หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 335
บทที่ 335
“ซือหร่าน เป็นอะไรไป” พอเห็นเจียงซือหร่านจ้องหน้าตนเองจนตาค้างไม่เปล่งเสียงพูด องค์หญิงเจินเจินเฉลียวใจทันใด ตะเบ็งเสียงบอก “คันฉ่อง! เอาคันฉ่องมาให้ข้า”
ตำหนักบรรทมอันใหญ่โตกลับหาคันฉ่องตามจุดต่างๆ ที่มองเห็นได้ไม่พบสักอัน
“หลันฟาง เอาคันฉ่องมาให้ข้า”
นางกำนัลหลันฟางหยิบคันฉ่องออกมาอย่างตัวสั่นงันงก
เจียงซือหร่านแย่งคันฉ่องมาไว้ในมือก่อน นางกล่าวอึกๆ อักๆ “เจินเจิน…เจ้าอย่าดูดีกว่า…”
องค์หญิงเจินเจินมองนางนิ่งๆ เผยรอยยิ้มหม่นหมอง “ซือหร่าน เจ้าบอกเองว่าไม่มีทางอาการหนักไปกว่าเดิมกระมัง”
นางยื่นมือไปจับคันฉ่อง แต่เจียงซือหร่านกำมันไว้แน่นไม่คลายมือออก
อาการหนักขึ้นจริงๆ นี่นา ทำอย่างไรดี เจินเจินเห็นแล้วต้องรับไม่ได้แน่ๆ!
“ซือหร่าน ปล่อยมือสิ” องค์หญิงเจินเจินออกแรงแย่งคันฉ่องมามองปราดเดียว นางก็ไม่รับรู้อะไรอีกทั้งนั้น ในหัวสมองอึงอลว่างเปล่า ละม้ายโดนฟ้าผ่าลงกลางกระหม่อมดังเปรี้ยง
“เจินเจิน เจ้าเป็นอะไรไป เจ้าอย่าทำให้ข้าตกใจนะ” เจียงซือหร่านรู้สึกผิดเหลือจะกล่าว นางเขย่าแขนขององค์หญิงเจินเจินที่ตัวแข็งทื่อไปแล้ว
ผ่านไปนานพักใหญ่องค์หญิงเจินเจินกะพริบตาทีหนึ่ง หยาดน้ำตาใสก็ไหลลงอาบสองแก้ม “ซือหร่าน ยานี้เป็นหมอเทวดาหลี่ปรุงขึ้นจริงๆ ใช่หรือไม่ เจ้าได้มาจากที่ใด”
“ข้า…” เจียงซือหร่านอ้าปากออก จากนั้นหน้าถอดสีไปถนัดตา “ข้ารู้แล้ว ต้องเป็นคนแซ่หลีกลั่นแกล้งข้าแน่”
“หมายความว่าอะไร” องค์หญิงเจินเจินถามด้วยน้ำเสียงชืดชา
เจียงซือหร่านยกมือเช็ดหางตาทีหนึ่งแล้วพูดรัวเร็ว “ยานี้เป็นหลีซานมอบให้ข้า นางบอกว่าเป็นยาของหมอเทวดาหลี่ นางต้องหลอกข้าแน่นอน ข้ายังโง่งมหลงเชื่อไปได้”
นางกระทืบเท้าแล้วกล่าวทิ้งท้ายคำหนึ่งก่อนหมุนกายออกเดินไป “เจินเจิน เจ้าคอยดูนะ ข้าจะไปคิดบัญชีกับนาง”
องค์หญิงเจินเจินรั้งตัวสหายรักไว้ นางยิ้มอย่างเศร้าสร้อย “ข้าเป็นเช่นนี้ไปแล้ว คิดบัญชีจะมีประโยชน์อันใดเล่า ขืนให้ผู้อื่นรู้ว่าข้าอยู่ในสภาพนี้ จะไม่อับอายขายหน้ามากขึ้นอีกหรือ”
นอกจากเจียงซือหร่านกับคนในวัง ตีให้ตายนางก็ไม่อยากให้คนข้างนอกรู้ว่านางเสียโฉมแล้ว
เจียงซือหร่านกุมมือองค์หญิงเจินเจิน “เจินเจิน เจ้าวางใจได้ ข้าไม่มีทางแพร่งพรายเรื่องของเจ้าออกไป แต่หากไม่ไปคิดบัญชีกับนาง ข้ากล้ำกลืนความโกรธนี้ไว้ไม่ได้จริงๆ”
องค์หญิงเจินเจินมองตามเจียงซือหร่านที่เข้ามาและจากไปประหนึ่งพายุบุแคม ทิ้งนางไว้กับใบหน้าที่น่าอนาถใจจนทนดูไม่ได้กว่าเดิม เพียงรู้สึกว่าถูกความสิ้นหวังเกาะกุมไปทั้งร่าง ไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะหายใจ
นางชิงชังเหลือเกิน ชิงชังที่เหตุใดตนเองกลายเป็นอย่างนี้ แต่กลับไม่รู้ว่าสมควรชิงชังใคร หรือว่าพยายามให้ตนมีชีวิตที่ดีขึ้นเป็นความผิด นางไม่เคยทำร้ายใครที่ใดเลยนะ!
