หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 320
บทที่ 320
สองพ่อลูกเข้าวังพร้อมกัน
เจียงซือหร่านไปยังที่ประทับขององค์หญิงเยี่ยมเยียนองค์หญิงเจินเจิน ฝ่ายเจียงถังตรงไปเข้าเฝ้า
“ท่านผู้บัญชาการใหญ่มาแล้วหรือ โปรดรอสักครู่ ฝ่าบาททรงงานยุ่งอยู่ขอรับ” เว่ยอู๋เสียขันทีตรวจฎีกายิ้มพรายกล่าวขึ้น
เจียงถังได้ยินก็ลอบถอนใจเฮือก
แย่แล้ว มาถึงตอน ‘โอสถทิพย์’ เพิ่งเสร็จออกจากเตาอีกจนได้!
เจียงถังรอคอยอยู่นานครึ่งชั่วยามเศษ ฮ่องเต้หมิงคังถึงเรียกตัวเข้าเฝ้า
เพลานี้ผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลินผู้ทรงบารมีเป็นที่เกรงขามของใครๆ ไม่กล้าแสดงความหงุดหงิดทางสีหน้าแม้แต่น้อย เขาถวายคำนับต่อฮ่องเต้อย่างเคารพนอบน้อม
“ลุกขึ้นเถอะ” ฮ่องเต้หมิงคังกล่าวเสียงเรียบ
เจียงถังถึงลุกขึ้นยืนตัวตรง
“พี่ถังนั่งเถอะ มิใช่เวลาประชุมขุนนางเสียหน่อย จะสำรวมระวังตัวเช่นนี้ไปไย”
“ขอบพระทัยที่พระราชทานที่นั่งให้พ่ะย่ะค่ะ” เจียงถังนั่งลงอย่างสงบเสงี่ยม
ไม่ว่าใครก็รู้ว่าเขาคือคนสนิทของฮ่องเต้ ยามอยู่เบื้องพระพักตร์ได้รับเกียรติพระราชทานที่นั่งให้ผิดจากผู้อื่น ทว่าในฐานะที่เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่เข้าใจฮ่องเต้หมิงคังมากที่สุด เขากลับไม่กล้าชะล่าใจแม้ชั่วขณะ
เพราะว่าเข้าใจนี่เองถึงตระหนักได้อย่างถ่องแท้ว่าโอรสสวรรค์พระองค์นี้เป็นคนอารมณ์ปรวนแปรและมีเล่ห์เหลี่ยมลึกล้ำปานใด
“เว่ยอู๋เสีย”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“เอาโอสถทิพย์ที่เราเพิ่งได้มามอบให้ท่านผู้บัญชาการใหญ่สองเม็ด”
“พ่ะย่ะค่ะ” เว่ยอู๋เสียประคองถาดออกมาทันที บนนั้นวางจานแก้วใสไว้ใบหนึ่ง มียาลูกกลอนสีแดงเข้มสองเม็ดอยู่ในจาน
เจียงถังมองแล้วหนังศีรษะชาวาบทันใด
นี่เป็นยาขนานใหม่!
