หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 326
บทที่ 326
เกือบครึ่งชั่วยามต่อมา ณ ท้ายป่าไผ่
เซ่าหมิงยวนเอาไก่ป่าที่ย่างจนเป็นสีเหลืองทองมันเยิ้มมาฉีกน่องข้างหนึ่งยื่นแล้วส่งให้ “กินได้แล้ว”
เฉียวเจากระดากใจอยู่บ้าง “ที่นี่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์นะเจ้าคะ”
แอบย่างไก่กินด้วยกันอยู่ตรงนี้ไม่ค่อยจะดีกระมัง
แม่ทัพหนุ่มแย้มปากยิ้มอวดฟันขาวเรียงเป็นระเบียบอยู่ใต้แสงจันทร์ “สถานที่ศักดิ์สิทธิ์อยู่ทางโน้น ตรงนี้เป็นแค่ป่าไผ่กลางเขา”
“ถึงกระนั้นก็ตาม เกรงว่าซือฟู่สองท่านที่คุ้มครองจิ้งซีซือฟู่อยู่จะไม่พอใจนะเจ้าคะ”
กลิ่นหอมเย้ายวนใจปานนี้คงปิดบังภิกษุที่พักอยู่ในกระท่อมไม้ไผ่ด้วยกันไม่ได้อย่างแน่นอน
แม่ทัพหนุ่มพูดอย่างเอาจริงเอาจัง “กินเนื้อสัตว์บำรุงร่างกายและฟื้นฟูกำลังวังชาได้ เหล่าภิกษุอาวุโสมีจิตใจเมตตากรุณาต้องเข้าอกเข้าใจกันได้”
เฉียวเจากลั้นยิ้มไม่อยู่ นางรับความปรารถนาดีของชายหนุ่มอย่างเต็มใจ
นางคิดไม่ถึงว่าเซ่าหมิงยวนจะมีฝีมือย่างไก่ไม่เลวเลยทีเดียว หลังกินน่องไก่หอมฉุยรวดเดียวเกลี้ยง พลันรู้สึกอิ่มสบายท้อง นางกล่าวชมจากใจจริง “อร่อยมากเจ้าค่ะ”
เซ่าหมิงยวนเบนสายตาออกจากมุมปากเปื้อนคราบมันของเด็กสาวแล้วเอ่ยถาม “เอาอีกหรือไม่”
เฉียวเจาส่ายหน้า “ไม่เจ้าค่ะ กินอิ่มแล้ว”
เขาถึงกินเนื้อไก่ที่เหลือจนหมดแล้วกลบเกลื่อนหลักฐานด้วยท่าทางชำนิชำนาญ จากนั้นส่งยิ้มให้นาง “ไปเถอะ สมควรพักผ่อนได้แล้ว”
ทั้งสองกลับไปถึงหน้ากระท่อม
ก่อนเข้าไปเฉียวเจาหันกลับมาบอกเสียงเบา “แม่ทัพเซ่า ขอบคุณมากเจ้าค่ะ”
ชายหนุ่มแปลกใจพอสมควร เขาหยักยิ้มเอ่ย “เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ที่สำคัญคือข้าก็หิวเหมือนกัน”
นางยกมุมปากโค้งขึ้น
หาได้ยากโดยแท้ ถึงกับรู้จักออกตัวแทนด้วย
นางหมุนกายเดินเข้ากระท่อมแล้วปิดประตู
