หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 324
บทที่ 324
“ซือฟู่ต้องการคำอธิบายอะไร” เซ่าหมิงยวนเดินเข้ามายืนข้างกายเฉียวเจา
ภิกษุของวัดต้าฝูอาจไม่ข้องแวะกับทางโลก แต่ก็มีความสัมพันธ์ทางอ้อมกับเหล่าเชื้อพระวงศ์ ดังนั้นพวกเขาไม่ยำเกรงต่อขุนนางในราชสำนักสักเท่าไร
ภิกษุวัยกลางคนกล่าวเสียงเย็น “พวกศิษย์พี่ของอารามซูอิ่งต้องจบชีวิตลงอย่างน่าอนาถ ขณะที่อู๋เหมยซือไท่จะเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ยังไม่รู้ อาตมามีเหตุผลที่จะสงสัยว่าเรื่องนี้ต้องพัวพันกับคุณหนูหลี”
“ผู้ออกบวชล้วนมีใจเมตตากรุณา ไม่ว่าซือฟู่จะสงสัยอะไร โปรดให้คุณหนูหลีตรวจอาการสารถีของนางก่อนค่อยว่ากันอีกที” สีหน้าของเซ่าหมิงยวนนิ่งเรียบดุจผิวน้ำ เขายื่นมือไปแก้มัดให้เฉินกวง
“ประสกจะยื่นมือก้าวก่ายเรื่องของวัดต้าฝูหรือ”
เซ่าหมิงยวนหมุนกายไปมองภิกษุวัยกลางคนนิ่งๆ “ซือฟู่ผิดถนัด แท้จริงแล้วนี่เป็นเรื่องของอารามซูอิ่ง”
ต่อให้อารามซูอิ่งกับวัดต้าฝูจะใกล้ชิดกันดั่งพี่น้อง เขาไม่มีทางปล่อยให้ใครจูงจมูก ฝ่ายหนึ่งเป็นวัดพระภิกษุ ฝ่ายหนึ่งเป็นอารามนางชีและภิกษุณี พวกเขาจะพูดว่านี่เป็นครอบครัวเดียวกันได้หรือ
ภิกษุวัยกลางคนโดนเซ่าหมิงยวนตอกกลับด้วยคำนี้จนโต้แย้งไม่ออก
เขาแก้เชือกที่มัดมือเฉินกวงออกแล้วส่งเสียงเรียก “เฉินกวง ตื่นสิ…”
“แม่ทัพเซ่า ประคองเฉินกวงไปที่ห้องก่อนเถอะเจ้าค่ะ” เฉียวเจาเอ่ยเตือนขึ้น
เซ่าหมิงยวนพยุงเฉินกวงไว้ “กลับกระท่อมไม้ไผ่”
“กลับกระท่อมไม้ไผ่มิได้”
“สีกาต้องการรักษาคนผู้นี้ก่อนก็ย่อมได้ แต่เชิญทำในวัดนี้ ไม่เช่นนั้นถ้าเขาหนีไป ถึงตอนนั้น…” ภิกษุวัยกลางคนกล่าวเสียงเย็นชา
เจ้าอาวาสเอ่ยปากขึ้นในเวลานี้ “ท่านโหว ห้องพักแขกในวัดมีข้าวของเครื่องใช้พรั่งพร้อม อยู่ที่นี่ตรวจรักษาอาการจะสะดวกกว่า”
เซ่าหมิงยวนรู้ซึ้งดีว่าทำการใดต้องรู้จักผ่อนหนักผ่อนเบา เขาจึงไม่คัดค้านและพยุงเฉินกวงเข้าห้องไปตามคำพูดของเจ้าอาวาส