“พี่ถังลองดูสิ” ฮ่องเต้หมิงคังกล่าวด้วยรอยยิ้มกว้าง
เขาไม่ได้สวมเสื้อคลุมมังกร แต่สวมเสื้อคลุมนักพรตหลวมโพรก ดูไปแล้วไม่คล้ายเจ้าแผ่นดิน กลับละม้ายนักพรตผู้บำเพ็ญตบะแก่กล้าผู้หนึ่ง
“ขอบพระทัยที่พระราชทานให้พ่ะย่ะค่ะ” เจียงถังกินยาลูกกลอนสองเม็ดนั้นด้วยสีหน้าซาบซึ้งใจ ท่ามกลางสายตายิ้มย่องของฮ่องเต้หมิงคังที่จับจ้องมองอยู่
เขารีบร้อนกลืนยาจนติดคอ หน้าตาแดงก่ำท่าทางเหมือนจะหายใจไม่ออก
ฮ่องเต้หมิงคังหัวร่อเสียงดัง “ใจร้อนอะไรกัน หนนี้เราได้มาไม่น้อยเลย ประเดี๋ยวพี่ถังเอากลับไปอีกหลายๆ เม็ด”
“แค่กๆๆ…” เจียงถังเริ่มไอเสียงดังอย่างกลั้นไม่อยู่อีกต่อไป
ฮ่องเต้หมิงคังไม่ถือสา เขาสั่งกำชับเว่ยอู๋เสียด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “เว่ยอู๋เสีย รินน้ำไปให้ท่านผู้บัญชาการใหญ่เร็วเข้า”
เจียงถังกลืนยาลูกกลอนสองเม็ดลงไปอย่างไม่ง่ายดาย เขาสำลักจนน้ำตาเต็มลูกตา กุมถ้วยน้ำด้วยสองมือยกดื่มอักๆ หลายคำแล้วกล่าวอย่างขอลุแก่โทษ “กระหม่อมสมควรตาย เสียกิริยาต่อเบื้องพระพักตร์แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ลุกขึ้นๆ เรารู้ว่าท่านร้อนใจจะลิ้มรสโอสถทิพย์ แต่ใช่ว่ากินครั้งเดียวก็จะไม่มีอีก ขอเพียงเราได้โอสถทิพย์มา ต้องแบ่งปันให้พี่ถังแน่นอน”
เจียงถังคิดในใจ ขอบพระทัยนะ!
แต่เขารู้ว่าการแสดงออกเมื่อครู่นี้ของตนสร้างความพึงใจให้ฮ่องเต้หมิงคังแล้ว ประเดี๋ยวบอกข่าวอู๋เหมยซือไท่หายตัวไปคงไม่ต้องเผชิญกับความพิโรธโกรธกริ้วขององค์ฮ่องเต้
เมื่อคิดไปเช่นนี้ เจียงถังระบายลมหายใจเฮือกหนึ่งเบาๆ
“พี่ถังรู้สึกเป็นอย่างไร” ฮ่องเต้หมิงคังเอ่ยถาม
เจียงถังลอบถอนใจ
นี่เหตุผลที่เขาไม่อาจสับเปลี่ยนยาลูกกลอนได้ เพราะทุกครั้งฮ่องเต้ต้องซักถามความรู้สึกหลังกินมันเข้าไปตั้งแต่รสชาติไปจนถึงอาการต่างๆ อย่างละเอียดยิบถึงจะยอมเลิกรา
“เข้าปากแล้วเผ็ดร้อน หลังกลืนลงท้องราวกับมีไฟแผดเผา…” เจียงถังบรรยายความรู้สึกหลังกินยาลูกกลอนอย่างละเอียดลออ
ฉะนั้นแม่นางน้อยผู้นั้นเป็นคนฉลาดจริงๆ มีโอรสสวรรค์ที่พระราชทานยาลูกกลอนให้วันเว้นวันเฉกนี้ ไม่ต้องกลัวว่าเขาจะฆ่าลาเมื่อเสร็จงานโม่แป้ง*
ทั้งมิใช่แค่ฆ่าลาเมื่อเสร็จงานโม่แป้งไม่ได้ วันหน้าผู้ใดกล้าทำร้ายเด็กสาวผู้นั้น เขาจะเอาชีวิตมันผู้นั้น!