เซ่าหมิงยวนยืนอยู่ข้างนอกครู่หนึ่งถึงเข้าไปในกระท่อมอีกหลังด้านข้าง
ป่าไผ่สงัดเงียบ ผ่านไปไม่นานนัก เฉียวเจาที่ปราศจากความง่วงงุนอยู่แต่เดิมก็ถูกรบกวนด้วยเสียงอึกทึกโหวกเหวกจากข้างนอก
นางลุกขึ้นนั่งทันที มองเห็นแสงไฟทั่วบริเวณก็รีบสวมรองเท้าเดินไปที่หน้าประตู ในมือกำขลุ่ยกระดูกที่เซ่าหมิงยวนมอบให้เลานั้นไว้
ด้านนอกเสียงดังถึงเพียงนี้ เขาต้องได้ยินแล้วเช่นกัน
เมื่อคิดไปอย่างนี้ เฉียวเจาเปิดประตูออก ภาพเหตุการณ์นอกกระท่อมทำให้นางคาดไม่ถึงอย่างมาก
ภิกษุหลายสิบรูปตีวงล้อมกระท่อมที่เซ่าหมิงยวนพำนักอยู่ แสงจากคบเพลิงที่ถืออยู่ในมือส่องกระทบใบหน้าที่ฉายแววเคร่งเครียดของพวกเขา
เขายืนอยู่หน้าประตูสบตากับนางจากระยะไกล พยักหน้ากับนางเป็นเชิงปลอบขวัญ ก่อนเอ่ยถามเหล่าภิกษุ “ไม่ทราบว่าซือฟู่ทุกท่านมาที่นี่ในเวลานี้มีธุระอันใด”
“เชิญท่านโหวตามพวกอาตมากลับไปที่วัดเถอะ”
“ซือฟู่จะบอกให้ข้าทราบได้หรือไม่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นในวัด”
หัวหน้าภิกษุฝืนข่มความโกรธเกรี้ยว “ท่านเจ้าคณะเสียชีวิตแล้ว ท่านเจ้าอาวาสจึงขอเชิญท่านโหวตามพวกอาตมาไป”
ภิกษุผู้นั้นกล่าวประโยคนี้จบ เซ่าหมิงยวนรับรู้ได้อย่างเฉียบไวว่าภิกษุที่ล้อมเขาไว้สืบเท้าขึ้นหน้าก้าวหนึ่งเงียบๆ เป็นการตีวงให้แคบลง
สีหน้าของเขาไม่แสดงอารมณ์ใดสักนิดขณะกล่าวเสียงเรียบ “ได้”
เมื่อได้ยินเขาตอบตกลงโดยไม่อิดออด ภิกษุทั้งหลายดูโล่งอกอย่างเห็นได้ชัด
ชายหนุ่มสาวเท้าไปหาเฉียวเจา “คุณหนูหลี ไปด้วยกันเถอะ”
“อื้อ” เฉียวเจาพยักหน้าแล้วเดินไปกับเขา
ทั้งคู่ย่างเท้าเข้าสู่วัดต้าฝูโดยมีเหล่าภิกษุ ‘ห้อมล้อม’ ไว้ เขากับนางเพิ่งก้าวเข้าไป ประตูวัดก็ปิดทันทีบังเกิดเสียงดังบาดหูกลางราตรีมืดมิด
ภายในวัดต้าฝูสว่างไสวไปด้วยแสงตะเกียงประหนึ่งยามกลางวัน
หัวหน้าภิกษุจู่โจมโดยไม่รอช้า “ศิษย์น้องทุกท่าน จับฆาตกรที่สังหารท่านเจ้าคณะมัดไว้!”
