หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 332
บทที่ 332
จวนสกุลเจียงตั้งอยู่ในย่านที่โอ่อ่าหรูหราที่สุดของเมืองหลวง รูปทรงภายนอกใหญ่ตระหง่านดูเคร่งขรึมงดงาม หากภายในกลับวิจิตรละเมียดละไมแฝงกลิ่นอายแดนเจียงหนานในม่านหมอกฝน
เฉียวเจานึกถึงเรื่องที่ได้ยินได้ฟังมาว่าภรรยาของเจียงถังผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลินเป็นชาวแดนใต้ หลังนางล่วงลับไป เจียงถังมิได้ตบแต่งภรรยาใหม่และไม่เคยรับอนุด้วย
ว่าไปแล้วเป็นเรื่องที่น่าสนใจเช่นกัน ในราชสำนักเวลานี้มีผู้ที่รักภรรยายิ่งชีพจนถูกกล่าวขานไปทั่วสองคน คนหนึ่งคือเจียงถังผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลิน อีกคนหนึ่งคือสมุหราชเลขาธิการหลันซาน ท่านสมุหราชเลขาธิการอายุเกือบเจ็ดสิบปีมีภรรยาเฒ่าเพียงคนเดียว ไม่มีอนุหรือสาวใช้ห้องข้างสักคน
เฉียวเจานั่งดื่มน้ำชาในศาลารับลมของสวนดอกไม้ ผ่านไปชั่วอึดใจหนึ่งก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้น เป็นเจียงซือหร่านก้าวปราดๆ มาทางนี้
“คุณหนูเจียง” เฉียวเจาลุกขึ้นยืนพร้อมกล่าว
เจียงซือหร่านสวมชุดขี่ม้าสีแดงเข้ม มีแส้สีดำแกมเขียวพันรอบเอว แลดูองอาจสง่างามและเปี่ยมชีวิตชีวา
นางเดินมาถึงใกล้ๆ เพ่งสายตามองหน้าเฉียวเจานานครู่หนึ่งโดยไม่ปริปาก ราวกับว่าจะพิศดูอีกฝ่ายทั้งภายในและภายนอกให้ละเอียด
เฉียวเจาปล่อยให้นางมองสำรวจตนเองด้วยสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน
“นั่งสิ” เจียงซือหร่านยกมือชี้แล้วเป็นฝ่ายนั่งลงบนเก้าอี้หินก่อน
เฉียวเจานั่งลงตาม เอ่ยถามเสียงสงบนิ่ง “คุณหนูเจียงนัดข้ามาพบ ไม่ทราบว่ามีเรื่องใด”
เจียงซือหร่านกวาดสายตาผ่านใบหน้าเฉียวเจาอีกรอบหนึ่งก่อนกล่าวด้วยสีหน้าปึ่งชา “พวกเราไม่จำเป็นต้องพูดจาตามมารยาทอันใด ข้าขอถามเจ้า เจ้ามียาลบรอยแผลชั้นดีของหมอเทวดาหลี่อยู่ในมือใช่หรือไม่”
ที่แท้เพราะเรื่องนี้นั่นเอง
เฉียวเจาผงกศีรษะ “ก่อนท่านปู่หลี่ไปจากเมืองหลวงได้มอบยาลบรอยแผลไว้ให้ข้า”
“ใบหน้าเจ้าก็หายดีเพราะทายาของหมอเทวดาหลี่หรือ”
“ใช่” เฉียวเจาไม่ปฏิเสธ
“เจ้าบอกราคามาสิ ข้าต้องการยาลบรอยแผลในมือเจ้า” เจียงซือหร่านพูดอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย ครั้นเห็นเฉียวเจาไม่มีท่าทีใด นางก็ล้วงตั๋วเงินปึกหนึ่งจากแขนเสื้อวางแปะตรงเบื้องหน้าอีกฝ่าย “เท่านี้พอหรือไม่”
เฉียวเจาหลุบตาลงอมยิ้มน้อยๆ สายตาของนางจับอยู่ที่ตั๋วเงิน “พอหรือไม่ ต้องดูว่าผู้ขอยาต้องการมันเพียงใด ยาของท่านปู่หลี่ไม่อาจตีค่าด้วยเงินตราได้…”
แปะ
เสียงนี้ดังขึ้น เจียงซือหร่านวางตั๋วเงินบนโต๊ะหินอีกปึกหนึ่ง “เพิ่มอีกเท่านี้ล่ะ”
เฉียวเจาคลี่ยิ้ม ดูท่าคุณหนูเจียงผู้นี้รู้จักใช้เงินฟาดหัวคนเป็นอย่างดี
“คุณหนูหลี ท่านต้องตรองดูให้ดีนะ” น้ำเสียงของเจียงซือหร่านแฝงรอยข่มขู่
เฉียวเจาผลักตั๋วเงินกลับไปด้วยท่าทางสบายๆ “คุณหนูเจียงเก็บตั๋วเงินขึ้นเถอะ ยาของท่านปู่หลี่ ข้ามอบให้ท่านขวดหนึ่งได้”
“มอบให้ข้า? เพราะอะไรเจ้าถึงมอบให้ข้า” เจียงซือหร่านไม่ได้รับตั๋วเงินไว้ นางทำหน้าสงสัยครามครัน
“ก็ถือว่าเป็นการขอบคุณท่านผู้บัญชาการใหญ่ที่คอยดูแลช่วยเหลือเถอะ” เฉียวเจากล่าวตอบ
ถึงไม่แจ่มแจ้งว่าเจียงซือหร่านต้องการยาลบรอยแผลไปใช้ประโยชน์อะไรกันแน่ แต่นางไม่อยากพัวพันเรื่องเงินทองกับอีกฝ่าย ไม่เช่นนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ต้องรับผิดชอบทั้งหมด
เจียงซือหร่านได้ยินประโยคนี้แล้วโมโหเหลือทน “ดูแลช่วยเหลืออะไรกัน ท่านพ่อข้าไม่ได้ดูแลช่วยเหลือเจ้าสักหน่อย อย่าคิดเข้าข้างตนเอง!”