ด้านเจียงซือหร่านออกจากประตูแล้วถือแส้ตรงดิ่งไปที่จวนสกุลหลี “ข้าจะพบคุณหนูสามของจวนเจ้า”
“คุณหนูสามออกไปข้างนอก ตอนนี้ยังไม่กลับมาขอรับ” ยามเฝ้าประตูเห็นอีกฝ่ายมีสีหน้าท่าทางถมึงทึง เขาพูดจบประโยคนี้แล้วจะปิดประตู
“นางไปที่ใด”
“เรื่องนี้ข้าไม่ทราบแล้ว คุณหนูสามไปที่ใดจะบอกกล่าวกับบ่าวไพร่อย่างข้าได้อย่างไร คุณหนูท่านว่าจริงหรือไม่ขอรับ”
เจียงซือหร่านตวัดสายตามองป้ายเหนือประตูจวนสกุลหลีอย่างหัวเสีย จากนั้นบ่ายหน้าตรงไปยังที่ว่าการกององครักษ์จินหลินทันที
“หร่านรานมาได้อย่างไร” เจียงถังวางงานในมือลง เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มกว้างขวาง
“ท่านพ่อ เป็นเพราะท่านคนเดียวที่ออกความคิดไม่เข้าท่าให้ข้า” เจียงซือหร่านทิ้งตัวลงนั่งแล้วพูดเสียงฮึดฮัด
“เป็นอะไรไปอีก เล่าให้พ่อฟังสิ”
“เรื่องใบหน้าของเจินเจิน ท่านบอกให้ข้าไปหาหลีซาน ผลปรากฏว่านางใช้ยาที่หลีซานมอบให้แล้วอาการเนื้อเน่าบนหน้ายิ่งรุนแรงขึ้นอีกเจ้าค่ะ”
“มีเรื่องอย่างนี้ด้วยหรือนี่” เจียงถังแปลกใจพอดู เรื่องฝีไม้ลายมือของแม่เด็กน้อยผู้นั้นเขาให้การยอมรับนับถืออยู่หลายส่วน ตามหลักแล้วไม่น่าจะเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้น
เจียงซือหร่านยื่นมือไปขยุ้มเคราของบิดา “ท่านพ่อ ท่านไม่เชื่อข้าหรือเจ้าคะ”
“เชื่อๆ ปล่อยมือเร็วเข้า”
นางคลายมือออก บอกด้วยสีหน้าบึ้งตึง “ท่านพ่อ ท่านสืบให้ข้าทีว่าวันนี้หลีซานอยู่ที่ใด ข้าจะไปหานาง”
“เจ้าไปหานางด้วยเหตุใดกัน”
“นางทำร้ายเจินเจินจนกลายเป็นเช่นนั้น แน่นอนว่าต้องไปไล่เลียงเอาความกับนาง”
เจียงถังหุบยิ้มกล่าวอย่างเคร่งขรึม “หร่านราน อย่าทำเหลวไหล”
เจียงซือหร่านนิ่งอึ้งไป นางพูดอย่างเหลือเชื่อ “ท่านพ่อ ท่านว่าข้าทำเหลวไหล? หรือว่านางทำร้ายผู้อื่นถึงเพียงนั้น ไม่ควรไปไล่เลียงเอาความกับนางอย่างนั้นหรือ”
“หร่านราน เรื่องอื่นพ่อตามใจเจ้าได้หมด มีเพียงเรื่องของคุณหนูหลีที่ไม่ได้ พ่อเคยบอกแล้วว่าเจ้าอยากผูกไมตรีกับคุณหนูหลีย่อมทำได้ แต่จะตั้งตนเป็นศัตรูกับนางอีกไม่ได้ โดยเฉพาะห้ามทำร้ายนาง!”