เหล่าภิกษุรุมเข้าไปพร้อมกัน เซ่าหมิงยวนเอาตัวบังเฉียวเจาไว้ข้างหลัง พร้อมตะโกนขึ้น “ช้าก่อน! ซือฟู่คิดว่าข้าเป็นคนปองร้ายท่านเจ้าคณะหรือ”
“เรื่องมาถึงขั้นนี้ ท่านโหวยังจะแก้ตัวอีกหรือไร” หัวหน้าภิกษุแค่นเสียงเยาะ
เขามองปราดไปเห็นเจ้าอาวาสเดินมา กล่าวเสียงก้องกังวาน “ท่านเจ้าอาวาส ไม่ทราบว่าเรื่องท่านเจ้าคณะของวัดเสียชีวิตแล้วเป็นอย่างไรกันแน่ ข้ากับคุณหนูหลีล้วนอยู่ที่กระท่อมไม้ไผ่ เหตุอันใดถึงถูกดึงมาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้”
“อมิตาภพุทธ เมื่อครู่มีเสียงร้องโหยหวนดังมาจากห้องของศิษย์น้องอาตมา ตอนทุกคนไปถึงก็พบว่าเขาตายอย่างน่าอนาถอยู่ในนั้น”
“แล้วเหตุใดถึงคิดว่าข้าเป็นคนทำ ข้าไม่มีเหตุผลที่จะทำร้ายท่านเจ้าคณะ” เซ่าหมิงยวนไต่ถามอย่างใจเย็น เขารู้ดีว่ายิ่งเป็นสถานการณ์เช่นนี้ยิ่งร้อนรนไม่ได้
ไม่รอให้เจ้าอาวาสกล่าวตอบ หัวหน้าภิกษุเอ่ยขึ้นด้วยอารมณ์เดือดพล่าน “มีเหตุผลแน่นอน! ก่อนหน้านี้ท่านเจ้าคณะสงสัยว่าพวกประสกมีพิรุธ แต่ว่าท่านเจ้าอาวาสมีจิตใจกว้างขวาง ไม่ยอมเชื่อมาโดยตลอด ตอนนี้ลองคิดดูแล้วข้อสงสัยของท่านเจ้าคณะไม่ผิดเลย อู๋เหมยซือไท่หายตัวไปรวมถึงบรรดาศิษย์พี่ในอารามซูอิ่งจบชีวิตลง ต้องเป็นฝีมือของท่านแน่นอน ถ้าไม่อย่างนั้น ไฉนเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนพวกนี้ หลังจากพวกท่านทุกคนมาที่วัดต้าฝูก็เกิดขึ้นแล้วเล่า”
“พูดอีกนัยหนึ่งก็คือซือฟู่อาศัยการคาดเดาทั้งสิ้น?”
“มิใช่คาดเดา แต่เป็นการสันนิษฐานอย่างเป็นเหตุเป็นผล สีกาผู้นี้พักอยู่ในอารามซูอิ่งเสมอ ไม่มีใครคุ้นเคยกับที่ทางในอารามตลอดจนกิจวัตรประจำวันของศิษย์พี่ทั้งหลายได้ดีไปกว่านาง ส่วนท่านโหวก็พักอยู่ในวัดและพบปะกับนางบ่อยๆ ดังนั้นคิดจะปลิดชีวิตคนในอารามซูอิ่งโดยไม่มีผู้ใดรู้เห็นเป็นเรื่องง่ายดายอย่างมาก” หัวหน้าภิกษุกล่าว
“แล้วคนร้ายผู้นั้นล่ะจะอธิบายอย่างไร” เฉียวเจาไต่ถาม
ดูทีว่าการที่เจ้าคณะสงสัยเฉินกวงก่อนหน้านี้กอปรกับการตายของเขาทำให้เหล่าภิกษุเกิดความระแวงแคลงใจต่อพวกนางเสียแล้ว
หัวหน้าภิกษุกล่าวเสียงเย็นชา “ดีไม่ดีคนร้ายผู้นั้นต่างหากที่เป็นแพะรับบาป ไม่เช่นนั้นจะอธิบายอย่างไรว่าสารถีกับสาวใช้ของสีกาถึงอยู่ในกระท่อมเก่าหลังนั้น และยังมีแผนผังวัดต้าฝูกับอารามซูอิ่งอีกด้วย”