“นี่เป็นยาที่เปิดเตาสกัดออกมาหลังท่านราชครูปรับตำรับยาให้ดีขึ้น คิดไม่ถึงว่าสกัดครั้งเดียวก็สำเร็จ พี่ถังเองมาได้จังหวะพอดี” ฮ่องเต้หมิงคังกล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นเชิงว่า ‘เจ้าโชคดีแล้ว’
เจียงถังซาบซึ้งใจจนแทบน้ำตาริน “ล้วนเป็นด้วยพระเมตตาธรรมของพระองค์ถึงทำให้ท่านราชครูสกัดโอสถทิพย์ออกมาได้อย่างราบรื่นพ่ะย่ะค่ะ”
นับแต่หัวหน้าของกององครักษ์จินหลินซึ่งเป็นที่ยำเกรงของขุนนางทั้งบุ๋นบู๊ผู้นี้เข้ามา จนตอนนี้มิได้เอ่ยถึงจุดประสงค์ที่เข้าวังสักคำ
กษัตริย์กับขุนนางสนทนากันเรื่องโอสถทิพย์นี้เป็นเวลานาน จวบจนฮ่องเต้หมิงคังสำราญพระทัยอย่างมาก จึงเป็นฝ่ายเอ่ยถามขึ้น “พี่ถังมาที่วังหลวงเข้าเฝ้าเราในเวลานี้มีเรื่องใดหรือ”
เจียงถังเหยียดแผ่นหลังตรงแหน็ว โน้มกายไปข้างหน้าพลางกล่าวอย่างพินอบพิเทา “กวนจวินโหวส่งข่าวมาจากบนเขาว่ามีคนร้ายสังหารเหล่าภิกษุณีในอารามซูอิ่ง ส่วนอู๋เหมยซือไท่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หมิงคังหุบยิ้มตรงมุมปากทันควัน “อู๋เหมยซือไท่หายตัวไป?”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“สถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง มีข่าวคราวของอู๋เหมยซือไท่หรือยัง เจียงถัง กององครักษ์จินหลินของเรามัวทำอะไรอยู่”
เจียงถังลุกจากเก้าอี้แล้วคุกเข่าลง “ฝ่าบาท ยามนี้ถนนบนเขาที่ไปยังวัดต้าฝูถูกตัดขาดเพราะเหตุดินถล่ม ขณะนี้มีแค่กวนจวินโหวที่เข้าออกที่นั่นได้พ่ะย่ะค่ะ”
“ความหมายของเจ้าคือกององครักษ์ของเราไม่มีใครสักคนที่เข้าไปได้หรือ” ฮ่องเต้หมิงคังถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
เจียงถังหลั่งเหงื่อกาฬไม่หยุด
หากไม่คำนึงถึงชีวิต พวกสืออีกับสือซานก็อาจจะลองดูได้แน่นอน แต่ถ้าพลั้งตกลงมากลางทางจะไม่คุ้มค่าเกินไปมิใช่หรือ ในฐานะบิดาบุญธรรม เขาหักใจให้บุตรบุญธรรมที่อบรมบ่มเพาะมาอย่างดีต้องเสียสละโดยไม่จำเป็นเช่นนี้ไม่ได้
ตอนนั้นไม่มีใครรู้ว่าอารามซูอิ่งจะเกิดเรื่องใหญ่ปานนี้
“ก็ถูก ใต้หล้านี้มีกวนจวินโหวเพียงผู้เดียว” ฮ่องเต้หมิงคังกล่าวเอื่อยๆ
“ฝ่าบาทตรัสได้ถูกต้องพ่ะย่ะค่ะ”
ยอมรับจุดนี้หาใช่เรื่องน่าอายอันใดไม่ หากใครๆ ล้วนทำได้อย่างกวนจวินโหว การศึกแดนเหนือก็คงมิใช่ว่าต้องเป็นกวนจวินโหวเท่านั้น
“เรารู้แล้ว เรื่องอู๋เหมยซือไท่ถ้ามีข่าวอะไรส่งออกมาก็มารายงานโดยด่วน ส่วนทางไทเฮาปิดบังไว้ชั่วคราว”
“กระหม่อมทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หมิงคังลุกขึ้นเดินย่ำเท้าวนไปวนมาในตำหนัก จากนั้นหยุดยืนนิ่งทอดสายตามองไปนอกหน้าต่าง