หากเป็นไปได้เขาย่อมหักใจปล่อยให้บุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนทนคับข้องหมองใจไม่ได้ แต่ถ้าเขาไม่มีชีวิตอยู่ ผู้ใดเล่าจะปกป้องบุตรสาวได้เช่นนี้ ฉะนั้นเขาไม่มีวันให้ใครแตะต้องคุณหนูหลี รวมถึงหร่านรานด้วย
“ท่านพ่อ นางเป็นบุตรสาวในไส้ของท่านต่างหากกระมัง” เจียงซือหร่านโกรธจัด
ถึงเห็นสีหน้าน้อยอกน้อยใจของบุตรสาว เจียงถังยังทำใจแข็งอย่างหาได้ยาก “หร่านราน พ่อพูดกับเจ้าอย่างจริงจัง เจ้าต้องรับปากพ่อ”
“ถ้าไม่รับปากล่ะเจ้าคะ” เจียงซือหร่านกัดริมฝีปากเอ่ยถาม
เจียงถังถอนใจเฮือก “พี่อู่ของเจ้าอยู่ที่จยาเฟิงไม่ใคร่ราบรื่น บางทีพ่ออาจใคร่ครวญโยกย้ายสือซานกลับไป”
เจียงซือหร่านทำหน้าตะลึงลาน “ท่านพ่อ ท่านพูดล้อเล่นใช่หรือไม่”
“เรื่องเช่นนี้ พ่อไม่เคยพูดล้อเล่น”
เจียงซือหร่านไม่เคยเห็นบิดาทำสีหน้าและน้ำเสียงดุดันในลักษณาการนี้มาก่อน ซ้ำยังเป็นเพราะเด็กสาวพิลึกพิลั่นผู้หนึ่ง นางกระทืบเท้าอย่างโมโหโทโส “ท่านพ่อ ข้าไม่สนใจท่านแล้ว”
แม้จะทั้งโกรธเคืองทั้งน้อยใจ ถึงที่สุดแล้วเจียงซือหร่านก็เชื่อฟังคำพูดของเจียงถัง สะกดไฟโทสะสุมอกไว้ไม่ไปหาเรื่องเฉียวเจาอีก
หลังเซ่าหมิงยวนเข้าเฝ้าฮ่องเต้เรียบร้อยแล้วก็นึกได้ว่าพวกเฉียวโม่ต้องรอกินอาหารกับตนอยู่เป็นแน่ เขาจึงควบม้าเร็วรุดกลับไปโดยไว
“พี่เฉียวโม่ ปล่อยให้พวกท่านรอนานแล้ว” บนโต๊ะอาหาร เซ่าหมิงยวนยกจอกสุราขึ้นดื่มคารวะเฉียวโม่
เฉียวเจาเอ่ยเตือนขึ้น “แม่ทัพเซ่า ท่านดื่มสุราให้น้อยลงเป็นการดีที่สุดนะเจ้าคะ”
“อ้อ ได้” เซ่าหมิงยวนวางจอกสุราโดยไม่อิดออดแล้วรินน้ำชาถ้วยหนึ่ง “เช่นนั้นข้าดื่มน้ำชาต่างสุราขอขมาต่อทุกคนก็แล้วกัน”
เฉียวโม่ชายตามองน้องสาวด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
เฉียวเจาเม้มปากยกถ้วยน้ำชาขึ้นดื่มคำหนึ่ง นางยังนึกว่าต้องจาระไนเหตุผลยืดยาวคนผู้นั้นถึงยอมรับฟังเสียอีก คิดไม่ถึงว่าเขาถึงกับตอบตกลงทันที
เฉียวโม่ยกจอกสุราขึ้น “ขอบคุณท่านโหวที่ช่วยดูแลเจาเจาแทนข้ามาตลอดหลายวันนี้”
เซ่าหมิงยวนบีบมือที่กุมถ้วยน้ำชาแน่นขึ้น กล่าวยิ้มๆ ตามสบาย “สมควรแล้ว คุณหนูหลีเป็นหมอของข้า ข้าพึงดูแลนางให้ปลอดภัยเป็นธรรมดา”
เฉียวเจาชายตามองเขา พลางรำพึงในใจว่า กลับรู้จักออกตัวเป็น!
เซ่าหมิงยวนไม่เหลียวซ้ายแลขวา ชนจอกกับเฉียวโม่แล้วดื่มน้ำชาจนเกลี้ยง
เฉียวโม่ลอบโคลงศีรษะ
น้องสาวคนโตของเขาฉลาดหัวไวและเก่งกาจรอบตัว ไม่ว่าเรื่องใดๆ ล้วนมีความคิดเป็นของตนเอง เขาในฐานะพี่ชายได้แต่เคารพในความคิดของนาง แต่มองดูบรรยากาศอันคลุมเครือระหว่างคนคู่นี้อยู่ด้านข้าง เขายังคงอดหนักใจไม่ได้
ตกลงน้องเจาคิดอย่างไรกันแน่
ยังมีกวนจวินโหวอีกคน ก่อนหน้านี้เขาสวมชุดสีขาวไว้ทุกข์ให้ภรรยา เฉียวโม่ดูแล้วสบายตาอยู่มาก ทว่าบัดนี้น้องสาวคนโตนั่งอยู่ตรงนี้ดีๆ พอเห็นเขาในชุดสีขาวอีกทีก็รู้สึกคับอกคับใจอย่างไร้สาเหตุ
ความสัมพันธ์นี้สลับซับซ้อนเกินไป สุดท้ายเฉียวโม่จึงตกลงใจปล่อยให้เป็นไปตามครรลองธรรมชาติจะดีกว่า
เมื่อกินข้าวเสร็จ เฉียวเจาฝังเข็มให้เซ่าหมิงยวนตามปกติ หลังนางกลับจวนแล้วเขียนรายชื่อสิ่งของที่ต้องการแผ่นหนึ่งสั่งให้อาจูไปซื้อหา จากนั้นก้มหน้าก้มตาแยกแยะกระเปาะพิษที่ซ่อนอยู่ในฟัน