เขาพูดจบแล้วแสดงคำนับต่อเจ้าอาวาส “ท่านเจ้าอาวาส การหายตัวไปของอู๋เหมยซือไท่จะต้องเป็นแผนการที่พวกเขาวางไว้เป็นอย่างดี ท่านอย่าได้หลงเชื่อคำแก้ตัวของพวกเขาเป็นอันขาด ปล่อยให้ฆาตกรที่สังหารท่านเจ้าคณะลอยนวลอยู่เหนืออาญาบ้านเมือง”
ใบหน้าของเจ้าอาวาสอ่านความรู้สึกไม่ออก เขามองไปทางเซ่าหมิงยวน
ชายหนุ่มเอ่ยถามหัวหน้าภิกษุเสียงราบเรียบ “ไม่ว่าจะเป็นการคาดเดาหรือสันนิษฐาน ความจริงคือซือฟู่ยังไม่มีหลักฐานใดๆ เป็นแค่การทึกทักเอาเองเท่านั้น”
“ใครบอกว่าไม่มีหลักฐาน ถูสี่…”
ภิกษุผอมบางรูปหนึ่งก้าวออกมา
“ถูสี่เป็นคนแรกที่พบว่าท่านเจ้าคณะมีอันเป็นไป ถูสี่ เจ้าเล่าสิ่งที่เห็นซ้ำอีกที”
ถูสี่เหลือบมองเซ่าหมิงยวน เขาขยับเท้าไปด้านข้างก้าวหนึ่งถึงพูดขึ้น “อาตมาออกไปเข้าห้องเวจ จู่ๆ ได้ยินเสียงร้องโหยหวนดังมาจากห้องของท่านเจ้าคณะก็รีบวิ่งไปดู เห็นเงาคนผู้หนึ่งผลุนผลันออกมาจากข้างในแล้วกระโดดขึ้นหลังคาหนีไปทางนั้น”
เขายกมือชี้บอก เป็นทิศทางของกระท่อมไม้ไผ่พอดี
“เท่านั้นก็พิสูจน์ได้ว่าเป็นฝีมือของข้าแล้วหรือ” เซ่าหมิงยวนถามด้วยสีหน้านิ่งสนิท
“แม้จะเป็นยามดึก แต่แสงจันทร์คืนนี้สว่างไม่เลว อาตมาอาจเห็นรูปโฉมโนมพรรณของฆาตกรไม่ถนัดตา แต่มั่นใจว่าเขาไม่ได้สวมจีวร แต่เป็นชุดที่จัดเตรียมไว้ให้ผู้มาจุดธูปไหว้พระในวัดแบบเดียวกับของประสกนั่นเอง”
ถ้อยคำนี้ดังขึ้น สายตาของภิกษุทั้งหลายล้วนจับจ้องไปที่ตัวเซ่าหมิงยวน
หัวหน้าภิกษุพูดเสริมขึ้น “ตั้งแต่ท่านเจ้าคณะส่งเสียงร้องโหยหวนจนกระทั่งพวกอาตมารุดไปถึงเป็นเวลาไม่ถึงหนึ่งถ้วยชาด้วยซ้ำ ขอถามว่านอกจากท่านโหวแล้ว ใครเล่าจะสามารถหนีรอดไปได้อย่างราบรื่นภายในเวลาสั้นๆ แค่นี้”
เซ่าหมิงยวนยกยิ้มอย่างไม่เดือดเนื้อร้อนใจ “ย่อมต้องเป็นฆาตกรตัวจริงแน่นอน”
“ท่านโหวคงคาดหมายไว้ว่าทางวัดต้าฝูทำอะไรท่านไม่ได้อย่างนั้นหรือ” หัวหน้าภิกษุถามไล่เลียงอย่างไม่ลดละ
“ไม่ทราบทุกท่านได้ยินเสียงร้องโหยหวนเมื่อใด”
“เมื่อสองเค่อเศษ” เหล่าภิกษุตอบพร้อมกัน
ชายหนุ่มหัวเราะ “บังเอิญว่าเวลานั้นข้ายังไม่ได้นอนพอดี”
หัวหน้าภิกษุยิ้มเยาะ “ท่านโหวต้องยังไม่นอนเป็นแน่ เพราะตอนนั้นท่านกำลังสังหารคนอยู่ในห้องของท่านเจ้าคณะมิใช่หรือ”
เซ่าหมิงยวนเดินสองก้าวตามสบาย กล่าวด้วยสีหน้าแกมละอายใจ “สังหารคนคงไม่กล้า แต่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นความจริง”
เจ้าอาวาสมองเขาอย่างพินิจ
“ข้าอับอายต่อท่านเจ้าอาวาสนัก ตอนนั้นข้ากำลังย่างไก่ป่ากินอยู่”
แม่นางเฉียวหลุบตาลง ลอบคิดคำนึง ยังดีที่ไม่ได้เอ่ยสารภาพชื่อของข้าออกมาด้วย