“ท่านเจ้าอาวาส ข้าต้องการสาวใช้มาเป็นลูกมือของข้าเจ้าค่ะ” เฉียวเจาบอกด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง
เจ้าอาวาสยังไม่ทันกล่าววาจา ภิกษุวัยกลางคนก็เอ่ยขึ้น “สีกาอย่าได้คืบเอาศอก”
เฉียวเจามองเขาปราดหนึ่ง “ซือฟู่จะทำเช่นนี้โดยไม่จำเป็นไปไย ปิงลวี่เป็นเพียงสตรีอ่อนแอนางหนึ่ง ถึงจะแก้มัดให้นาง แต่มีภิกษุอาวุโสมากมายหลายคนเช่นนี้ยังจะกลัวนางหนีไปอีกหรือ”
“นั่นก็ไม่แน่”
เฉียวเจาคลี่ยิ้ม “ซือฟู่กลัวอะไรเล่า กลัวพวกข้าหนีไปหรือ”
นางมองเหล่าภิกษุรอบหนึ่งก่อนหยุดสายตาที่ตัวภิกษุวัยกลางคน “ถ้าเป็นอย่างนั้นซือฟู่วิตกเกินไปแล้ว หากพวกข้าคิดหนี มีแม่ทัพเซ่าอยู่ทั้งคน ผู้ใดจะขัดขวางได้”
ถ้อยคำนี้ดังขึ้น รอบด้านก็ตกอยู่ในความเงียบ ภิกษุหลายรูปเผยสีหน้าอับอายแกมขุ่นเคือง
สีกาผู้นี้สบประมาทภิกษุนักยุทธ์ในวัดเกินไปแล้วกระมัง
แต่กระนั้นก็ดูเหมือนว่านี่จะเป็นความจริง…
เฉียวเจาคาดเดาได้แล้วเหล่าภิกษุต้องมีอาการตอบสนองเฉกนี้ น้ำเสียงของนางเปลี่ยนไปอีกทางทันใด “ทว่าแม่ทัพเซ่าไม่มีทางทำเช่นนี้ ซือฟู่กังวลใจในเรื่องนี้โดยใช่เหตุแล้ว”
นางพูดจบแล้วหันไปมองเจ้าอาวาส “ท่านเจ้าอาวาสเห็นเป็นอย่างไรเจ้าคะ”
เซ่าหมิงยวนซึ่งย้อนกลับมาเมื่อใดก็สุดรู้ยืนอยู่ไม่ไกล เขาได้ยินคำพูดของเด็กสาวแล้วแอบยิ้ม
ที่แท้คุณหนูหลีคิดเช่นนี้เอง เขานึกมาโดยตลอดว่านางคงเห็นว่าเขาโง่งมมาก
“แก้มัดให้สีกาผู้นี้” เจ้าอาวาสกล่าว
“ท่านเจ้าอาวาส” ภิกษุวัยกลางคนเรียกขานด้วยสีหน้าไม่พึงใจ
“ศิษย์น้องไม่ต้องพูดอีก คุณหนูหลีกล่าวไม่ผิด ในเมื่อคนอยู่ตรงนี้แล้วก็ไม่ต้องรีบร้อนตอนนี้ รอพรุ่งนี้ค่อยถามยังไม่สาย”
เฉียวเจาแก้เชือกที่มัดมือปิงลวี่ออกแล้วพานางเข้าไปในห้องพักแขก
เซ่าหมิงยวนตามเข้ามาเงียบๆ
“คุณหนู เฉินกวงจะเป็นอะไรหรือไม่เจ้าคะ”
“อย่าเพิ่งเซ้าซี้” เฉียวเจาจับชีพจรให้เฉินกวงก่อนถามนาง “บนตัวเขามีแผลหรือไม่”
“มีเจ้าค่ะ มีแผลบนหลัง”