น้ำเสียงของเฉียวเจากระด้างขึ้นทันที “ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ข้าก็ไม่มอบให้แล้ว”
เจียงซือหร่านมองค้อนนางวงหนึ่ง “เดิมทีไม่ได้คิดให้เจ้ามอบให้ ข้าจะซื้อ!”
“ไม่ขาย” เฉียวเจาตอบอย่างตรงไปตรงมา
คนเป็นบิดามีเรื่องต้องพึ่งพานางอยู่ คนเป็นบุตรสาวยังข่มขู่นางได้อีกหรือ
“เจ้าพูดอีกทีสิ” เจียงซือหร่านลุกพรวดขึ้นยืน
“พูดอีกทีก็คำเดิม” เฉียวเจายกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบคำหนึ่ง
“เจ้าจงใจเป็นปฏิปักษ์กับข้าใช่หรือไม่” เจียงซือหร่านยื่นมือไปดึงแส้ที่พันรอบเอวออกมา “ข้าถามเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย ขายหรือไม่ขาย”
เฉียวเจาไม่กล่าวตอบ เพียงมองนางอย่างไม่สะทกสะท้าน
เจียงซือหร่านโกรธจัด ตวัดแส้ในมือไปที่เฉียวเจา
เฉียวเจานั่งตัวตรงไม่ขยับเขยื้อนสักนิด
แส้ยาวกระทบกับโต๊ะหินบังเกิดเสียงกังวานใส เจียงซือหร่านกำแส้แน่น สีหน้านางขมึงทึง “เจ้าคาดหมายได้ว่าข้าไม่กล้าฟาดใส่เจ้ารึ”
น่าชังยิ่งนัก เมื่อครู่ข้าไม่น่าฟาดแส้พลาดเป้า คนแซ่หลีถึงกับนึกจริงๆ ว่าข้าไม่กล้าหรือ
เฉียวเจาวางถ้วยน้ำชาลงแล้วลุกขึ้นยืน “คุณหนูเจียง ท่านเรียกข้ามาที่นี่ หากแค่เพื่อแสดงทักษะฟาดแส้ล่ะก็ ข้ายอมรับในฝีมือท่านแล้ว เช่นนั้นขออำลาก่อน”
“หยุดนะ!” ดวงตาเรียวงามดุจเมล็ดซิ่งของเจียงซือหร่านเบิกกว้างด้วยความโกรธเกรี้ยว “เจ้าคิดจะเอาอย่างไรกันแน่”
เฉียวเจาเปล่งเสียงหัวร่ออย่างกลั้นไม่อยู่ “คุณหนูเจียง มิใช่ข้าคิดจะเอาอย่างไร เป็นท่านต่างหากที่จะเอาอย่างไร”
“ข้าอยากซื้อยาลบรอยแผลของหมอเทวดาหลี่ เจ้าถือดีอะไรไม่ขาย”
เฉียวเจากล่าวด้วยสีหน้าขึงขัง “เพราะนั่นคือสิ่งที่ท่านปู่หลี่มอบให้ข้า เงินพันชั่งก็แลกไม่ได้”
“แต่เมื่อครู่เจ้าบอกว่าจะมอบให้ข้า…”
“นั่นเป็นคนละเรื่องกัน”
เจียงซือหร่านกำแส้ในมือ สีหน้าของนางฉายอารมณ์ปรวนแปร นานครู่หนึ่งถึงแค่นเสียงกล่าวขึ้น “ตกลง ถือว่าข้าติดค้างน้ำใจเจ้าคราหนึ่ง! แต่ถ้ายานี้ใช้ไม่ได้…”
เฉียวเจาลอบถอนใจ ไม่ผิดคาดเลย นางมอบให้เปล่าๆ ยังเป็นเช่นนี้ ถ้ารับเงินจริงๆ แล้วเกิดยานี้ใช้ไม่ได้ผล ด้วยนิสัยใจคอของคุณหนูเจียงคงคิดจะไปพังเรือนสกุลหลีกระมัง
“คุณหนูเจียง ท่านน่าจะรู้ว่าต้องใช้ยาให้ถูกโรค ถึงเป็นยาลบรอยแผลของท่านปู่หลี่ก็มิใช่ยาสารพัดนึก ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นแผลได้อย่างไร บาดแผลลึกตื้นเพียงใด”
“เรื่องพวกนี้เจ้าไม่ต้องถาม”
เจินเจินพูดย้ำแล้วย้ำอีกว่าอย่าบอกเรื่องที่ตนเสียโฉมกับผู้อื่น นางย่อมต้องรักษาคำพูดแน่นอน
“เอาเถอะ ข้ากลับถึงจวนแล้วจะให้คนนำยาลบรอยแผลมามอบให้คุณหนูเจียง ท่านไม่จำเป็นต้องรู้สึกติดค้างน้ำใจข้า ไม่ว่ายาจะใช้ได้ผลหรือไม่ก็อย่ามาหาข้าอีกได้หรือไม่”
“ฮึ เจ้านึกว่าข้าอยากไปหาเจ้านักรึ” เจียงซือหร่านเอาแส้พันรอบเอวไว้ดังเก่า นางเอ่ยสั่งสาวใช้ “ส่งแขก!”