กำแพงสีแดงคู่กิ่งหลิวสีเขียว พระราชวังในช่วงกลางฤดูร้อนแต่งแต้มด้วยพฤกษชาติชื่อดังล้ำค่าจนงดงามหรูหราเป็นพิเศษ แต่ฮ่องเต้หมิงคังกลับรู้สึกหงุดหงิดอย่างมาก
ดอกไม้มีวันที่ผลิบานใหม่ ทว่าคนเราไม่หวนกลับไปเยาว์วัยอีกครั้ง วันเวลาของเขาใช้ไปกับการบำเพ็ญเพียรยังไม่เพียงพอ กลับมีความวุ่นวายทางโลกมากวนใจเขามากมายอย่างนี้
“ออกไปเถอะ” ฮ่องเต้หมิงคังโบกมือไปมา
เมื่อรายงานข่าวร้ายเรื่องอู๋เหมยซือไท่หายตัวไปต่อฮ่องเต้ได้อย่างราบรื่น เจียงถังก็ถอนหายใจโล่งอก “กระหม่อมทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”
“รอประเดี๋ยวพี่ถัง…” ฮ่องเต้หมิงคังดูเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ จึงหมุนกายมาส่งเสียงเรียก
เจียงถังหยุดฝีเท้าทันที เขาไต่ถามอย่างนอบน้อม “ทรงมีสิ่งใดจะบัญชาอีกพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หมิงคังกวาดตามองขันทีตรวจฎีกาแวบหนึ่ง “เว่ยอู๋เสีย เอาโอสถทิพย์สองเม็ดใส่กล่องให้ท่านผู้บัญชาการใหญ่นำกลับไป”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เว่ยอู๋เสียยื่นกล่องหยกใบหนึ่งให้เจียงถัง เขารีบรับไว้แล้วกล่าวขอบพระทัย หากนึกในใจว่า ฮ่องเต้ความทรงจำดีเหลือเกิน วันหน้าใครยังสงสัยว่าฮ่องเต้บำเพ็ญตบะจนลืมเลือนเรื่องราวทางโลกียวิสัยล่ะก็ ข้าจะเอาเรื่องมันผู้นั้น!
ตำหนักบรรทม
หลายวันมานี้สิ่งของที่สะท้อนเงาคนได้ในตำหนักถูกเก็บเข้าห้องคลังทั้งหมด พวกข้ารับใช้ไม่กล้าแม้แต่จะเดินเสียงดังๆ เหตุผลมิใช่อื่นใด เพราะใบหน้าขององค์หญิงผู้สะคราญโฉมอย่างองค์หญิงเจินเจินมีอาการเนื้อเน่า เป็นเหตุให้สภาพจิตใจของนางย่ำแย่เต็มที ไม่มีใครยั่วโทสะของเหล่าผู้เป็นนายโดยไม่ดูตาม้าตาเรือในเวลานี้
กระนั้นฟางหลันนางกำนัลอาวุโสที่รับใช้ข้างกายองค์หญิงเจินเจินยังคงไม่อาจไม่รายงาน
“องค์หญิง คุณหนูเจียงมาเพคะ”
“ไม่พบๆ” องค์หญิงเจินเจินฉวยหมอนใกล้ๆ มือขว้างไปบนพื้น
“เช่นนั้นหม่อมฉันไปบอกกล่าวคุณหนูเจียงสักคำ” ฟางหลันไม่กล้าพูดมากแม้แต่คำเดียว นางค่อยๆ ค้อมกายเตรียมจะถอยออกไป
“รอประเดี๋ยว” องค์หญิงเจินเจินเพ่งมองหมอนอิงบนพื้นอย่างใจลอยครู่หนึ่งถึงเอ่ยเสียงขรึม “เชิญคุณหนูเจียงไปนั่งในโถงก่อน ข้าจัดการธุระเล็กน้อยแล้วจะออกไปพบนาง”
“เพคะ”
ฟางหลันออกไปแล้วองค์หญิงเจินเจินทุบเสาเตียงทีหนึ่ง
คราวก่อนเจียงซือหร่านมาเยี่ยม นางก็ไม่ไปพบ คราวนี้ขืนหลบหน้าอีกเกรงว่าอีกฝ่ายจะโกรธเคืองแล้ว
องค์หญิงเจินเจินให้คนปรนนิบัติตนแต่งองค์ทรงเครื่องเสร็จสรรพ ก่อนจะเอาผ้าโปร่งคลุมหน้าและสาวเท้าออกไป
* ฆ่าลาเมื่อเสร็จงานโม่แป้ง เป็นประโยคเปรียบเปรย หมายถึงเมื่อบรรลุเป้าหมายแล้วก็ถีบหัวส่ง ลืมบุญคุณของผู้ที่เคยออกแรงเพื่อตน เฉกเช่นการฆ่าลาทั้งที่มันเพิ่งจะช่วยโม่แป้งเสร็จ