เฉียวเจาช้อนตาขึ้น “แม่ทัพเซ่า รบกวนท่านพลิกตัวเฉินกวงให้นอนคว่ำหน้าลงด้วยเจ้าค่ะ”
เซ่าหมิงยวนทำตามคำบอกของนาง
เฉียวเจายื่นมือไปถกเสื้อของเฉินกวงขึ้นเผยให้เห็นแผ่นหลังแข็งแรงของชายหนุ่มด้วยสีหน้านิ่งสนิท
คิ้วของเซ่าหมิงยวนกระตุกริกๆ เขาคิดมากเกินไปจริงๆ คุณหนูหลีปฏิบัติต่อคนป่วยด้วยเมตตาจิตเฉกเดียวกันหมด
ปิงลวี่ยกมือปิดปาก กล่าวปนเสียงสะอื้น “คุณหนู ท่านต้องรักษาเฉินกวงให้ได้นะเจ้าคะ เขากลายเป็นเช่นนี้เพราะจะปกป้องข้า”
สายตาของเฉียวเจาจับจ้องแผ่นหลังที่มีรอยแผลกากบาทเหวอะหวะของเฉินกวง นางถอนใจเฮือก “สาหัสเอาการจริงๆ”
นางพูดพร้อมกับเหยียดนิ้วขาวนวลเนียนแตะตรงปากแผลที่ปริออกจุดหนึ่ง “อีกทั้งตรงนี้กลัดหนองแล้ว”
“กลัดหนองมีโอกาสตายได้ใช่หรือไม่เจ้าคะ…” ปิงลวี่หน้าถอดสีทันควัน
เฉียวเจาส่งยิ้มน้อยๆ ให้นาง “กลัดหนองมีโอกาสตายได้ แต่มีข้าอยู่ก็ไม่เป็นไร”
สาวใช้น้อยของนางบังเกิดความรักขึ้นในใจแล้วอย่างเห็นได้ชัด นางจะปล่อยให้อีกฝ่ายหัวใจสลายได้อย่างไรเล่า
เซ่าหมิงยวนเคลิ้มลอยไปชั่วอึดใจเพราะรอยยิ้มอ่อนโยนนั่นเช่นกัน เขามั่นใจว่าสตรีที่เชื่อมั่นในตนเองนั้นช่างน่ารักนักหนา
“แม่ทัพเซ่า?”
เซ่าหมิงยวนดึงสติคืนมาทันใด “คุณหนูหลีเรียกข้าหรือ”
“มีมีดสั้นสะอาดๆ หรือไม่เจ้าคะ”
เซ่าหมิงยวนก้มตัวดึงมีดสั้นเล่มหนึ่งจากขากางเกงยื่นส่งให้ “มีดสั้นเล่มนี้ยังไม่เคยใช้มาก่อน”
เฉียวเจารับไว้แล้วเอ่ยสั่งปิงลวี่ “ยกตะเกียงน้ำมันตรงขอบหน้าต่างมา”
“คุณหนู ตะเกียงน้ำมันเจ้าค่ะ”
นางดึงมีดออกจากปลอกไปจ่อเปลวไฟ ก้มหน้าไปที่ข้างหูเฉินกวงเรียกชื่อเขา
“คุณหนูจะทำอะไรเจ้าคะ” ปิงลวี่ทำหน้าฉงนใจ
เซ่าหมิงยวนไม่ปริปาก เขามองเงียบๆ
เฉียวเจายืดตัวขึ้นบอกกับปิงลวี่ “เตรียมน้ำร้อนกับผ้านุ่มๆ ผืนใหม่ไว้”
ห้องรับรองนั้นจัดไว้ให้ผู้มาจุดธูปไหว้พระได้พักผ่อนโดยเฉพาะ จึงมีของพวกนี้ไว้พร้อมสรรพเป็นธรรมดา
เมื่อเห็นสาวใช้ตระเตรียมของที่ต้องการเรียบร้อย เฉียวเจาเอามีดสั้นยัดกลับไปในมือเซ่าหมิงยวน “แม่ทัพเซ่ามือไม้ว่องไว ช่วยเฉือนตรงจุดนี้ออกด้วยเจ้าค่ะ”