เฉียวเจาคลี่ยิ้มหมุนกายออกเดินไป
“คุณหนูหลีโปรดหยุดก่อน” สุ้มเสียงเฉยเมยของบุรุษดังลอยมา
“พี่สืออี ท่านมาได้อย่างไรเจ้าคะ”
เฉียวเจาเหลียวหน้าไป เห็นเจียงสืออีในชุดสีดำปลอดทั้งตัวสาวเท้ามาหา
คงเพราะเป็นคนเย็นชามาแต่เกิด ถึงเป็นไข่มุกในอุ้งมือบิดาบุญธรรม เขาก็แค่ผงกศีรษะให้เจียงซือหร่านเล็กน้อยก่อนเอ่ยกับเฉียวเจา “คุณหนูหลี ท่านผู้บัญชาการใหญ่เชิญท่านไปพบ”
“โปรดนำทางเถอะ”
เห็นเฉียวเจาจะไปพบเจียงถัง เจียงซือหร่านไม่ยอมแล้ว นางไล่ตามไปซักไซ้ “พี่สืออี ท่านพ่อจะพบนางด้วยเหตุใดเจ้าคะ”
“ไม่รู้”
“เช่นนั้นข้าไปด้วย”
“ไม่ได้”
เจียงซือหร่านกระทืบเท้าอย่างหัวเสีย นางมองตามแผ่นหลังที่เหยียดตรงของเจียงสืออีตาเขม็งแล้วทำตาปะหลับปะเหลือก
ไฉนใต้หล้านี้ถึงมีบุรุษเย็นชาน่าเบื่อเฉกพี่สืออีได้นะ สมควรแล้วที่ไร้คู่ไปชั่วชีวิต!
เจียงสืออีหยุดยืนตรงหน้าประตูห้องหนังสือ เสียงพูดของเขาราบเรียบไร้อารมณ์ “ท่านผู้บัญชาการใหญ่อยู่ข้างใน เชิญคุณหนูหลีเข้าไปเถอะ”
เฉียวเจาพยักหน้าแล้วย่างเท้าเข้าไป
พอเห็นนางเข้ามา เจียงถังชี้ถ้วยบนถาดน้ำชาด้วยรอยยิ้มระบายเต็มหน้า “คุณหนูหลี ชิมรสชาหนนี้ดูว่าเป็นเช่นไร”
เฉียวเจาย่อเข่าแสดงคำนับ กล่าวยิ้มๆ ว่า “เมื่อครู่ได้ดื่มกับคุณหนูเจียงแล้วเจ้าค่ะ”
นางพบหน้ากับเจียงซือหร่าน เจียงถังต้องส่งคนเฝ้าดูไว้ตลอดเป็นแน่
เจียงถังหัวเราะออกมา “หร่านรานถูกข้าตามใจจนเหลิง นางไม่ได้ก่อความวุ่นวายกระมัง”
เฉียวเจาหลุบตาคลายยิ้ม คำถามนี้นางสุดปัญญาจะตอบได้ น่าจะถามว่า ‘คุณหนูเจียงไม่ก่อความวุ่นวายเมื่อไรจึงจะถูก’
เจียงถังเองก็รู้จักบุตรสาวของตนดีอย่างเห็นได้ชัด เขากล่าวด้วยสีหน้าเป็นปกติ “ไว้ข้าจะอบรมสั่งสอนนางให้ดีๆ ภายหลัง”
เขาพูดพลางลุกไปดึงลิ้นชักตู้หนังสือหยิบกล่องหยกขาวใบหนึ่งออกมา จากนั้นเดินไปตรงหน้าเฉียวเจา เปิดมันออกพร้อมกล่าวทอดถอนใจ “คุณหนูหลีลองดูเถอะ ขนานใหม่”