว่าเขาปลอมตัวเป็นพรานป่ามานานแล้ว ในเมื่อสิ่งที่พวกเขาต้องการซึ่งอยู่ในครอบครองของอู๋เหมยซือไท่ ทำให้พวกเขาอดทนมาตลอดหลายปีมานี้ได้ ตราบเท่าที่ยังไม่ได้ของชิ้นนั้นมาไว้ในมือ พวกเขาจะไม่มีวันฆ่าคนปิดปาก”
“หวังว่าซือไท่จะทานทนได้ไหว” เฉียวเจากล่าวเช่นนี้ แต่ในใจยังวิตกกังวลอยู่หลายส่วน
ด้วยอุปนิสัยทะนงตนไม่ข้องแวะกับทางโลกของอู๋เหมยซือไท่ ถ้าเกิดนางทนความอัปยศอดสูไม่ได้ นางอาจเลือกที่จะตัดช่องน้อยแต่พอตัว…
“คุณหนูหลี พวกเรากลับกันเถอะ ที่พึงตรวจสอบก็ตรวจสอบไปแล้ว ส่วนที่เหลือก็แล้วแต่ทางท่านเจ้าอาวาสจะจัดการ”
“เจ้าค่ะ” เฉียวเจาพยักหน้า กลับไปที่กระท่อมนางจะได้ลองแยกแยะชนิดของพิษในฟันซี่นั้นดู ไม่แน่อาจพบเบาะแสอื่นก็เป็นได้