“เฉือนเนื้อ?!” ปิงลวี่ร้องเสียงหลงอย่างตกใจ “นี่…นี่…”
ไม่ทันสิ้นเสียงนาง เซ่าหมิงยวนก็ตวัดมีดเฉือนเนื้อส่วนที่กลัดหนองบนหลังของเฉินกวงออกแล้ว
บาดแผลมีเลือดไหลออกมาเป็นสีแดงฉานโดยพลัน
เฉินกวงร้องครางเสียงหนึ่ง มือข้างที่ห้อยอยู่ริมเตียงขยุ้มชายกระโปรงของเฉียวเจาไว้
นางไม่มีเวลาสนใจเรื่องนี้ รีบฝังเข็มเงินรอบปากแผลอย่างฉับไว โลหิตที่ไหลทะลักออกมาก็หยุดกะทันหัน นางจดจ่อสมาธิทั้งหมดไปที่การรักษาแผลให้เฉินกวงจนหน้าผากเริ่มมีเม็ดเหงื่อผุดพรายทีละน้อย
เซ่าหมิงยวนหยิบผ้าเช็ดหน้าส่งให้ปิงลวี่ บุ้ยใบ้บอกให้นางเช็ดเหงื่อให้เฉียวเจา
นางตวัดสายตามองเขาอย่างฉับไวแล้วพยักหน้าเป็นเชิงขอบคุณ
เวลาผ่านไปสองเค่อ เมื่อทำแผลเสร็จเรียบร้อย เฉียวเจาถอนหายใจโล่งอก พลางยื่นมือไปกระตุกกระโปรงตนเอง
เฉินกวงที่อยู่ในสภาพหมดสติไม่รู้สึกตัวสักนิดจับไว้แน่นจนดึงไม่ออก
เฉียวเจาออกแรงดึงอย่างจนปัญญาพอดู
ปิงลวี่เห็นแล้วรีบเอ่ยขึ้น “คุณหนู ข้าเองเจ้าค่ะ”
รออยู่นานถึงเพียงนี้ ในที่สุดก็มีโอกาสให้นางแสดงฝีมือแล้ว
เฉียวเจาไม่ทันร้องห้าม สาวใช้น้อยจับชายกระโปรงของคุณหนูตนแล้วกระชากสุดแรงจนได้ยินเสียงดังแควก ชายกระโปรงของแม่นางเฉียวก็โดนดึงขาดออกมาท่อนหนึ่ง
“เอ่อ…ดึงขาดแล้ว” ปิงลวี่ทำอะไรไม่ถูกอยู่บ้างไปชั่วขณะ
เฉียวเจาไม่รู้จะหัวร่อหรือร่ำไห้ดี จะทำเช่นไรได้เล่า ผ้าไม่ได้ทำจากหินสักหน่อย
เซ่าหมิงยวนมองท้องฟ้าเงียบๆ
อืม รอเฉินกวงฟื้นฟูร่างกายแล้ว ค่อยสั่งสอนเจ้าหนุ่มผู้นี้ให้น่วมสักยก เขาไม่เคยสอนให้จับชายกระโปรงของสตรีไว้ไม่ยอมปล่อย
“คะ…คุณหนู ขออภัยเจ้าค่ะ” สาวใช้น้อยที่รู้ตัวว่าก่อเรื่องขึ้นก้มหน้าอย่างละอายแก่ใจ
แม่นางเฉียวกลับสุขุมมากที่สุด นางสะบัดกระโปรงพลางกล่าว “เล่ามาสิว่าสองสามวันนี้เกิดอะไรขึ้นกับพวกเจ้า”
อืม ถึงอย่างไรก็เคยเปลือยกายต่อหน้าเขามาแล้ว ตอนนี้แค่กระโปรงขาดไม่นับว่ามีอะไรสักนิด เรื่องงานยังคงสำคัญกว่า